ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่ได้เที่ยวญี่ปุ่นปีละหลาย ๆ ครั้ง และซัมเมอร์รอบนี้ก็ได้เวลาที่จะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับ Shimane จังหวัดไม่ป็อป แต่ก็ยังเป็นตัวท็อปของภูมิภาคชูโงะคุ
ทริปนี้เราจะพาเที่ยวแบบโร้ดทริป 3 วัน 2 คืน ขับรถชิล ๆ พร้อมเพลย์ลิสต์เพลงโปรดไปบนเส้นทางเงียบสงบ ลัดเลาะผ่านธรรมชาติ วัฒนธรรม และผู้คนในเมืองรองแสนอบอุ่น ดื่มด่ำกับ 15 โลเคชันที่คัดสรรมาอย่างตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นศูนย์รวมเทพเจ้าแห่งโชคชะตาและความรัก สวนญี่ปุ่นที่ได้รับการยกย่องว่าสวยที่สุดในประเทศหลายปีซ้อน มิวเซียมดีไซน์เท่และกลมกลืนกับธรรมชาติ คาเฟ่เล็ก ๆ สตอรี่แน่น ของกินท้องถิ่นทั้งคาวหวาน รสชาติอร่อยแบบไม่ต้องปรุงแต่ง รวมไปถึงเทศกาลพลุสุดตราตรึงมิรู้ลืม ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่เราอยากชวนให้ลองเปิดใจกับเมืองเล็ก ๆ ที่อาจไม่คุ้นชื่อ แต่รับรองว่าถ้าได้มาแล้ว จะต้องหลงรักชิมาเนะแบบถอนตัวไม่ขึ้นแน่นอน





ชิมาเนะ หนึ่งในจังหวัดเงียบสงบแห่งภูมิภาคชูโกกุ ที่ยังคงกลิ่นอายญี่ปุ่นดั้งเดิมไว้อย่างสมบูรณ์ ทั้งเมืองเก่าที่มีปราสาทงดงาม ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นศูนย์รวมความเชื่อเรื่องโชคชะตา ไปจนถึงธรรมชาติสุดตระการตา ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบ ภูเขา หรือชายฝั่งอันเงียบสงบ ที่นี่ยังเป็นแหล่งออนเซ็นเก่าแก่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำแร่บำรุงผิว และมีเทศกาลพื้นบ้านเต็มไปด้วยสีสันและการแสดงอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ชิมาเนะเป็นจุดหมายในฝันของทั้งสายวัฒนธรรม สายธรรมชาติ และใครก็ตามที่อยากสัมผัสญี่ปุ่นในจังหวะเนิบช้า ไม่เร่งรีบ



Day 1
001 Bentenjima (Inasa Beach)
หมุดแรกขอมาที่ไอคอนประจำเมือง ‘Bentenjima’ หรือที่เรียกกันว่าหาดอินะสะ หาดทรายเงียบสงบที่มีโขดหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเล บนโขดหินมีเสาโทริอิและศาลเจ้าเล็ก ๆ ชื่อว่าเท็นจิมะประดิษฐานอยู่ เชื่อกันว่าเป็นที่พำนักของเทพีแห่งท้องทะเล เดิมทีบริเวณนี้เคยเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่แยกจากแผ่นดินใหญ่โดยมีน้ำทะเลคั่นกลาง แต่เมื่อเวลาผ่านไป คลื่นลมได้พัดพาทรายมาทับถมจนกลายเป็นชายหาดที่เชื่อมต่อกันดังเช่นปัจจุบัน ในช่วงเดือนตุลาคมตามจันทรคติ ยังมีความเชื่อว่าเหล่าเทพเจ้าจากทั่วญี่ปุ่นจะเดินทางมารวมตัวกันที่นี่ เพื่อมุ่งหน้าไปชุมนุมกันที่ศาลเจ้าอิซุโมะ ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นหนึ่งใน Power Spot ที่ทรงพลังทั้งในแง่ความเชื่อและพลังงานทางธรรมชาติ อีกทั้งยังสวยงามจนติดอันดับ 1 ใน 100 ชายหาดที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศอีกด้วย



002 Izumo Taisha Shrine
ไม่ไกลมากนัก เราก็มาเจอกับ ‘Izumo Taisha Shrine’ หรือศาลเจ้าอิซุโมะ ศาลเจ้าชินโตเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติ ภายในศาลเจ้าหลักเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้านามว่า โอคุนินูชิ โนะ โอคามิ เทพผู้สร้างแผ่นดินญี่ปุ่น ผู้ปกครองดินแดนอิซุโมะ และเป็นเทพแห่งความรักและการแต่งงาน โดยที่นี่มีธรรมเนียมการขอพรเฉพาะตัว คือจะต้องปรบมือ 4 ครั้งแทนที่จะเป็น 2 ครั้ง เหมือนศาลเจ้าอื่น เพื่ออธิษฐานให้ตนเองและคู่ครอง วิหารหลักของที่นี่ยังเป็นวิหารไม้ที่สูงที่สุดในบรรดาวิหารศาลเจ้าทั่วญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมงดงาม และยังมีวิหารคะงุระที่มีเชือกฟางศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่แขวนอยู่ เชื่อกันว่าหากโยนเหรียญขึ้นไปติดกับเชือกได้ คำอธิษฐานจะเป็นจริงด้วย ชาเลนจ์นี้ต้องลองสักครั้ง!




อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ในสายตาคนญี่ปุ่น คือความเชื่อโบราณที่ว่า ในทุกเดือนตุลาคมตามจันทรคติ เทพเจ้าทุกพระองค์จากทั่วญี่ปุ่นจะเดินทางมาชุมนุมกัน ณ ศาลเจ้าแห่งนี้ เพื่อประชุมเรื่องโชคชะตาและความสัมพันธ์ของผู้คน จึงเป็นช่วงเวลาที่ผู้ศรัทธาหลั่งไหลมาขอพรเป็นพิเศษ เพราะเชื่อว่าคำอธิษฐานในช่วงนี้จะไปถึงเหล่าเทพเจ้าได้มากที่สุด จนกลายเป็นปรากฏการณ์ศาลเจ้าแน่นทุกปี และอีกหนึ่งสัญลักษณ์น่ารักที่พบได้ทั่วบริเวณศาลเจ้าก็คือรูปปั้นกระต่าย ซึ่งเชื่อมโยงกับตำนานของเทพเจ้าโอคุนินุชิผู้เคยช่วยชีวิตกระต่ายตัวหนึ่งไว้ และต่อมาก็ได้รับพรแห่งความรักจนได้แต่งงานกับเจ้าหญิงตามตำนาน จึงไม่แปลกเลยที่ใคร ๆ ที่หวังในเรื่องความรักจะมุ่งหน้ามายังศาลเจ้านี้เป็นอันดับต้น ๆ







003 Shinmon Dori
เมื่อเดินออกมาด้านหน้าเราจะพบกับ ‘Shinmon Dori’ ชอปปิงสตรีทยาว 700 เมตร ที่ทอดจากประตูหน้าศาลเจ้าไปยังสะพานอูกะ ซึ่งก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของชาติเช่นกัน ตลอดสองฝั่งถนนเรียงรายไปด้วยร้านค้ากว่า 60 ร้าน ลักษณะผสมปนเปทั้งบ้านทรงโบราณ และอาคารพาณิชย์เก่าแก่ ที่บางร้านดัดแปลงหน้าตาให้ดูโมเดิร์น มินิมอลเหมาะกับยุคสมัย ครบตั้งแต่ร้านขายของที่ระลึก คาเฟ่ ร้านอาหารท้องถิ่นเลิศรส ควรค่าแก่การลิ้มลอง ไฮไลต์คือของหวานโบราณอย่าง zenzai (ซุปถั่วแดง) ที่เขามีร้านออริจินอลของขนมประเภทนี้รอให้เราไปเทสต์กันด้วย





004 Enishi Homemade Soba Noodles
หนึ่งในของเด็ดประจำเมือง เราขอยกให้โซบะจากร้าน ‘Enishi Homemade Soba Noodles’ แม้จะไม่ใช่ร้านเก่าแก่ แต่ก็โดดเด่นในการนำเสนออาหารท้องถิ่นได้ดีจนกลายเป็นร้านแนะนำอันดับต้น ๆ ของเมือง เมนูหลักคืออิซูโมะโซบะที่ใช้แป้งบัควีตจากจังหวัดชิมาเนะและพื้นที่อื่น ๆ ที่คัดเลือกตามฤดูกาล ทุกขั้นตอนใช้บัควีตล้วน ทำให้ได้เส้นที่มีเท็กซ์เจอร์แน่นและมีกลิ่นหอมของโซบะแบบดั้งเดิม ซึ่งแตกต่างจากโซบะภูมิภาคอื่นอย่างชัดเจน บรรยากาศร้านอบอุ่นในสไตล์วินเทจญี่ปุ่น เน้นงานไม้ มีทั้งเคาน์เตอร์บาร์สำหรับคนมาเดี่ยว และชุดโต๊ะพร้อมฉากกั้นให้ความเป็นส่วนตัวสำหรับกลุ่มเล็ก ๆ


โซบะของร้านมีให้เลือกทั้งแบบร้อน เย็น จัดเป็นเซตหลากหลายรูปแบบ เราลองสั่งชุด Best Seller มา 三色割子そば อ่านเป็นไทยว่า ซันโชกุ วาริโกะ โซบะ โซบะในถ้วย 3 ชั้น โปะท็อปปิงแตกต่างกันไป พร้อมเครื่องเคียงมาช่วยเพิ่มมิติให้เส้น วิธีกินคือเทซอสลงไปในถ้วยหนึ่งก่อน พอกินหมดก็เทซอสไปกินอีกถ้วย ตัดสลับกับความเผ็ดสดชื่นของไชเท้าขูดผสมพริก ความหวานของปลาโอแห้ง ตัดเลี่ยนด้วยสาหร่ายและต้นหอม เรียกว่าคนรักเส้นจะต้องฟินไปตาม ๆ กัน แต่ถ้าใครอยากเน้นโปรตีนเขาก็มีเซตข้าวหน้าปลากินคู่โซบะด้วยเช่นกัน

005 Fukunowa
กินคาวแล้วก็ต้องมาต่อด้วยของหวานล้างปากกันหน่อย เราเลือกของหวานที่ถ่ายรูปออกมาได้น่ารักสุด ๆ อย่าง Ofukuyak ไทยากิรูปทรงปลาปักเป้าของร้าน ‘Fukunowa’ หน้าตาน้องกลมดิ๊กตัวหนาน่าหยิก แป้งนุ่มใส่แน่น รสชาติหวานละมุนส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ แถมตรงคลีบกลางลำตัวยังเป็นรูปหัวใจอ้วน ๆ มาคอยเรียกรอยยิ้มอยู่ด้วย นอกจากจะน่ารักแล้ว ยังถือเป็นขนมมงคลอีกด้วย เพราะในภาษาญี่ปุ่น ปลาปักเป้าอ่านว่า ‘ฟุกุ’ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ ‘ฟุคุ’ ที่แปลว่าความโชคดีนั่นเอง



006 Sakaneya Zenzaimochi
ปิดจบการกินบนถนนเส้นนี้ให้สมมงนักชิมกันหน่อย ณ ร้าน ‘Sakaneya Zenzaimochi’ ร้านที่ขายขนมประเภท Zenzai (ซุปถั่วแดง) อันลือเลื่องของเมือง และยังเป็นร้านขายของฝากที่เหล่านักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาชอปกันแบบไม่ขาดสาย ซึ่งร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่อยู่มานานกว่า 153 ปี ขึ้นชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของขนม Zenzai ซึ่งเขาจะใช้ถั่วอะซูกิคุณภาพสูงปลูกในอิซุโมะ นำมาเคี่ยวผสมน้ำตาลหวานละมุน เกลือที่ผลิตในพื้นที่มอบความเค็มแสนอ่อนโยน จนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน มีเท็กซ์เจอร์ถ้่วแดงให้เคี้ยว พร้อมกับโมจิที่ทำจากข้าวเหนียวที่ปลูกในเมืองโอคุอิซุโมะ ทำให้มีความยืดหยุ่นสูง พออยู่ในซุปแล้วจะเหนียวนุ่มกำลังดีเลยล่ะ



007 Nima Sand Museum
ยลความปังในอดีตกันแล้วก็มาเจอความจึ้งแบบร่วมสมัยกันบ้างที่ ‘Nima Sand Museum’ พิพิธภัณฑ์อยู่ในเมือง Oda ห่างจากเมืองอิซุโมะไปราว ๆ 50 นาที เหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่ชอบงานสถาปัตยกรรม และคนที่ชอบเรื่องของทรายเพราะที่นี่จะพรีเซนต์เรื่องผืนทรายของจังหวัดชิมาเนะที่มีความละเอียดเป็นพิเศษ มีการสำรวจว่าเวลาที่เราเหยียบย่ำผืนทรายของที่นี่จะมีเสียงที่ไม่เหมือนที่ไหน แต่ละนิทรรศการเขาทำออกมาได้น่ามอง น่าถ่ายรูป น่าค้นหาไปหมด เริ่มตั้งแต่ความเทสต์ดีในการออกแบบอาคารรูปพีระมิดโปร่งแสง คล้ายกับที่สวนโมเอเรนุมะ ในซัปโปโร และยังมีการวางนาฬิกาทรายยักษ์ระยะเวลา 1 ปี ที่ถูกยกย่องว่าเป็นนาฬิกาทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย Guinness World Records ปี 2015 ไว้ให้เราได้เชยชมด้วย




เดินชมงานเสร็จ มาสร้างความประทับจิตประทับใจกันต่อกับบรรดาอีเวนต์ เวิร์กช็อปที่เขามีหมุนเวียนมาให้เล่นเรื่อย ๆ อย่างช่วงที่เรามาจะเป็นอาร์ตบนแผ่นกระดาษจากทราย เขาจะมีลายให้เราเลือก ซึ่งลายนั้นจะถูกปิดทับด้วยสติกเกอร์ เมื่อเลือกแล้วเราก็ค่อย ๆ ลอกสติกเกอร์ออกทีละส่วนแล้วเอาทรายมาโรยถมเป็นการลงสี ค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ จนครบทั้งแผ่น เท่านี้ก็ได้ของที่ระลึกหนึ่งเดียวในโลกกลับบ้าน และอีกความใส่ใจคือทรายสีที่อยู่ในถาดมีการระบุที่มา เอาไว้ให้เราได้เรียนรู้ไปในตัวด้วย โคตรเก๋ โคตรทำถึงเลย ไอเลิฟ




008 Omori Guinean
ขอพาย้อนวันวานอีกสักโลเคชันกับ ‘Omori Guinean’ หมู่บ้านกลางหุบเขาแสนสงบ ชุมชนเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในเขตมรดกโลกเหมืองแร่อิวามิ กลางหมู่บ้านนั้นจะมีเส้นถนนยาว 1 กิโลเมตรให้เราเดินชมบ้านเรือนไม้ทรงคลาสสิก ที่มีทั้งร้านค้า คาเฟ่ชื่อดังแอบซ่อนอยู่ อดีตที่นี่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าพ่อค้า ผู้พิพากษา และช่างฝีมือที่ได้รับผลประโยชน์จากเหมืองที่อยู่ใกล้เคียง เรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านของคนรวยเคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อน ซึ่งเราสามารถศึกษาเรื่องราวในอดีตได้ภายในบ้านที่ถูกเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ แบ่งให้ชมทั้งความเป็นอยู่ของพ่อค้า ซามูไร และสถานที่ทางศาสนา





ก่อนออกจากหมู่บ้านเราขอแวะพักขา นั่งชิลในคาเฟ่ไวบ์ดีอย่าง ‘Gungendo Store & MeDu Cafe’ ที่นี่เกิดขึ้นจากความรักของคู่สามีภรรยาที่กลับคืนถิ่นมาช่วยกันชูเสน่ห์ของหมู่บ้าน ทั้งเรื่องความงดงามของธรรมชาติตามฤดูกาล ไลฟ์สไตล์อันเก่าแก่ ถ่ายทอดผ่านงานคราฟต์ เริ่มจากขายของกระจุกกระจิก เมื่อมีเงินมากขึ้นจึงเป็นเปิดบริษัท เริ่มทำสินค้าที่เป็นเสื้อผ้า ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นทำผ้าทอเส้นสไตล์เรียบง่าย สกินแคร์จากพืช เปิดโปรแกรมฟาร์มสเตย์ และต่อยอดเป็นคาเฟ่อย่างที่เห็น โดยเขาจะขายทั้งของคาว-หวาน มีกลิ่นอายความโฮมมี่อย่างเนืองแน่น แค่สั่งอเมริกาโน่มาเสพบรรยากาศความชิลของบ้านเขาก็ฟินสุด ๆ แล้ว




เรากะเวลากลับมาที่อิซุโมะอีกครั้ง เพื่อให้ทันช่วงพระอาทิตย์ตกดินริม Inasa Beach ตั้งใจให้เป็นโลเคชันเปิด-ปิดจบวันไปแบบฟิน ๆ สมมงที่ติดท็อปหาดสวยที่สุดในญี่ปุ่นไปเลย แน่นอนว่าบรรยากาศตรงนี้มันสวยงามคนละแบบกับเมื่อเช้าอย่างสิ้นเชิง ถ้าให้เปรียบก็เหมือนหญิงสาวแรกแย้มในยามเช้าผันตัวเป็นสาวพราวเสน่ห์ในยามเย็น ทั่วทั้งพื้นที่ถูกแสงส้มแสนเซ็กซี่ฉาบทับทุกอณู เกิดแสงฟุ้งราวภาพในฝัน มีลมพัดพากลิ่นไอทะเลให้สูดดมได้เต็มปอด คลื่นซัดเสียงดังกว่าสิ่งใด ทำให้เราโฟกัสกับความงามของธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้ง บอกเลยแค่วันแรก ชิมาเนะก็ทำเราประทับใจ และตกหลุมรักเข้าอย่างจัง นี่สินะที่เรียกว่าชนบทแบบฉบับญี่ปุ่นที่เราตามหา



Day 2
009 Shimane Winery
วันที่สองเริ่มต้นอย่างสบาย ๆ สไตล์คนชิล ด้วยการเอาใจสายดื่มที่ ‘Shimane Winery’ โรงกลั่นไวน์ที่ดีที่สุดของจังหวัด ซึ่งมีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี 1960 และโรงกลั่นปัจจุบันก็เปิดให้บริการมานานกว่า 39 ปีแล้ว ที่นี่เริ่มต้นจากการพัฒนาสูตรไวน์อย่างจริงจัง ตั้งแต่การเลือกพื้นที่ปลูกองุ่น ความสูง อุณหภูมิ ไปจนถึงสายพันธุ์ ก่อนจะเปิดฟาร์มของตัวเองในปี 2008 กลายเป็นแหล่งผลิตไวน์พรีเมียมแบบครบวงจรที่คว้ารางวัลมาแล้วมากมาย ความอลังการแรกที่เตะตา คืออาคารสไตล์ตะวันตกขนาดใหญ่ มีหอคอยโดดเด่น ถังบ่มไวน์ไซซ์ยักษ์ และขวดไวน์ตั้งตระหง่านหน้าทางเข้าในโทนสีขาว-แดงที่เป็นเอกลักษณ์ เรียกว่าเป็นวิมานของคนรักไวน์ก็ไม่เกินจริง




เราสามารถเดินชมโรงงานผลิตไวน์ได้แบบฟรี ๆ โดยภายในมีโซน Bacchus ให้ทดลองชิมไวน์ เพื่อสัมผัสรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวของแต่ละชนิดอย่างใกล้ชิด ใครที่มองหาของฝากก็เตรียมละลายทรัพย์ได้เลย เพราะที่นี่มีทั้งไวน์และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากองุ่นให้เลือกสรรมากมาย พอเริ่มหิวก็แวะพักที่ ‘Chateau Misen’ ลิ้มรสบาร์บีคิววากิวชิมาเนะคุณภาพเยี่ยม เสิร์ฟพร้อมไวน์ชั้นดีที่ช่วยดึงรสชาติให้ยิ่งละมุน หรือหากอยากเบา ๆ สบายท้อง ลองไปที่ร้าน ‘Chardonnay’ คาเฟ่กึ่งร้านอาหารที่มีเมนูของหวานเบา ๆ ให้เลือก ส่วนไฮไลต์ที่ห้ามพลาดคือซอฟต์เสิร์ฟองุ่นเคียวโฮ รสหวานอมเปรี้ยว เย็นสดชื่น รีเฟรชอารมณ์ยามสายได้อย่างดีเยี่ยม




010 Adachi Museum of Art
ขับรถยิงยาวมาต่ออีกหนึ่งพิกัด The must! ของชิมาเนะ ‘Adachi Museum of Art’ พิพิธภัณฑ์ศิลปะอายุ 55 ปี ที่ก่อตั้งโดยคุณอาดาจิ เซนโก นักธุรกิจท้องถิ่นผู้มีใจรักในศิลปะญี่ปุ่นและต้องการสืบสานความงามแบบดั้งเดิมให้คนรุ่นหลัง ไฮไลต์ของที่นี่คือสวนญี่ปุ่นสุดตระการตาที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “สวนญี่ปุ่นที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น” ติดต่อกันถึง 22 ปี โดย Sukiya Living Magazine: The Journal of Japanese Gardening นิตยสารจากสหรัฐฯ ที่เชี่ยวชาญด้านสวนญี่ปุ่นโดยเฉพาะ สวนนี้ถูกออกแบบด้วยแนวคิดที่มองว่า “สวนคือภาพวาดที่มีชีวิต” โดยจัดวางองค์ประกอบทุกอย่างอย่างประณีต ไม่ว่าจะเป็นโขดหิน ต้นสน กรวดขาว หรือบ่อน้ำ ทุกมุมถูกออกแบบให้กลายเป็นทัศนียภาพที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าคุณจะมองผ่านหน้าต่างบานไหน ก็จะเสมือนกำลังชมงานจิตรกรรมจากธรรมชาติที่เคลื่อนไหวไปตามฤดูกาล ยิ่งในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีหรือหิมะขาวโพลน บรรยากาศจะยิ่งละเมียดละไมจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้น




ภายในพิพิธภัณฑ์ได้รวบรวมผลงานศิลปะญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคเมจิถึงโชวะไว้มากกว่า 1,300 ชิ้น ซึ่งจะมีการจัดแสดงหมุนเวียนตามช่วงเวลา รวมถึงนิทรรศการถาวรของโยโกยามะ ไทกัน (Yokoyama Taikan) ศิลปินผู้บุกเบิกแนว Nihonga ที่ผสานศิลปะญี่ปุ่นดั้งเดิมเข้ากับความร่วมสมัย พร้อมด้วยผลงานชิ้นสำคัญอย่าง “Autumn Leaves” (1931) ที่ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของพิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงผลงานของคิตะโอะจิ โรซันจิน (Kitaoji Rosanjin) ศิลปินและนักเซรามิกผู้มีบทบาทสำคัญในด้านศิลปะการจัดโต๊ะอาหารของญี่ปุ่น โดยรวบรวมไว้กว่า 500 ชิ้น ภายในอาคารจัดแสดงเซรามิกและหอโรซันจิน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จึงไม่ใช่เพียงสถานที่จัดแสดงศิลปะ แต่เปรียบเสมือนโลกแห่งสุนทรียศาสตร์ที่ถ่ายทอดความงามของญี่ปุ่นอย่างละเอียดละเมียดในทุกรายละเอียด


แต่จุดที่เราชอบที่สุดต้องยกให้ Midori Cafe คาเฟ่หรูแสนคลาสสิกในบรรยากาศเงียบสงบ ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของชากาแฟโชยมาไม่ขาดสาย เพิ่มความผ่อนคลายให้กับการชมศิลปะได้อย่างลงตัว โดยบริเวณที่นั่งของคาเฟ่จะหันหน้าออกสู่สวนหินแห้งแบบญี่ปุ่น (Dry Landscape Garden) ซึ่งจัดวางอย่างประณีตจนมองได้เพลิน ๆ ระหว่างจิบเครื่องดื่ม ในราคาเบา ๆ ประมาณ 1,000 เยน มีทั้งกาแฟ ชา น้ำผลไม้ให้เลือกตามชอบ วันนั้นเราสั่งอเมริกาโนเย็นมากินคู่กับไอศกรีมชาเขียวและวานิลลา รสหวานเย็นตัดกับความขมนิด ๆ ของกาแฟอย่างลงตัว เป็นโมเมนต์ที่ทั้งละมุนและสดชื่นไปพร้อมกัน ช่วยเติมพลังระหว่างวันได้ดีแบบไม่ต้องเร่งรีบ



011 Shimane Art Museum
ต่อมาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สมัยใหม่ขึ้นมาหน่อยกับ ‘Shimane Art Museum’ มิวเซียมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคซันอิน ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 26 ปีก่อน ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบชินจิ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบและงดงาม จุดเด่นของที่นี่คือฝั่งทิศตะวันตกของอาคารที่ออกแบบด้วยผนังกระจกใสตั้งแต่พื้นจรดเพดานเรียงเป็นแนวยาว เปิดมุมมองแบบพาโนรามาให้ผู้ชมได้ดื่มด่ำกับวิวทะเลสาบโดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ตก ซึ่งขึ้นชื่อว่าสวยงามติดอันดับต้น ๆ ของจังหวัด และยังสอดรับกับคอนเซปต์ “Museum by the Lake, Bathed in Evening Sun” ได้อย่างลงตัว โดยพิพิธภัณฑ์จะปิดทำการหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว 30 นาที ซึ่งทางเว็บไซต์จะมีการอัปเดตเวลาพระอาทิตย์ตกในแต่ละวันให้ผู้มาเยือนได้วางแผนอย่างสะดวกอีกด้วย





ภายในมิวเซียมมีทั้งหมด 2 ชั้น แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็นนิทรรศการถาวรและนิทรรศการหมุนเวียนอย่างลงตัว โดยนิทรรศการถาวรจะรวมผลงานศิลปะหลากแขนง ทั้งงานฝีมือดั้งเดิม ศิลปะญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ผลงานของศิลปินตะวันตก ประติมากรรมไม้ ภาพถ่าย และอื่น ๆ ที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางศิลปะอย่างครบถ้วน ส่วนโซนนิทรรศการหมุนเวียนก็มีความเคลื่อนไหวตลอดทั้งปี ด้วยการจัดแสดงกว่า 40 งานต่อปี อย่างในช่วงที่เราไปเยือน เป็นรอบของผลงานโดย Hokusai ศิลปินญี่ปุ่นระดับตำนานผู้มีอิทธิพลต่อศิลปินกลุ่ม Impressionism ในยุโรป ผลงานที่โดดเด่นคือภาพ “คลื่นยักษ์” อันอ่อนช้อยแต่ทรงพลังซึ่งมีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลัง จัดแสดงในชุด ‘Fuji Set’ ที่เรียกได้ว่าเห็นแล้วชวนให้น้ำตาซึมด้วยความประทับใจ





012 Kishi Park / SUNSET PARK & CAFE
หลังจากชมนิทรรศการด้านในจนจุใจ ฟ้าก็เริ่มแต้มแสงอุ่นยามเย็น เราเลยออกมาเดินเล่นต่อที่สวนคิชิ (Kishi Park) ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างของพิพิธภัณฑ์ บรรยากาศโดยรอบแสนสบาย มีงานศิลปะกลางแจ้งจัดวางกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ ให้ได้เดินละเมียดชมพร้อมถ่ายภาพเก็บเป็นคอลเลกชันน่ารัก ๆ หนึ่งในไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้คือรูปปั้นกระต่าย 12 ตัวที่เรียงตัวกันเป็นเส้นโค้งชื่อ Shinjiko Usagi สร้างจากสัมฤทธิ์ ด้วยท่าทางเหมือนกำลังกระโดดอย่างมีชีวิตชีวา โดยมีความเชื่อว่าหากเรายืนหันหน้าไปทางทิศตะวันตก แล้วลูบกระต่ายตัวที่สอง จะได้รับพรเรื่องความสุขในชีวิต นอกจากนี้ยังมีเส้นทางเดินเล่นริมฝั่งยาวถึง 2.7 กิโลเมตร ที่สามารถเดินทอดน่องชมวิว ทะเลสาบชินจิไปพร้อมแสงอาทิตย์ตกได้แบบชิลสุด ๆ






คนชิคอย่างเราจะมานั่งชมพระอาทิตย์ตกแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ทุกวันได้ยังไง วันนี้เลยขอเปลี่ยนบรรยากาศปักหมุดมาที่ ‘SUNSET PARK & CAFE’ คาเฟ่เล็ก ๆ สุดคิวต์ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ริมทะเลสาบชินจิอย่างโดดเดี่ยว มีเสน่ห์ตรงโครงสร้างบ้านทรงจั่วหลังเล็กสีขาวสะอาดตา ติดกระจกสีสันหลากสีสลับไปมาให้ฟีลสดใสสุดละมุน ตัวร้านเป็นแบบ Take away เท่านั้น ซื้อแล้วก็ถือออกไปหามุมโปรดนั่งจิบเครื่องดื่มพร้อมหนังสือเล่มโปรดท่ามกลางแดดยามเย็นได้แบบไม่ต้องเร่งรีบ เมนูของที่นี่มีทั้งสาย coffee และ non-coffee แต่ถ้าอยากได้เครื่องดื่มถ่ายรูปสวย เพิ่มไวบ์ซัมเมอร์แนะนำ Blue Hour Ginger, Sunset Mango Tea Soda และ Magichour Remonade ที่มาในเฉดไล่สีสวยสดชื่น รสชาติก็จี๊ดจ๊าดกระตุ้นความสดใสได้ดีสุด ๆ






แล้วช่วงเวลาที่เรารอคอยก็มาถึง… วานิลลาสกายเริ่มฉายเฉดฟ้าอมชมพูละมุนละไมพร้อมกับแสงไฟสีส้มจากร้านคาเฟ่ที่เปิดขึ้นอย่างรู้งาน ทุกอย่างรอบตัวค่อย ๆ เงียบลง เหลือเพียงเสียงลมพัดผ่านใบไม้ และเสียงนกที่ดังคลออยู่ในฉากหลัง ก่อนที่ไข่แดงลูกโตของพระอาทิตย์จะค่อย ๆ ล่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำตรงหน้า มันเป็นโมเมนต์ที่งดงามและสงบจนน่าอัศจรรย์ จนเรารู้สึกเหมือนโลกหยุดไว้แค่ตรงนั้น ไม่ใช่แค่เราที่สตั๊นท์ไปกับภาพตรงหน้า กลุ่มคนข้าง ๆ เองก็เผลอหลุดเสียงว้าวออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เรียกได้ว่าสมกับการถูกจัดให้เป็น 1 ใน 100 จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นแบบไร้ข้อกังขาเลยจริง ๆ




013 Matsue Suigosai Fireworks
และชิ้นงานมาสเตอร์พีซของเมืองนี้ก็ตกอยู่ในช่วงซัมเมอร์แบบพอดิบพอดี กับเทศกาลพลุสุดตระการตา ‘Matsue Suigosai Fireworks’ หนึ่งในเทศกาลดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ที่ไม่เพียงแต่จะดึงดูดชาวญี่ปุ่นจากทั่วสารทิศให้มารวมตัวกันริมทะเลสาบชินจิ แต่ยังดึงดูดสายตาผู้คนจากทั่วโลกให้ปักหมุดมาสัมผัสประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะตลอดทั้งงานจะมีการจุดพลุรวมกันมากกว่า 10,000 นัด ส่องประกายระยิบระยับกลางเวหา ก่อนจะตกกระทบผิวน้ำและสะท้อนกลับกลายเป็นงานศิลป์เคลื่อนไหวที่แต่งแต้มความมืดให้กลายเป็นค่ำคืนแห่งมนตร์เสน่ห์ เต็มไปด้วยเสียงว้าว เสียงปรบมือ และความรู้สึกอิ่มเอมใจชนิดที่ยากจะลืม งานนี้จัดขึ้นเพียงปีละครั้งในช่วงฤดูร้อน และมีเพียง 2 คืนเท่านั้น โดยปี 2024 ที่ผ่านมาจัดตรงวันที่ 3 และ 4 สิงหาคม ถ้าไม่อยากพลาด ต้องแพลนไว้ให้เป๊ะ!


Day 3
014 Matsue City
วันสุดท้ายของทริปนี้เราไม่เน้นแน่นแต่เน้นชิลเหมือนเดิม เริ่มจากการตื่นมาเดินเล่นชมเมือง Matsue (มัตสึเอะ) เมืองเอกของจังหวัดชิมาเนะที่ได้ฉายาว่า “เมืองแห่งน้ำ” เพราะโอบล้อมไปด้วยทั้งทะเลสาบชินจิ ทะเลสาบนากาอุมิ และทะเลญี่ปุ่น บรรยากาศสงบงามแฝงกลิ่นอายประวัติศาสตร์ เหมาะแก่การใช้เวลาอย่างละเมียดละไม หนึ่งในกิจกรรมที่ช่วยให้เราทำความรู้จักกับเมืองนี้ได้ดีที่สุดคือการล่องเรือแม่น้ำโฮริคาวะรอบปราสาทมัตสึเอะ ลัดเลาะผ่านหมู่บ้านซามูไร ถนนชิโอมินาวาเตะ และลอดใต้สะพานหินโบราณในบรรยากาศย้อนยุค จุดขึ้นเรือมีให้เลือก 3 แห่ง ได้แก่ Fureai Hiroba, Otemae Hiroba และ Karakoro Hiroba ใช้เวลาราว 50 นาทีต่อรอบ แนะนำให้มาร์กจุดที่อยากแวะไว้ล่วงหน้า จะได้ลงเดินเที่ยวต่อแบบไม่มีพลาด




015 Matsue Castle
โลเคชันที่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจของชาวเมืองมัตสึเอะคงหนีไม่พ้น ‘Matsue Castle’ หนึ่งใน 12 ปราสาทดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ยังคงโครงสร้างเดิมไว้ครบถ้วน และยังติดโผ 100 ปราสาทยอดเยี่ยมของประเทศอีกด้วย อีกชื่อหนึ่งของที่นี่คือ ‘ปราสาทดำ’ ซึ่งมาจากภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามของตัวปราสาทที่ทาด้วยสีดำสนิท ตัดกับไม้และหลังคาอย่างสง่างาม ตัวปราสาทสูงถึง 6 ชั้น ถูกสร้างขึ้นเมื่อกว่า 400 ปีก่อน โดยขุนนางโฮริโอะ โยชิฮารุ ก่อนจะตกเป็นของตระกูลมัตสึไดระในเวลาต่อมา สิ่งที่น่าทึ่งคือโครงสร้างเดิมยังคงอยู่ครบ ไม่เคยพังทลายจากสงครามหรือภัยธรรมชาติ ความงดงามที่เห็นจึงไม่ใช่แค่ภาพ แต่คือมรดกทางประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต


ภายในปราสาทมัตสึเอะถูกจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ของเมือง ข้าวของเครื่องใช้ในยุคอดีต ไปจนถึงเกร็ดเรื่องราวของขุนนางและซามูไรผู้เคยครองแคว้นนี้ และเมื่อเดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุด ยังสามารถชมวิวแบบพาโนรามา 360 องศา มองเห็นทั้งตัวเมืองมัตสึเอะ ทะเลสาบ และธรรมชาติรอบด้านได้อย่างถนัดตา หากใครอยากเข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนยุคก่อนลึกซึ้งยิ่งขึ้น แนะนำให้แวะไปยัง บ้านพักของแล็ฟคาดิโอ เฮิร์น (Lafcadio Hearn’s Residence) นักเขียนชาวกรีกผู้ตกหลุมรักญี่ปุ่นหลังจากแต่งงานกับหญิงชาวมัตสึเอะในปี 1890 และฝากผลงานสำคัญอย่าง Glimpses of Unfamiliar Japan ที่ช่วยเปิดโลกตะวันตกให้รู้จักวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างงดงาม ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเดินเล่นในหมู่บ้านซามูไร ชมบ้านเรือนโบราณที่สะท้อนชีวิตอันเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยพิธีรีตอง สมฐานะของชนชั้นนักรบผู้ทรงอิทธิพลในยุคนั้น



ทริปชิมาเนะ 3 วันแบบชิล ๆ แต่คุณภาพแน่น! พาเราไปสัมผัสจุดชมวิวระดับท็อปของญี่ปุ่น เทศกาลประจำปีสุดยิ่งใหญ่ มรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า ร้านอาหารท้องถิ่นที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ และมิวเซียมหลากสไตล์ที่ชวนให้เราได้พักผ่อนใจพร้อมเก็บแรงบันดาลใจกลับไปเต็มกระเป๋า เป็นการรีทรีตทั้งกายและใจที่สั้นแต่ได้ผลเกินคาด เรียกว่าเติมพลังให้ชีวิตได้แบบครบสูตรจริง ๆ






