Discover Georgia! : where East meets West

ทวีปเอเชียของเราขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนเก่าแก่ต้นกำเนิดแห่งรากเหง้าและอารยธรรมบนผืนโลก ความลึกลับและสิ่งที่น่าค้นหาจึงมีมากมายชนิดที่ถ้าให้เล่าสามวันสามคืนก็อาจไม่จบ ทริปนี้เราเลยจะขอยกเรื่องราวในประเทศสุดขอบเอเชียที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,500 ปี หนึ่งในเส้นทางสายไหมที่ทรงคุณค่า เส้นทางสายวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงระหว่างยุโรปและเอเซีย ณ เทือกเขาคอเคซัส ศูนย์กลางคริสต์ศาสนา อดีตส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตที่ดีงามทั้งสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และธรรมชาติที่สดใหม่ไร้การปรุงแต่ง นั่นคือ “จอเจีย” ประเทศที่สวยจนทำให้พวกเธอเสียใจหากไม่ได้มา เพราะฉะนั้นจงตามเรามาดูแล้วจะรู้ว่าแผ่นดินสุดขอบเอเชียแห่งนี้จะทำให้ทุกคนเผลอตัวคิดว่าเดินอยู่ในยุโรปและตกหลุมรักได้ไม่ยาก …

ก่อนจะเริ่มทริปเราคงต้องอารัมภบทเล่าเรื่องประเทศจอร์เจียกันสักหน่อย เราว่าหลายคนอาจจะยังนึกไม่ออกว่าจอร์เจียนี่เอเชียหรือยุโรป เอาเป็นว่าถ้าคุ้นชื่อสหภาพโซเวียต ทะเลดำ และเทือกเขาคอเคซัส พวกแกมาถูกทางแล้วล่ะ เพราะหากลองกางแผนที่เราจะเห็นจอร์เจียตรงสุดขอบเอเชีย ติดๆ กับตุรกีและยุโรป ซึ่งเมื่อก่อนประเทศนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตที่ปกครองโดยรัสเซีย พอหลังจากสงครามเย็นนางก็ได้ประกาศตัวเป็นเอกราช แยกออกมาปกครองตนเองอย่างเป็นทางการ

หนึ่งสิ่งที่ประทับใจที่ไม่เอ่ยไว้คงไม่ได้ ทริปนี้เราไม่ได้ไปกันเองแบบทุกครั้งเว้ยแกร๊ แต่เราได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ใจดี AIS Serenade ให้ร่วมออกเดินทางไปกับ Serenade Exclusive Trip พร้อมผู้โชคดีที่ทาง AIS Serenade จัดให้ลูกค้าทั้ง Emerald, Gold และ Platinum มาร่วมตอบคำถามเพื่อลุ้นรางวัลไปเปิดประสบการณ์ดีๆ ที่จอร์เจีย โดยกิจกรรมดีๆ เค้าจัดมาแล้วอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 (ตั้งแต่ปี 2010 – 2018) หากใครสนใจสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ ที่นี่ นะแกร๊

Day 1 : One day in Tbilisi

วันแรกเราเปิดทริปสวยๆ กันที่ ทบิลิซี (Tbilisi) เมืองหลวงเก่าแก่ของจอร์เจียที่มีอายุกว่า 1,500 ปี ทิลิซี แปลว่าความอบอุ่นตั้งชื่อตามเมืองนี้ที่มีน้ำพุร้อนธรรมชาติอยู่หลายจุด เมืองหลวงแห่งนี้จะหน้าตาละม้ายคล้ายยุโรปสุดๆ บ้านเมืองคอนข้างเงียบสงบ สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สื่อถึงความสวยงามของวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม และด้วยขนาดของเมืองที่ไม่ได้ใหญ่มากเลยทำให้เราเที่ยวได้ง่ายๆ โดยที่แรกเราไปกันที่ วิหารศักดิ์สิทธิ์ของทบิลิซี (Holy Trinity Cathedral) หรือที่เรียกกันว่ามหาวิหารซาเมบา (Sameba) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายออโธดอกซ์ที่สร้างขึ้นนระหว่างปี 1995 ถึง 1997 โบสถ์แห่งนี้ถือเป็นโบสถ์หลักในจอร์เจียที่มีความสูงอันดับ 3 ของโลก

ก่อนจะเข้าไปชมด้านในโบสถ์ผู้หญิงทุกคนจะต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะตามหลักศาสนา คือชาวจอร์เจี้ยนเค้านับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นคริสตจักรแท้จริงเพียงหนึ่งเดียวที่ก่อตั้งโดยพระผู้เป็นเจ้า โดยสืบเนื่องมาจากอัครทูตของพระเยซูคริสต์และปฏิบัติตามหลักการทางเทววิทยาอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยศาสนาคริสต์ยุคแรก ด้วยเหตุผลดังกล่าวเลยทำให้คนที่นี่ค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องการแต่งกายก่อนเข้าโบสถ์เป็นที่สุด เอาเป็นว่าใครจะไปก็เตรียมผ้าคลุมเก๋ๆ คู่ใจของตัวเองไปเป็นพร๊อพถ่ายรูปด้วยนะ แต่ถ้าไม่ได้เตรียมไปตามโบสถ์หลักๆ เค้าก็มีให้ยืมใช้ฟรีไม่ต้องกังวัลจ้า … ส่วนบรรยากาศและสถาปัตยกรรมภายในโบสถ์ถือว่าสวยงามโอ่อ่า มันดูเรียบง่ายไม่ได้อลังการประดิษฐ์ประดอยมากนัก จะค่อนข้างต่างจากที่เราเคยเห็นในยุโรปที่จะตกแต่งอู้ฟู่อลังการมากกว่าที่นี่ เราว่าที่นี่คือนิยามของคำว่าเรียบหรูดูแพงของแท้แน่นอน

จากโบสถ์หลักของเมืองเรามุ่งหน้าไปต่อที่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจอร์เจีย Museum of Georgia ที่นี่คือสถานที่ๆ จะทำให้เรารู้จักประวัติศาสตร์จอร์เจียเพิ่มขึ้น เพราะมันคือมิวเซียมที่เก็บรวบรวมหลักฐานต่างๆ ที่เป็นมรดกของชาติเอาไว้มากมาย มีซากสัตว์ดึกดำบรรพ์อายุกว่า 40 ล้านปี เรื่องราวโบราณคดี และชาติพันธุ์ต่างๆ ในทุกๆ ยุค ถ้าใครเป็นสายมิวเซียมรับรองเลยว่าเดินเล่นชมนู่นนี่นั่นกันได้เพลินๆ แบบไม่มีเบื่อ หากใครจะมาที่นี่เค้าเปิดให้เข้าชมทุกวันอังคาร-อาทิตย์ 10.00-18.00 น. ราคา 3-5 ลารี

เดินมิวเซียมเสร็จเราก็มานั่งกระเช้าเพื่อขึ้นไปเที่ยวต่อกันที่ ป้อมนาริกาลา (Narikala Fortress) ป้อมปราการที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เพื่อปกป้องเมืองทบิลิซี โดย Nari-Kala ในภาษาเปอร์เซียแปลว่า “ป้อมที่ไม่สามารถตีแตกได้” ตามประวัติเค้าบอกว่าป้อมนี้แข็งแกร่งจนข้าศึกมารบเท่าไหร่ก็ไม่มีใครสามารถตีแตกได้จริงๆ แต่ปัจจุบันป้อมก็มิได้สมบูรณ์อันเนื่องมากจากได้รับความเสียหายหนักจากแผ่นดินไหวเมื่อเกือบ 200 ปีที่แล้ว

พอกระเช้าค่อยๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้เราได้เห็นวิวของเมืองทิบิลิซีได้อย่างเต็มตา ซึ่งถ้ามองจากด้านป้อมด้านบนลงมาเราก็จะเห็นแลนมาร์คหลักๆ ที่สำคัญในเมืองเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น สะพานสันติภาพ (The Bridge of Peace) สะพานความยาว 150 เมตร ที่สร้างพาดผ่านแม่น้ำคูราเพื่อเชื่อมระหว่างตัวเมืองเก่าและเมืองใหม่ทบิลิซี, โบสถ์เมเตคี (Metekhi Cathedral), รูปปั้นของกษัตริย์วาคตัง จอร์กาซาลี (Vakhtang Gorgasali) รวมถึงโบสถ์ทรินิตี้โลเคชั่นแรกที่เราได้ไปเยี่ยมชมมาแล้ว

ใกล้ๆ กันถ้าเราหันไปด้านซ้ายแล้วเดินต่อไปอีกหน่อยก็จะเจอแม่ที่ยืนสง่ามือหนึ่งถือแก้วไวน์อีกมือถือดาบ ผู้หญิงรูปร่างสูงใหญ่กว่า 20 เมตร บนยอดเขาโซโลลากิ (Solo Laki Hill) ยอดเขาเดียวกันกับป้อมนาริกาลา ผู้หญิงคนนี้ก็คือ Mother of a Georgian หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Kartlis Deda ซึ่งรูปปั้นนี้แสดงถึงนิสัยและจิตวิญญาณของชาวจอร์เจียที่จะบอกว่าถ้าพวกแกมาดีเราจะเลี้ยงดูปูเสื่อยื่นแก้วไวน์ให้จิบชิวๆ แต่ถ้าแกมาร้ายเราจะใช้ดาบฟาดฟันแกให้สิ้นซาก

จบจากการเยี่ยมชมเมืองทบิลิซีเราก็กลับเข้าที่พัก ซึ่งแน่นอนว่าทาง AIS ก็ต้องเลือกที่พักที่ดีที่สุดในเมืองนี้ให้เราให้เหมาะสมกับ Serenade Exclusive Trip สองคืนแรกเราจึงนอนสบายๆ กันที่ Tbilisi Marriott Hotel โรงแรมระดับ 5 ดาว สุดหรูหราที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองใกล้แหล่งท่องเที่ยว แหล่งช้อปปิ้ง มันคือที่พักที่เหมาะแก่การพักผ่อนจริงๆ

Day 2 : Tbilisi – Ananuri – Gudari – Kazbegi – Tbilisi

วันนี้เราจะออกจากทิบิลิซี่แต่เช้า เดินทางไปตามเส้นทางหลวงจอร์เจียนมิลิทารีไฮเวย์ (Georgian Military Highway) โดยแวะเช็คอินจุดแรกกันที่ ป้อมปราสาทอันนานูรี (Ananuri Fortress) ป้อมปราสาทเก่าแก่ที่กำลังจะได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก ไฮไลท์ของการมาที่นี่คือการชมร่องรอยกำแพงที่ยิ่งใหญ่และทัศนียภาพที่สวยงามของแม่น้ำอารักวี ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของประเทศจอร์เจียที่ล้อมรอบด้วยภูเขา โดยภายในป้อมจะประกอบด้วยโบสถ์ 2 หลัง หากใครมีเรี่ยวแรงพอ เราแนะนำให้เดินขึ้นไปบนยอดเพื่อเก็บภาพป้อมปราการคู่กับแม่น้ำ แต่หากขึ้นไม่ไหวก็เดินเล่นดูศิลปะด้านในก็สวยงามกิ๊บเก๋ไม่ขี้เหร่ไปกว่าวิวด้านนอกเลย

รถไต่ระดับความสูงของเทือกเขาคอเคซัสตามเส้นทาง Georgian Military Highway สู่ เมืองกุเดารี Gudari เมืองสกีที่มีชื่อเสียง โดยช่วงฤดูหนาวนักท่องเที่ยวจะมาเล่นสกีกันที่นี่กันจำนวนมาก ส่วนแลนด์มาร์คสำคัญแห่งหนึ่งบนถนนเส้นนี้ก็คือ Russia – Georgia Friendship Monument อนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นมาในปี ค.ศ. 1983 เพื่อเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันดีของประเทศจอร์เจียและประเทศรัสเซีย บอกเลยว่าตลอดการล่องไปบนเส้นทางสายไหมแห่งทรานส์คอเคเซียทำให้หัวใจเราเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเพราะตื่นเต้นกับความว้าวของวิวและเทือกเขาคอเคซัสตลอดเวลา ไม่แปลกใจที่ความสวยงามระดับโลกแบบนี้จะได้รับการเสนอชื่อเข้าเป็นมรดกโลกอีกหนึ่งแห่งเรียบร้อยแล้ว

ชมวิวปังๆ ตลอดทาง ในที่สุดเราก็มาถึง เมืองคาซเบกิ Kazebegi เมืองที่ห้อมล้อมไปด้วยเทือกเขาคอเคซัส เรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางการท่องเที่ยวเพราะมี Tsminda Sameba Church แลนด์มาร์คสำคัญของจอร์เจีย รวมทั้งเป็นจุดชมวิวยอดเขา KAZBEG หนึ่งในยอดเขาที่สวยที่สุดของเทือกเขาคอเคซัส เมื่อเรามาถึงก็ได้นั่งพักจิบอาฟเตอร์นูนทีแกล้มวิวภูเขาพอหอมปากหอมคอ แล้วก็ต้องแปลงร่างเป็นสายลุยนั่งรถ 4X4 ขึ้นเขาไต่ไปที่ระดับความสูงกว่า 2,000 เหนือระดับน้ำทะเล เส้นทางค่อนข้างโหดเหมือนกระโดดไปในขณะนั่งตับไตไส้พุงแทบจะมากองรวมกัน แต่พี่โชเฟอร์ก็พาเราไต่ไปด้วยความชำนิชำนาญจนถึงที่หมาย

ในที่สุดเราก็ถึงจอร์เจียร์เมื่อมายืนอยู่บนยอดเขาที่ตรงหน้าคือ โบสถ์สมินดา ซาเมบา (Tsminda Sameba Church) โบสถ์ชื่อดังกลางหุบเขาแลนด์มาร์คสำคัญของจอร์เจียที่เราเชื่อว่านักเที่ยวแทบทุกคนต้องเคยผ่านตามาแล้ว เพราะโลเคชั่นนี้เคยอยู่บนโปสการ์ด หนังสือท่องเที่ยว อินเตอร์เน็ต และสื่อต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน โดยโบสถ์สมินดา ซาเมบา สร้างด้วยหินแกรนิตขนาดใหญ่ บนความสูงกว่า 2,000 เมตรเหนือระดับทะเล ตัวโบสถ์และหอระฆังตั้งอยู่ติดๆ กัน แถมมีฉากด้านหลังอันตระการตาคือภูเขาคาสเบ็กที่สูงถึง 5,043 เมตร เรายืนโอ้โหอยู่กับความอลังการเบื้องหน้าอยู่สักพักก็เดินเข้าไปชมความสวยงามด้านในต่อ

สำหรับเราภายในโบสถ์ไม่ได้มีความพิเศษหรือโดดเด่นไปกว่าที่อื่น แต่เราว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนติดตาและรู้สึกพิเศษคือองค์ประกอบโดยรวมของที่นี่ ทั้งทำเลที่ตั้งที่เราคิดในใจมาตลอดทางว่าใครมันช่างบ้ามาสร้างโบสถ์หินข้างบนนี้ได้แล้วก็คิดอีกว่าแล้วทำไมเราก็บ้ามุมานะขึ้นมาเที่ยวบนนี้ได้ ทั้งฉากหลังอลังการ ทั้งถนนหนทางที่แสนจะลำบากกว่าจะมาถึงได้ ถ้าถามว่าประทับใจไหมเราตอบได้ทันทีเลยว่าประทับใจมาก สวยมาก เหมือนฉากในฝันเลย แต่ถ้าถามว่าให้มาอีกจะมาไหมอันนี้ตอบเลยว่ามา เพราะตอนนี้ทางขึ้นเขาที่เค้าสร้างใหม่ใกล้เสร็จแล้ว นั่นหมายความว่าถ้ามารอบหน้าก็นั่งสวยๆ ขึ้นไปชมวิวปังๆ ได้เลย

Day 3 : Tbilisi – Mtskheta – Gori – Uplistsikhe – Kutaisi

เราเดินทางไป เมืองมิสเคด้า (Mtskheta) เมืองที่เคยเป็นเมืองหลวงของจอร์เจียก่อนที่จะย้ายไปทบิลิซี ถือเป็นเมืองที่มีคนอยู่ต่อเนื่องยาวนานที่สุดเมืองหนึ่ง จนองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานแห่งเมืองมิทสเคด้าให้เป็นมรดกโลก (UNESCO World Heritage Site) และเนื่องจากมิสเคด้าเป็นเมืองสำคัญทางศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์แบบจอร์เจีย จึงพลาดไม่ได้กับการไปชมศิลปะแห่งไบเซนไทน์ ที่ตั้งไม้กางเขนยัก ณ มหาวิหารจวารี (Jvari Monastery) หรือ อารามแห่งไม้กางเขน ซึ่งตามตำนานกล่าวว่าสมัยโบราณกาลนักบุญนีโน่แห่งคัปปาโดเกียได้นำไม้กางเขนนี้เข้ามาพร้อมกับการเผยแพร่ศาสนาคริสต์เป็นครั้งแรก ผู้แสวงบุญทั้งหลายและชาวจอร์เจี้ยนจึงนับถือศรัทธาที่นี่เป็นอย่างมาก โดยจุดนี้เราสามารถรับลมเย็นๆ ชิวๆ และมองวิวแม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน นั่นก็คือ แม่น้ำ Mtkvari และแม่น้ำ Aragvi แถมยังมองเห็นวิหารสเวติสโคเวลีโลเคชั่นต่อจากนี้ที่เราจะไปด้วย

ไปต่อที่วิหารใหญ่อันดับ 2 ของประเทศรองจาก Tbilisi Holy Trinity cathedral นั่นก็คือ วิหารสเวติสโคเวลี (Sveti Tskhoveli Cathedral) ที่นี่ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนความเชื่อมานับถือศานาคริสต์ ซึ่งกลายมาเป็นศาสนาประจำชาติของจอร์เจีย Sveti Tskhoveli Cathedral หมายถึง “เสาที่มีชีวิต” The Living Pillar Cathedral เพราะสตอรี่ของที่นี่มีเรื่องมหัศจรรย์เกี่ยวกับเสาไม้ชีดาร์ที่นำมาสร้างวิหารแห่งนี้เกิดขึ้นมากมาย ข้างในมีโบสถ์เล็กๆ ภายในอีกโบสถ์จำลองแบบมาจาก Chapel of Holy Sepulchre in Jerusalem เป็นเครื่องยืนยันว่าที่นี่มีความสำคัญสูงสุดรองจากโบสถ์ในเยรูซาเลม นอกจากนี้ที่นี่ยังเคยเป็นที่ประกอบพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์แห่งจอร์เจียและเป็นสุสานสำหรับฝังพระศพของกษัตริย์ถึง 10 พระองค์อีกด้วย

รอบๆ วิหารจะมีโซนขายของที่ระลึกพื้นเมืองให้เราเดินเล่นเพลินๆ ได้ แถบนี้จะเป็นโซนที่ใกล้กับไวน์ยาร์ดเก่าแก่ของราชวงศ์จอร์เจีย และแน่นอนของเด็ดของแถบนี้จึงต้องเป็นไวน์องุ่น และที่พลาดไม่ได้เลยคือแกต้องไปหาร้านไอติมไวน์องุ่นให้เจอ แล้วจงจัดมาชิมให้ชื่นใจเพราะมันอร่อยมากเราเองยังติดใจมาจนถึงวันนี้

มื้อเที่ยงของเราเป็นอาหารโลคอลสไตล์ Local Georgian and European cuisine ที่ The Chamber of Wine โดยพอเดินทางไปถึงปุ๊บที่ร้านก็ต้อนรับเราด้วยสารพัดไวน์ให้ชิมจนจุใจ มันช่างเป็นการเรียกน้ำย่อยได้ดีทีเดียว ก่อนจะลงมือทานมื้อใหญ่แบบจัดหนักจัดเต็มตามแบบฉบับ Serenade Exclusive Trip ที่ไม่เคยจะมีมื้อไหนธรรมดา

ทานมื้อเที่ยงเสร็จเราไปต่อกันที่ พิพิธภัณฑ์โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin State Museum) ซึ่งตั้งอยู่ในจัตุรัสกลางเมืองกอรี (GoriI)  บ้านเกิดของโจเซฟ สตาลิน อดีตเป็นผู้ปกครองสหภาพโซเวียตนั่นเอง พิพิธภัณฑ์แห่งนี้รวบรวมเรื่องราวของสตาลินมากมาย ทั้งภาพถ่าย ภาพวาด ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ของขวัญ ของกำนัล จากบรรดามิตรประเทศ โดยแบ่งออกเป็น 3 โซนด้วยกัน ได้แก่ Stalin’s house ที่จำลองบ้านเกิดสมัยเด็กของสตาลินเอาไว้  Stalin Museum โซนนี้คือโซนหลักของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งรวบรวมเรื่องราวทั้งหมดของสตาลิน รวมไปถึงรูปต่างๆ แถมยังเป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งลัทธิสังคมนิยมอีกด้วย และสุดท้ายคือ Stalin’s railway carriage เป็นโบกี้รถไฟสีเขียวที่นำมาจัดแสดงไว้เพราะว่าสตาลินเป็นคนนำรถไฟรุ่นนี้เข้ามาใช้ในโซเวียตครั้งแรก

ถ้ายังพอจำเนื้อหาเรียนในวิชาสังคมช่วง ม.ปลาย กันได้ โจเซฟ สตาลิน นี่แหล่ะคือผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของสหภาพโซเวียต เค้าได้รับการขนานนามว่า บิดาแห่งชาวสหภาพโซเวียตทั้งปวง เป็นผู้นำคอมมิวนิสต์ที่สามารถนำพาโซเวียตให้ชนะนาซีในสงครามโลกได้ และพัฒนาประเทศให้เจริญจนนำสหภาพโซเวียตก้าวขึ้นสู่เป็นประเทศมหาอำนาจของโลก และปกครองสหภาพโซเวียตแบบคอมมิวนิสต์คู่ขนานไปกับอเมริกาที่ปกครองแบบประชาธิปไตย เรียกได้ว่าสตาลินคือผู้นำที่มีบทบาทการปกครองระดับโลกเลยทีเดียว ในขณะที่เราเดินชมเรื่องราวต่างๆ ของสตาลินและสหภาพโซเวียต เราได้เห็นถึงความใส่ใจรายละเอียด ความสวยงามเล็กๆ น้อยๆ ที่รวมกันแล้วออกมาเป็นงานศิลปะที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ได้อย่างกลมกลืน เราว่าการเที่ยวมิวเซียมในต่างประเทศแทบทุกที่มีทั้งมุมให้ถ่ายรูปแล้วยังมีรายละเอียดวาระความรู้ให้เราได้เก็บเกี่ยวสร้างความประทับใจให้เราได้เสมอไม่เคยผิดหวังจริงๆ

เมืองอุพลิสชิเค (UPLISTSIKHE) นครถ้ำเก่าแก่ของจอร์เจียที่มีอายุกว่า 3,000 ปี ครอบคลุมเนื้อที่กว่า 50 ไร่ คือถ้าได้มาเห็นที่นี่แบบที่เราเห็นแกจะทึ่งกับคามสามารถและความพยายามของมนุษย์ในยุคนั้น ยุคที่ไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันแบบตอนนี้ เพราะนครถ้ำแห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นมาจากการสกัดและสลักเป็นห้องโถงต่างๆ โดยฝีมือมนุษย์ในช่วงยุคโลหะ ช่วงประมาณศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล ถือว่าเป็นถิ่นฐานอาศัยแรกๆ ของคนในแถบคอเคซัส เรียกได้ว่าสมบูรณ์รุ่งเรืองมากสำหรับการเป็นชุมชนในยุคนั้น ว่ากันว่าอาจเคยมีคนอาศัยอยู่ถึงกว่า 20,000 คนเลยทีเดียว แต่หลังจากโดนรุกรานจากมองโกลและแผ่นดินไหวหลายครั้ง นครแห่งนี้ก็ร้างไปในที่สุด

ยืนมองวิวนครแห่งนี้จากด้านบนแล้วก็ได้แต่อึ้งกับความยิ่งใหญ่และน่าเหลือเชื่อของน้ำมือมนุษย์ ภายในมีถนนเชื่อมต่อกัน เป็นที่ตั้งของโบสถ์ อาราม ห้องประชุม ห้องเก็บเสบียง ห้องหับต่างๆ มากมาย รวมถึงที่พักอาศัย และจุดที่น่าสนใจอีกอย่างคือทัศนียภาพของด้านบนนครแห่งนี้ หากเราเดินต้านลมขึ้นไปเราจะเห็นแม่น้ำ Mtkvari ไหลผ่านทุ่งกว้างเวิ้งว้างสลับกับวิวเมืองด้านล่าง แม้ลมจะแรงไปหน่อยแต่ก็ได้ภาพที่ประทับใจชัวร์ๆ

หลังจากเต็มอิ่มกับประสบการณ์เที่ยวและประวัติศาสตร์ของวันนี้ เราก็มุ่งหน้าไปกลางเมืองมรดกโลกคูทายสิ Kutaisi โดยใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมง ก็ถึงที่พักหรูหราระดับ 4 ดาว Best Western Kutaisi Hotel โรงแรมที่ตกแต่งดูดี มีความเรียบหรูควบคู่ไปกับความทันสมัย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แถมยังมาร้านอาหารยุโรป บาร์ และส่วนกลางต่างๆ ให้ใช้งานได้เต็มที่ และเช่นเคยของทุกๆ คืนคือเปิดห้องเข้าไปเราจะเจอของที่ระลึกๆ เล็กๆ น้อยๆ น่ารัก เพิ่มความประทับใจ ให้ความรู้สึกว่าเป็น AIS Serenade Exclusive Trip จริงๆ

Day 4 : Kutaisi – Batumi

เช้าวันใหม่สดใสซ่าบใน เมืองคูทายสิ Kutaisi เมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศจอร์เจียและเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของอาณาจักรโคลซิส (Colchis) หรืออาณาจักรจอร์เจียนโบราณนั่นเอง แถมเมืองนี้ยังมีมรดกโลกถึงสองแห่ง คือ Gelati Monastery และ Bagrati Cathedral หลังจากเราอิ่มตื้อไปกับมื้อเช้าที่โรงแรมแล้ว ก็ถึงเวลาไปเยือน โบสถ์เบกราติ Bagrati โบสถ์ออโธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจอร์เจีย และมีความสำคัญจนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ตอนที่รบชนะสงครามและรวบรวมจอร์เจียกลับมาเป็นปึกแผ่นได้ และโดนทำลายจากสงครามกับเติร์กทำให้โบสถ์เสียหายไปบ้างแต่ได้รับการบูรณะให้ค่อนข้างเหมือนเดิมแล้ว

จากนั้นขาช้อปอย่างเราก็ไปเดินเล่นชมสินพื้นเมือง หาของฝากติดไม้ติดมือกลับกันที่ตลาด Central Market  ที่นี่มีสินค้าให้ช้อปปิ้งเยอะมาก โดยเฉพาะของพื้นเมือง ซึ่งหลักๆ เลยก็คือ ไวน์ ขนม และผลไม้ที่มีวางขายเยอะมาก ที่นี่ได้รับฉายาว่า Colorful market เพราะอิเจ้าผลไม้นานาพันธุ์สีสันสดใสเรียงกันอย่างสวยงามนี่ล่ะ เอาเป็นว่าทุกอย่างน่าซื้อ ควรซื้อ ต้องซื้อ เตรียมตัวเตรียมใจเตรียมเงินและเตรียมที่ว่างในกระเป๋าเดินทางไว้ให้ดี เพราะมาที่นี่เสียเงินกับของฝากแน่นอน หรือถ้าเบื่อโซนตลาดก็ขยับออกมาเดินชมเมือง มีห้าง มีร้านอาหารคาเฟ่ชิคๆ ให้เราได้ซอกแซกสำรวจเยอะไปหมด

เราทานมื้อเที่ยงกันที่ Paolo Restaurant ร้านอาหารพื้นเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโซนตลาด ที่นี่เสิร์ฟอาหารแนวฝรั่ง เป็นคอร์สเมนูเรียงลำดับ ซุป สลัด และ main course ซึ่งเป็นข้าวผัดสไตล์จอเจียโปะด้วยแซลมอลย่างชิ้นใหญ่ อร่อยฟินลืมมมมม สมมงตำแหน่งมิชลินไกด์และได้รับจัดอันดับในลำดับต้นๆ ของเว็บไซต์แนะนำร้านอาหารใน Kutaisi จริงๆ  ส่วนความเก๋ของจานเรายกให้พิซซ่าที่เสิร์ฟไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองที่ปกติจะมาเป็นถาดแต่ที่นี่จัดชิ้นมาให้อย่างมีสไตล์

ตบท้ายก่อนออกไปลุยต่อ เราแวะคาเฟ่ที่ติดกับร้านอาหารเที่ยงของเรานั่นก็คือ Tea House For-Foe ร้านสีเหลืองส้มสุดชิคที่สามารถแวะมาจิบแฟจิบชากินขนมกันได้ นอกจากร้านนี้แล้วแถบนี้มีคาเฟ่เก๋ๆ ให้เลือกเพียบเลย เหมาะกับสายชิวสายคาเฟ่มากเว่อร์

ปิดท้ายโลเคชั่นวันนี้อก่อนนั่งรถยาวๆ มุ่งหน้าสู่เมืองบาทูมีกันที่ โพรมิธีอุส (Prometheus Cave) ถ้ำที่ใหญ่และน่าอัศจรรย์ของจอร์เจีย เราเดินชมหินงอกหินย้อยได้เพลินๆ และด้วยสีสันของไฟในถ้ำ ก็ทำให้เราได้จินตนาการถึงรูปทรงของเหล่าหินงอกหินย้อยเหล่านั้นมากมาย สำหรับการเข้าชมถ้ำที่นี่จะสามารถเข้าได้เป็นรอบๆ โดยทุกรอบจะมีเจ้าหน้าที่พาเข้าไปและแนะนำส่วนต่างๆ ของถ้ำ เราชอบการจัดระเบียบและระบบการดูแลจัดการของที่นี่นะ แม้ว่าความอลังการของหินงอกหินย้อยจะสู้หลายที่ที่เราเคยไปไม่ได้ก็ตาม แต่ระบบระเบียบของเค้าเป๊ะและทำให้เรารู้สึกเที่ยวได้สบายใจมากๆ

Day 5 : One day in Batumi

วันสุดท้ายเราเริ่มต้นกันแบบชิวๆ สายๆ กับฝนพรำๆ ในบาทูมิเมืองท่าริมฝั่งทะเลดำและเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญอีกเมืองหนึ่งของจอร์เจียที่ Ethnographic Museum “Borjgalo” พิพิธภัณฑ์หัตถกรรมพื้นบ้านที่จัดแสดงข้อมูลเครื่องปั้นดินเผา การแปรรูปโลหะหิน และไม้ต่างๆ เดินชมที่นี่ท่ามกลางฝนพรำๆ มันได้อารมณ์เดินเล่นในหมู่บ้านแถบชนบทที่ต่างจังหวัดตอนเราเด็กๆ เลยแก

เดินทางมาจนถึงวันสุดท้ายของทริป ปกติเราเริ่มจะคิดถึงส้มตำ หมูกะทะ อาหารไทย และเบื่ออาหารท้องถิ่นบ้างแล้ว แต่สำหรับทริปนี้เราไม่มีความรู้สึกนั้นเลย เพราะทีมงาน AIS Serenade ได้เตรียมจัดมื้อเที่ยงสุดท้ายของทริปที่ร้าน Rozmarin Shushi Bar ร้านอาหารที่ติดอันดับแนะนำจาก Tripadvisor มีทั้งพิซซ่า ซูชิ และอื่นๆ เยอะแยะจนเลือกกินไม่ถูกเป็นมื้อเที่ยงสุดเอ็กซ์คลูซีฟส่งท้ายทริปได้ฟินส์สุดๆ

มาถึงเมืองบาทูมีต้องไปถ่ายรูปกับรูปปั้น Crystal kiss รูปปั้นคู่รักสูง 7 เมตรเคลื่อนไหวได้ ที่ตั้งอยู่ใกล้ทะเลดำ เรารู้มาว่ารูปปั้นชายหญิงคู่นี้คือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรักของหญิงชาวจอร์เจียกับหนุ่มอาเซอร์ไบจันตัวละครจากนวนิยายที่โคตรดังในจอร์เจีย ความคูลของรูปปั้นสองตัวนี้คือ สามารถเคลื่อนเข้าออก โผเข้าหากันได้ทุกๆ 6-8 นาที เหมือนกำลังเข้าโผกอดกันแสดงความรักตลอดเวลา

แชะภาพคู่กับรูปปั้น Crystal kiss เสร็จ เราก็ไปเดินเล่นกันต่อที่ย่าน Old town ของเมืองบาทูมี บรรยากาศก็จะสงบๆ ได้กลิ่นอายการเดินเล่นในเมืองทางยุโรปมากกว่าเอเชีย ที่สองฝั่งถนนคือตึกเก่าสุดคลาสสิคที่เป็นทั้งที่อยู่อาศัย ร้านค้า ร้านขายของฝากต่างๆ และไม่ว่าจะเดินไปตรงไหน ตามซอกตามซอย ตามหัวมุมถนน ล้วนเหมาะแกการหยุดแล้วยืนเท่ๆ เผลอๆ ถ่ายรูปเป็นที่สุด

เดินเรื่อยๆ เราก็มาโผล่กันที่ใจกลางเมืองสุดฮอตที่ต้องห้ามพลาด จัตุรัสปิอาซซ่า Piazza Square จตุรัสสำคัญของเมืองที่สร้างขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากจัตุรัสที่ประเทศอิตาลี แม้ว่าวันนี้จะไม่ครึกครื้นเพราะสายฝนที่โปรยปรายมา แต่เราว่ามันก็ยังสวยน่าเดินเล่นไม่แพ้วันที่อากาศดีเลย ถือว่าเป็นจุดปิดทริปที่สวยงามและประทับใจที่สุด

ตลอดระยะเวลาในจอร์เจียที่ผ่านมา 5 วัน ทำให้เราได้รับประสบการณ์ระดับ Serenade สุดแสนประทับใจ ทั้งที่พักสุดหรู อาหารแสนอร่อย และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ล้วนแต่มีสตอรี่ มีที่มาที่น่าทึ่งทั้งสิ้น สำหรับเราแล้วดินแดนสุดขอบเอเชียนามว่า จอร์เจีย ควรค่ากับสมญานามว่าอัญมณีแห่งเทือกเขาคอเคซัสแบบไม่มีเงื่อนไขและข้อโต้แย้ง แม้ว่าเปอร์เซ็นต์การตัดสินใจมาเยือนประเทศนี้ของคนไทยจะยังมีไม่มาก แต่เราเชื่อว่าหากใครเป็นส่วนน้อยที่ลองเข้ามายังประเทศนี้จะต้องบอกว่าคุ้มค่าที่มาจอร์เจีย