The Ultimate 3-day Guide to SINGAPORE

72 ชั่วโมงในประเทศที่เป็นเกาะที่เล็กที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่บนประเทศเล็กๆ นี้กลับเต็มไปด้วยสถานที่กิน ที่เที่ยว ที่ถ่ายรูป ที่ช้อป ที่คับคั่งอลังการเป็นอันดับต้นๆ ของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน และยังเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยสมยุคโลกาภิวัฒน์อย่างแท้ทรู เราจึงสามารถใช้ชีวิตแบบสังคมไร้เงินสดได้แบบสบายๆ วันนี้เราเลยจะพาพวกแกไปเที่ยว “สิงคโปร์” แบบเปรี้ยวๆ เท่ๆ ใช้ชีวิคชิคๆ แบบไม่ต้องพกเงินสดให้กระเป๋าเงินเสียทรง ส่วนจะเป็นไปได้แค่ไหนและเป็นไปได้ยังไงก็ตามมาเลยจ้าาา …

จะไปเที่ยวในประเทศที่แสนสบายและไฮเทคทั้งทีเราก็เลยขอมีตัวช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายปลอดภัยขึ้นอีกขั้นนึง ซึ่งนั่นก็คือบัตร Krungthai Travel Card ฟีเจอร์แรกและฟีเจอร์เดียวที่ให้แกแลกเงินได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน กรุงไทย NEXT จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปแลกที่ธนาคารหรือสนามบิน เรทที่ได้ก็พิเศษกว่า แถมมีให้แลกถึง 10 สกุลเงิน ไม่ว่าจะเป็นดอลลาร์สหรัฐ ยูโร ปอนด์ เยน ดอลลาร์ฮ่องกง ดอลลาร์ออสเตรเลีย ดอลลาร์สิงคโปร์ ดอลลาร์ แคนาดา ดอลลาร์นิวซีแลนด์ และฟรังก์สวิส บอกได้เลยว่าดีงามมากกกกกกกเว่อร์ คือบางทีแค่จัดของยังลืมนู่นลืมนี่และหลายครั้งก็แอบลืมแลกเงิน อันนี้ง่ายๆ แลกเงินออนไลน์ได้ 24 ชั่วโมง แต่ดอกจันทร์สามสิบดอกไว้ว่าที่สำคัญและสำคัญที่สุดที่ทำให้เรารักจนต้องขอบอกต่อก็คือการพกแต่บัตรช่วยลดความเสี่ยงในการถูกขโมยเงิน ลืมเงินทอน แบบพกบัตรใบเดียวสบายใจไป 18 เปาะขนาดเน้ ขาเที่ยวไม่มีได้หราาาาา

Day 1

มาถึงปั้บก็ขอเข้าที่พักไปเก็บข้าวเก็บของหวีผมเภ้าให้เป็นคนกันซะก่อน ครั้งนี้เราเลือกพักกันที่ย่านไชน่าทาวน์ในโรงแรมที่ต้องบอกว่าสวยมาก เฟียสมาก ไฮโซโก้หรูแต่ราคาดี๊ดีกันที่ Hotel Mono โรงแรมสไตล์วินเทจสุดชิคที่จับเอาความเป็นสิงคโปร์แบบโบราณและความโมเดิร์นไว้ด้วยกันภายใต้สีโมโนโทนแบบขาวดำพร้อมหน้าต่างสไตล์ Rococo-era เพิ่มความโก้และเพิ่มฟังค์ชั่นการรับแสงจากธรรมชาติให้กับผู้เข้าพักอาศัย เป็นความซับซ้อนที่มงลงมากกกกจ้า

• Arab Street

หยิบกล้องกับบัตร Krungthai Travel Card ก็ถึงเวลาเดินตัวปลิวออกจากที่พักแล้วพุ่งฉิวไปที่ Arab Street ที่แค่ฟังชื่อก็รู้แล้วว่ามีความอาหรับราตรีมีความเป็นแขกอยู่แน่นอน ร้านรวงต่างๆ ในย่านนี้ก็จะสไตล์แขกๆ ไม่ว่าจะร้านอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน ร้านคาเฟ่แบบอาหรับ ร้านขายเสื้อผ้าพื้นเมือง แล้วก็น้ำหอมต่างๆ ละลานตาไปทั้งสองฝั่งทาง แต่ที่โดดเด่นเด้งมาแต่ไกลบนถนนเส้นนี้ก็คือมัสยิด Sultan มัสยิดสีขาวโออ่าที่มีโดมทองอยู่ด้านบนแลนด์มาร์คสำคัญของที่นี่ และยังเป็นแลนด์มาร์คของเหล่าบรรดา Instagramer ทั้งหลายที่มักจะมาถ่ายรูปเช็คอินอีกด้วย แน่นอนว่าชาว Instagramer อย่างเราก็ต้องเอากับเค้าหน่อยสักสองสามรูป

• Haji Lane

จะสายช้อป สายชิว สายดริ้ง สายคาเฟ่ สายอาร์ต สายไหนๆ ก็พลาดไม่ได้กับตรอกนี้ที่อยู่ไม่ไกลจากถนนสายอาหรับ ที่เราสามารถเดินเล่นเรื่อยๆ เปื่อยๆ แบบยังไม่ทันเหนื่อยก็จะถึงกับ Haji Lane ตรอกเล็กๆ สุดฮิปแหล่งรวมตัวของวัยรุ่นสุดอาร์ต เพราะตรอกฮาจิหรือตรอกฮัจญินี้เต็มไปด้วยร้านรวงที่ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า งานแฮนด์เมด รวมถึงคาเฟ่ที่มีสไตล์โดดเด่นไม่เหมือนใคร ในตึกแถวสองชั้นสไตล์โคโลเนียลสีสันสดใส อีกทั้งยังมีสตรีทอาร์ตเก๋เก๋ให้เราได้ถ่ายรูปอีกเพียบ คือพอเดินเข้ามาแล้วรูปก็อยากจะถ่าย Shopping ก็อยากจะช้อป คาเฟ่ก็อยากจะแวะ เห็นอะไรก็ดูน่าสนใจน่าถ่ายรูปไปซะหมด

• Brother Bird Soft Serve Co.

เดินเล่นชิวๆ จนหิว พอช่วงบ่ายหน่อยๆ เราเลยไปฝากท้องกันที่ Brother Bird Soft Serve Co. ร้านอาหารที่ดูเรียบง่ายแต่มีสไตล์ในตรอก Bali Laen อีกหนึ่งตรอกที่อยู่ถัดจากตรอกฮาจิ แม้จะบอกว่าที่นี่เป็นร้านอาหารแต่เค้าก็ยังมีเสิร์ฟเบเกอรี่ ของหวาน ไอศกรีม และกาแฟต่างๆ เรียกว่าเป็นร้านที่สามารถมากินได้ครบจบทั้งคาวหวานในที่เดียวได้เลย ตัวร้านจะเป็นแบบสองชั้น ซึ่งหลังจากที่เราผลักประตูที่มีเจ้านกยักษ์สีดำเข้าไปก็จะพบกับบรรยากาศอันแสนอบอุ่นๆ ด้วยแสงจากหลอดไฟสีส้มและความรู้สึกสบายๆ จากปูนเปลือย ใครชอบตรงไหนก็เลือกนั่งได้ตามอัธยาศัยเพราะที่นั่งเค้ามีให้เลือกมากมายจ้า

ส่วนตัวเราขอนั่งด้านนอกเพราะอยากจะชมนกชมไม้ ชมคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเผื่อจะเจอเนื้อคู่ 555 และเมนูที่จะมาเพิ่มพลังงานในมือกลางวันเราขอเลือกเป็น Spicy Dumplings หรือเกี้ยวเผ็ดที่จับเอาไก่ต้มหัวหอมมาทำเป็นไส้แล้วราดด้วยน้ำมันพริกเผากับน้ำส้มสายชู กับจานหลักคือ BBQ Sambal Unagi Bowl อูนางิย่างซอสซัมบัลกินคู่กับมอสซาเรลล่าชีส ข้าวโพดอ่อน ถั่วงอก ไข่กุ้ง และไข่ลวกแบบออนเซ็น ถึงจะไม่ได้อร่อยจนร้อง โอ้โห!! แต่เราก็กินได้อย่างเพลินๆ จนเกลี้ยง ก่อนจะตบท้ายอีกสักนิดด้วยไอศกรีมซอร์ฟเสิร์ฟท้อปด้วยคอนเฟรกและแครกเกอร์ครีม ให้รสหวานหอม เค็มนิดๆ มันมันกรุบกรุบหน่อยๆ อาหย่อยลงตัว เยิฟเยยยยย กินเสร็จก็ควักบัตร Krungthai Travel Card ออกมารูดปรื๊ดดดด รูดปรื๊ดดดดด สองวิเสร็จ สะดวกมากมายแล้วก็เดินจากมาเพื่อเที่ยวต่อแบบไม่ต้องรอรับเงินทอนจ้า

• Little India

จากโซนอาหรับย่านเมดิเตอร์เรเนียนเราก็มาพบกับโซนอินเดียในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งเป็นข้อดีอันโดดเด่นของสิงคโปร์ ที่มาประเทศเดียวเหมือนเที่ยวได้หลายแห่งเพราะมันคือวาไรตี้ที่แสนหลากหลายและมากมายด้วยวัฒนธรรมแบบท้องถิ่น อย่างย่าน Little India ก็เป็นอีกหนึ่งโซนที่ให้ฟิวของความเป็นอินเดียอย่างแท้ทรู ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าต่างๆ ที่ขายอาหาร ของฝาก ของตกแต่ง เครื่องแต่งกาย วัดแขก ห้างสรรพสินค้า และสตรีทอาร์ตที่เล่าเรื่องราววิถีชีวิตของชาวอินเดียในหลายๆ แง่มุม ใครที่อยากช้อปของถูกหรืออยากมาถ่ายภาพของประเทศสิงคโปร์ในมุมที่แตกต่างออกไปที่นี่ก็เป็นจุดที่เก๋ไก๋อีกจุดหนึ่งเลยทีเดียวเชียว

มาถึงย่านลิตเติ้ลอินเดียทั้งทีถ้าไม่ได้มีภาพกับ House of Tan Teng Niah บ้าน 2 ชั้นสีสันสดใสก็อาจจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปอย่างแน่นอน ดังนั้นเราจะไม่พลาดเพราะมันคือหนึ่งในสัญลักษณ์ของย่านนี้น่ะสิ และข้างๆ กันก็ยังมีบ้านเล็กๆ อีกหลายหลังที่แต่งแต้มสีสันให้สดใสอยู่ด้วย ถ้าอยากถ่ายรูปให้ดูฮิปเราแนะนำให้ใส่โทนแม่สีมาข่มไปเลย หรือถ้าอยากได้ลุคใสๆ ก็ชุดสีเอิร์ทโทนกับหมวกสักใบมายืนหมุนตัวหรือทำท่าเผลอๆ ก็เก๋น่าดู

• Fort Canning Park

ตกเย็นเราขอมาปิดท้ายกันที่ Fort Canning Park โลเคชั่นที่เหมือนเป็นหนึ่งในลิสต์ต้องห้ามพลาดที่อยู่คู่กับทุกรีวิวสิงคโปร์มาช้านาน ที่นี่เป็นสวนสาธารณะที่ทั้งชาวสิงคโปร์ ชาวไทย และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้ความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้งเพื่อมาออกกำลังกาย เดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ รวมถึงการมาถ่ายรูปกับบันไดหินสีเทาทรงโค้งที่เมื่อมองขึ้นไปก็สวยเก๋ มองลงมาก็เท่ไม่หยอก จนกลายมาเป็นโลเคชั่นสุด Popular จนถึงปัจจุบันนี้ สำหรับที่นี่นางก็มีประวัติยาวนานอยู่เด้อ โดยแรกเริ่มเดิมทีบริเวณนี้เคยเป็นวังของกษัตริย์ชาวมาเลย์ แต่ต่อมาเมื่อประเทศอังกฤษเข้ายึดครองประเทศสิงคโปร์ก็ได้เปลี่ยนจากวังมาเป็นศูนย์บัญชาการจนกระทั่งประเทศสิงคโปร์เป็นอิสระจากประเทศอังกฤษ ทางรัฐบาลจึงได้เปลี่ยนศูนย์บัญชาการให้กลายเป็นสวนสาธารณะ และอาคารต่างๆ ในบริเวณรอบๆ ก็ถูกทำให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์บ้าง โรงแรมบ้าง ไปหมดแล้ว

Clarke Quay

จุดชิคอินสุดท้ายวันนี้เราไปที่ Clarke Quay อดีตท่าเทียบเรือที่ได้ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นศูนย์การค้าและแหล่งบันเทิงยอดฮิตยามค่ำคืนของสิงคโปร์ในปัจจุบัน ถ้ามาตอนกลางวันที่นี่ก็จะเป็นแค่ทางเดินริมน้ำไว้ให้เดินถ่ายรูป ชมสถาปัตยกรรมของตึกสวยเท่านั้น แต่พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปเท่านั้นแหละ ย่านนี้ก็จะเต็มไปด้วย แสง สี เสียงเพลงที่เปิดเรียกลูกค้ากันทุกร้าน เหมาะมากกับสายชิล สายเหงาที่จะมานั่งเลียบห้อยขาอยู่ริมน้ำ แล้วพกเครื่องดื่มจากรำข้าวเย็น ๆ มาสักกระป๋อง จิบไปดูเรือแล่นผ่านไป บางทีอาจจะหายเหงาเพราะมีคนมานั่งข้าง ๆ เป็นเพื่อนก็ได้ ใครจะไปรู้ละ

Day 2

• Tiong Bahru Bakery

วันที่สองแพลนกันว่าจะเดินทั่วๆ เพื่อชมความชิคเกร๋และความเท่ของสิงคโปร์กันสักหน่อย โดยพวกเราไปเริ่มต้นกันที่ย่าน Tiong Bahru ย่านชุมชนเก่าแก่ที่รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศให้อนุรักษ์ไว้ และยังเป็นย่านที่สายคาเฟ่จะต้องหลงร๊ากกกก เพราะย่านนี้นางมีคาเฟ่ให้เลือกเยอะมากกกกก ตาแตก พุงแตก ขาแตกกันได้ง่ายๆ จ้าาาา ไม่พูดพร่ำทำเพลงร้านแรกที่เราเลือกก็คือ Tiong Bahru Bakery คาเฟ่ยอดนิยมที่มีถึงสี่สาขาด้วยกัน แต่วันนี้เราจะมากันที่สาขา Tiong bahru นี่ล่ะ โดยร้านนี้ก็จะมีทั้งของคาว ของหวาน และเครื่องดื่มหลากสไตล์ ภายใต้แนวคิดแสนน่ารักที่ทำให้เราประทับใจคือ Where friends are made, Dreams are shared, and love is found. จึงก่อเกิดเป็นคอนเซ็ปท์ Celebrating Neighbourhoods

ตั้งแต่หน้าร้านจนถึงในร้านเรารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและการต้อนรับอย่างเป็นมิตรไมตรี ยิ่งกลิ่นหอมของครัวซองอบใหม่ๆ ยิ่งทำให้เรารู้สึกถึงความเชิญชวน ต้อนรับ และแม้คนจะเยอะมากๆ แต่พนักงานก็บริการเราเป็นอย่างดี ยิ่งรู้สึกได้ถึงความใส่ใจบริการ เราเลือกสั่งครัวซองแบบ Original หนึ่งชิ้นมากินคู่กาแฟอีกแค่หนึ่งแก้ว นั่งเอนกายกินพอกรุบกริบ เพราะเมื่อมาย่านนี้เราขอแนะนำว่าไม่ควรจัดหนักเพียงร้านใดร้านหนึ่งควรจะแบ่งกระเพาะไว้เป็นส่วนๆ ตามจำนวนร้านที่อยากนั่ง

ระหว่างที่กำลังเดินไปร้านเค้กเราก็จะได้เจอกับสตรีทอาร์ตตามกำแพงที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของคนที่นี่ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าในสมัยก่อน กิจกรรมในครอบครัว แต่ที่ดังที่สุดในย่านก็คือผลงานที่มีชื่อว่า Bird singing Corner ภาพวาดบนผนังสีขาวที่มีเรื่องราวตามชื่อของรูปนั้นก็คือรสนิยมของคนสมัยก่อนที่มักจะมารวมตัวกันเพื่อนำนกของตนมาใส่กรงแขวนไว้ให้คนทั่วไปได้ชม ซึ่งสัดส่วนแสงเงาบนภาพวาดนี้ล้วนแต่จำลองมาจากขนาดจริงทำให้ถ้าเราเดินผ่านแบบไม่ทันสังเกตุดีๆ ก็อาจเผลอคิดว่ามีคนจริงๆ กำลังนั่งอยู่ตรงนั้นเลยก็ได้

• Plain Vanilla Bakery

เดินดูภาพวาดบนผนัง แอบส่องร้านคาเฟ่นู้น อาหารเช้าของร้านนี้ เก็บภาพผู้คน และบ้านเรือนไปเรื่อยเปื่อย ในที่สุดเราก็เดินมาถึง Plain Vanilla Bakery แล้วจ้า ภายใต้ชื่อที่ดูเรียบง่ายแต่ของเด็ดของเค้าไม่ได้ง่ายอย่างชื่อนะจ๊ะ โดยเฉพาะเจ้าคัพเค้กที่มีหลายรสหลายแบบให้เลือก แต่ละอันก็หน้าตาดีทั้งนั้น แถมวัตถุดิบก็ยังดีอีกด้วย และที่สำคัญเค้กทุกชิ้นเค้าอบสดใหม่ทุกวัน นอกจากเมนูเด็ดอย่าง cupcake ที่นี่ก็ยังมีเมนูเครื่องดื่มที่หลากหลาย ถือเป็นอีกหนึ่งร้านที่นักท่องเที่ยวรู้จักเป็นอย่างดี เราจึงได้เห็นนักท่องเที่ยวรวมถึงชาวไทยเดินเข้าเดินออกกันอย่างเนือง

• Art Science museum 

พอตกบ่ายเราก็ขอหลบแดดเข้าไปเสพงานศิลป์กันที่ Art Science museum หรือพิพิธภัณฑ์รูปดอกบัวที่นำเอาศิลปะและเทคโนโลยีดิจิตอลมาผสานไว้ในที่เดียวกัน ถือกำเนิดเป็นนิทรรศการที่มีชื่อว่า future world where art meets science โดยในการเข้าชมเราสามารถซื้อตั๋วและจ่ายด้วยบัตร Krungthai Travel Card ได้เลย ที่นี่เข้าชมได้แบบไม่จำกัดเวลา จะถ่ายรูปกี่พันแอคหรือกี่ชั่วโมงก็ไม่มีใครว่า ภายในมิวเซียมจะแบ่งเป็นทั้งหมดสี่โซนได้แก่ Nature, Town, Park และ Space โดยแต่ละโซนเค้าก็จะมี concept ที่แตกต่างกันออกไปแต่ที่สำคัญที่สุดคือในแต่ละโซนเราจะสามารถนำตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมกับงานศิลปะได้ด้วย

ส่วนโซนที่ถือว่าเป็นจุดไฮไลท์ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวรวมถึงเราให้เดินทางมา Museum แห่งนี้ก็คือโซน Space ที่ได้นำเอาหลอดไฟ LED แบบสามมิติ มาเรียงร้อยเป็นจักรวาลคริสตัลหรือ Crystal Universe ให้เราได้เดินท่ามกลางดวงดาวนับ 10,000 นับ 1,000 ดวงที่สองประกายระยิบระยับสดใส ความสวยงามนั้นก็สมกับที่เราตั้งตาคอยและเดินทางมาถึงที่นี่ แต่ก็แอบผิดหวังนิดนึงกับขนาดของจักรวาลที่เล็กกว่าความคาดหวังไปหน่อย และยิ่งจังหวะที่คนเยอะก็แอบต้องรอลุ้นหามุมกันให้ดีๆ กว่าจะได้รูปออกมาสวยถูกใจ ก็อย่างที่บอกถ้าตัดเรื่องขนาดออกไปมันก็คุ้มค่ากับเวลาของเราแล้ว

• Cloud Forest

ออกจากจักรวาลคริสตัลเราก็เดินลัดเลาะริมน้ำไปเรื่อยๆ จนถึงแลนด์มาร์คของสิงคโปร์อีกที่หนึ่ง การ์เด้น บาย เดอะ เบย์ (Gardens by the Bay) ที่นี่คือสวนสาธารณะขนาดใหญ่กว่า 600 ไร่ อันเกิดจากการถมทะเลขึ้นมาเป็นพื้นดินก่อนจะสร้างสวนสาธารณะที่มีพืชพรรณรวมกันกว่า 1,000,000 ชนิด นำมาตกแต่งและดูแลอย่างดีจนติดอันดับสามของสถานที่ๆ ห้ามพลาดในสิงคโปร์

โดยภายในแบ่งออกเป็น 3 โซน คือ Bay Center Garden, Bay East Garden และ Bay South Garden โดยทุกส่วนสามารถเข้าชมได้ฟรี ยกเว้นโซน Super Tree และโซนโดมกระจกอีกสองโซน แน่นอนว่าล่ำซำอย่างเราขอเลือกเดินโซน Cloud Forest เรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามบันทึกของกินเนสส์บุ๊ค ภายในโซนนี้เป็นโดมขนาดใหญ่ที่มีการควบคุมอุณหภูมิไว้ทั้งโซนอากาศจึงเย็นมากตลอดเวลาที่เราอยู่ภายในส่วนนี้ เมื่อเดินเข้ามาเราก็จะเจอกับน้ำตกขนาดใหญ่ที่สูงจนต้องแหงนหน้ามอง เราเลยตัดสินใจขึ้นลิฟท์เพื่อไปมองน้ำตกในระดับสายตา ก่อนจะค่อยๆ เดินชมต้นไม้ดอกไม้ลงมาทีละชั้น

 

• Super Tree Grove

จากโซนเย็นสบายพวกเราก็เดินมาเที่ยวต่อในส่วนของ Super Tree Grove สวนนี้คือการทำต้นไม้จำลองที่มีความสูง ตั้งแต่ 25-50 เมตร จำนวน 18 ต้น โดยที่ 12 ต้นจะมีทางเดินเชื่อมกันตลอดเรียกว่า OCBC Skyway และอีกหกต้นที่เป็นสวนแนวตั้ง โดจจะมีการจัดแสดงแสงสีตลอดทั้งคืนรวมถึงยังมีการแสดงดนตรีประกอบเสียงที่เรียกว่า Garden Rhapsody ในเวลา 19:45 และ 20:45 ของทุกวันด้วย โดยตลอดระยะเวลา ณ สวนแห่งนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนเราเดินอยู่ในโลกของหนังเรื่องอวตารคือมันมีความเหนือจริง หลุดโลก และสวยงาม มีมุมให้ถ่ายรูปหลายมุม จนทำให้เราลืมเวลาภายนอกไปได้เลย

เมื่อมาถึงที่นี่ทั้งทีเราก็แนะนำให้ซื้อตั๋วแล้วไปเดินสับขาบน OCBC Skyway กันซักรอบหนึ่ง ซึ่งการซื้อบัตรเข้าชมนู้นนี่นั่นต่างๆ ในสิงคโปร์มันสะดวกและเอื้อต่อการใช้จ่ายผ่าน Krungthai Travel Card จริงแก๊ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว มิวเซียม Cloud Forest รวมถึง OCBC Skyway แห่งนี้ และพอเราได้ตั๋วก็เดินไปขึ้นลิฟท์สวยๆ เพื่อนขึ้นยังด้านบนที่นอกจากจะเห็นความสวยงามของสวนปนความเสียวแล้วเราก็ยังสามารถเห็นวิวอ่าวได้แบบเต็มตาถ่ายรูปออกมาก็สวยอลังการ แต่แนะนำว่าโซนนี้เป็นโซนเอาท์ดอร์จึงควรมาช่วงเย็นจะได้ไม่ร้อนจนเกินไปจ้า

• Marina Barrage

แวะมาที่อีกหนึ่งแลนด์มาร์คกันอีกสักครั้งในช่วงค่ำๆ ที่แสงพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เพราะนอกจาก Marina Barrage จะเป็นจุดชมวิวแล้วยังเป็นสวนสาธารณะที่ชาวสิงคโปร์นิยมมาทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นนั่งเล่นเดินเล่น ไปจนถึงการเล่นว่าว ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นเสน่ห์ดึงดูดที่สำคัญจนเราต้องมาเดินที่นี่ตอนเย็นทุกครั้งเวลามาสิงคโปร์ เราก็ชอบบรรยากาศยามพระอาทิตย์ตกดินบริเวณนี้ที่ทำให้ได้เห็นการเปลี่ยนฉากของท้องฟ้าจากสีฟ้าเป็นสีส้มและจากสีส้มเป็นสีดำสนิทพร้อมๆ กับไฟของตึกที่เฉิดฉายขึ้นมาแทนที่ เราแค่นั่งนิ่งๆ มองสิ่งเดิมๆ ให้ลมตีหน้าก็มีความสุขมากแล้ว

Day 3

• Ya Kun Kaya Toast

วันสุดท้ายพวกเรารีบตื่นกันแต่เช้าเพื่อมาทานอาหารเช้าสไตล์ชาวสิงคโปร์ที่ Ya Kun Kaya Toast ร้านอาหารชื่อดังเจ้าของต้นตำรับขนมปังสังขยาไข่ลวกสุดคลาสสิคที่มีสาขาอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในสิงคโปร์ รวมถึงญี่ปุ่น ไทย เกาหลีใต้ และฮ่องกงด้วย โดยจุดเริ่มต้นของร้านนี้นั้นได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1926 โดยชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาเปิดกิจการร้านขนมปังปิ้งเล็กๆ ที่จุดเด่นคือขนมปังแผ่นเล็กปิ้งให้ออกสีน้ำตาลอ่อนจนทั่วทั้งแผ่นก่อนจะนำมาสอดไส้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไส้เนยน้ำตาล ไส้มะพร้าว หรือไส้เนยถั่ว กับอีกหนึ่งเมนูที่ใครมาก็ต้องลองสั่งนั่นก็คือเมนูไข่ลวกที่จะเสิร์ฟพร้อมกับชาหรือกาแฟ

นอกจากเมนูต่างๆ ที่โด่งดังแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ร้านนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงก็คือราคาอาหารที่ถือได้ว่าค่อนข้างถูกกว่าร้านทั่วๆ ไป แต่พอเข้าใกล้วันสุดท้ายแม้จะถูกแค่ไหนก็เป็นไปได้ว่าเงินของเราจะหมดลงอันเนื่องมาจากกดแลกในแอปพลิเคชัน กรุงไทย NEXT ไม่พอ แต่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะได้นั่งก้มหน้าล้างจานในสิงคโปร์เพราะเราสามารถทำการแลกเงินระหว่างที่เราอยู่ต่างประเทศผ่านแอปพลิเคชันได้อย่างง่ายดาย และยังสามารถเช็คเรทที่เราจะแลกแบบวันต่อวันได้เลย ซึ่งถ้าวันไหนเข้าไปเช็คเล่นๆ แล้วเจอว่าค่าเงินของประเทศไหนกำลังลงก็สามารถซื้อเก็บไว้แบบด่วนๆ ได้ทันทีจ้า แค่นี้ก็น่าจะรู้แล้วว่าทำไม Krungthai Travel Card ถึงเป็นไอเท็มเด็ดที่สายเที่ยวต้องมี

แลกเงินเพิ่มไว้ให้อุ่นใจเราก็มาเลือกเมนูกันต่อ โดยเมนูที่เราสั่งก็จะเป็นเซตเมนูที่พนักงานในร้านแนะนำ ซึ่งในเซตก็จะมีไข่ลวกสองฟอง ขนมปังปิ้งสี่คู่ เลือกไส้ได้ตามอัธยาศัย และกาแฟเข้มๆ อีกหนึ่งแก้ว โดยวิธีการกินก็ให้เยาะพริกไทย และซอสสีดำที่อยู่ข้างๆ กัน ก่อนจะคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วเอาขนมปังกรอบๆ หวานๆ มาจิ้มกิน ขอบอกว่าดูจากภาพอาจจะยังไม่รู้ว่าอร่อยแค่ไหนแต่เรายืนยันได้ว่าอาหารที่ดูเหมือนจะธรรมดานี้กลับอร่อยฟินเค็มๆ หวานๆ กรอบๆ หอมๆ จนถ้าเรามาอีกก็จะขอแวะมาที่นี่ให้ได้อย่างแน่นอน

• Chinatown

เราออกจากร้านอาหารเช้ามาเดินเล่นต่อกันที่ Chinatown ที่พอเดินเข้ามาก็จะพบความจี๊นจีน จนนึกว่าหลุดเข้ามาในซัวเถา เพราะตึกรามบ้านช่องกับงานสตรีทอาร์ตเก๋ๆ ล้วนเป็นไปในทิศทางที่ดูปราดเปรียว มันจึงมีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆ อยู่หลายมุม ใครที่ชอบแนว street รับรองว่าจะได้รูปกลับไปแบบนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน ของกินก็โอ้โหเนืองแน่นตามสไตล์พี่จีนเค้าล่ะที่จัดเต็มทั้งอาหารคาว อาหารหวาน ขนม ของฝากของที่ระลึก แบบเยอะชนิดที่ใครไม่ได้อะไรติดมือกลับมาจากย่านนี้เลยก็ถือว่าเก่งเกินไปละ ยิ่งเดินก็ยิ่งสนุก ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่สนุกสนานและหลากหลาย เดี๋ยวอาหรับ เดี๋ยวจีน เดี๋ยวแขก เดินให้ขาลากกันไปเลยถึงสามประเทศ

• Buddha Tooth Relic, Singapore

สิ่งน่าสนใจเยอะเหลือเกิน กว่าเราจะเดินมาถึงจุดหมายที่วัดพระเขี้ยวแก้ว Buddha Tooth Relic, Singapore ก็เล่นเอาเลยเวลาที่ตั้งใจไว้อยู่มากโข โดยวัดนี้เป็นวัดในศาสนาพุทธที่มีสถาปัตยกรรมโดดเด่นเพราะเป็นตึกสีแดงเข้มสูงเจ็ดชั้น แบ่งเป็นชั้นใต้ดินสามชั้นและบนดินอีกสี่ฉัน มีหน้าต่างอยู่รอบด้าน และเมื่อเดินเข้าไปข้างในก็จะเจอกับพระพุทธรูปที่เรียงกันบนกำแพงนับ 1,000 องค์ และยังเป็นที่ประดิษฐานฟันของพระพุทธเจ้าตามชื่อของวัด นอกจากเจ็ดชั้นหลักๆ แล้ว เขาก็ยังมีชั้นลอยและชั้นด่านฟ้าให้เราขึ้นไปชมเจดีย์และระฆังสำหรับหมุนเพื่อความเป็นสิริมงคลอยู่ด้วย

• Peranakan House

เหมือนยังเดินไม่ครบทั้งประเทศเราก็เลยนั่งบัสออกนอกตัวเมืองเพื่อไปยัง Peranakan House อีกจุดเช็คพ้อยท์ของเหล่า Instagramer โดยบ้านที่มีสีสันสดใสและมีสถาปัตยกรรมแบบจีน-บาร๊อคเหล่านี้ คือ มรดกทางวัฒนธรรมของชาวเปอร์รณากันที่มีต่อวัฒนธรรมของสิงคโปร์มาอย่างยาวนาน ภายในบ้านบางหลังก็จะมีการจัดแสดงผลงานและพิพิธภัณฑ์ของครอบครัวชาวจีนในสมัยที่เริ่มย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่นี่ แต่โดยมากแล้วบ้านแต่ละหลังก็ยังมีคนอยู่อาศัยแบบปกติเพราะฉะนั้นเราจึงทำได้แค่ถ่ายรูปอยู่ห่างๆ โดยไม่ไปกวนเขาเท่านั้นเอง

• Tian Tian Hainanese Chicken Rice

ถ่ายรูปจนหิวโหยก็ต้องโซซัดโซเซกลับมายังย่านไชน่าทาวน์กันอีกครั้ง เพราะเที่ยงนี้มีเมนูข้าวมันไก่สุดเลิศรออยู่ มาสิงคโปร์ทั้งทีถ้าไม่ได้กินข้าวมันไก่ก็คงจะเหมือนมาไม่ถึงเราจริงแวะมาที่ร้านข้าวมันไก่สุดฮิตของคนไทยและคนสิงคโปร์อย่าง Tian Tian Hainanese Chicken Rice ร้านที่ดูเผินๆ ก็ไม่ได้แตกต่างกับร้านอื่นเท่าใดนัก แต่ทีเด็ดของเขาก็อยู่ภายใต้ความเรียบง่ายเหล่านี้ โดยเฉพาะน้ำจิ้มที่เผ็ดกำลังดีจึงคอยช่วยเสริมรสของไก่นุ่มๆ กับข้าวหอมที่มันๆ เค็มๆ ยิ่งเขี้ยวก็ยิ่งเพลิน ส่วนการสั่งของร้านนี้ก็จะเป็นเหมือนฟู้ดคอร์ทที่เราต้องต่อแถวแล้วสั่งเพื่อยกมากินเองพี่โต๊ะ ถือว่าทั้งอร่อยและง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก

• Library @ orchard

ท้องอิ่มแล้วก็ได้เวลาไปต่อกันที่ห้องสมุดเพื่อหาอาหารสมองกันสักหน่อย ซึ่งก็ไม่ใช่อาหารสมองจากการอ่านหนังสือแต่อย่างใดแต่เป็นอาหารสมองจากการค้นหามุมถ่ายภาพที่ห้องสมุดแห่งนี้ต่างหาก เพราะ Library @ orchard คือห้องสมุดแห่งชาติของสิงคโปร์ที่มีหนังสือกว่า 100,000 เล่ม ภายใต้การตกแต่งที่ทันสมัยและตั้งอยู่บนชั้นสามชั้นสี่ของห้างออร์ชาร์ดเกตเวย์ หรือใครอยากจะมาหาหนังสือและแมกกาซีนรวมถึงสื่อการศึกษาอื่นๆ ที่มีก็มีสื่อดีๆ ให้เราเลือกอยู่เพียบ

• Orchard Road

มาเที่ยวสิงคโปร์ทั้งทีถ้าไม่ Shopping ก็กลัวจะผิดกาลเทศะ ยิ่งตอนนี้เรายืนอยู่บนถนน Orchard Road ที่สองข้างทางเนืองแน่นไปด้วยห้างและร้านค้าแบรนด์ดังไฮเอนด์ให้เลือกแบบละลานตา ทั้ง INO ทั้งพารากอน จะกุชชี่ ปราด้า หลุยส์ เฟอร์รากาโม่ ก็มีให้เลือกยาวเป็นหางว่าวจนตาซ้ายกับตาขวาแทบจะแยกดูไปคนละทาง เพราะหลายชิ้นก็ราคาดีกว่าที่ไทยอยู่หลายบาท ยิ่งเราได้เรทดีๆ มายิ่งถูกหนักเข้าไปอีกจนอดใจไม่ไหวต้องถอยมาสักชิ้นสองชิ้น แล้วก็รูดจ่ายด้วย Krungthai Travel Card ยิ่งสะดวกเข้าไปใหญ่

• Song Fa Bak Kutthe

เน็ตเหนื่อยเมื่อยขาก่อนจะลากกระเป๋าหิ้วถุงแบรนด์เนมกลับไปสนามบินเราก็ขอปิดทริปแบบฟินลืมกันที่ Song Fa Bak Kutthe หนึ่งในสุดยอดบักกุ๊ดเต๊อาหารสัญชาติจีนที่ได้กินครั้งหนึ่งก็ถึงกับลืมไม่ลง เพราะร้านนี้เค้าสืบสานตำนานความอร่อยมากว่า 50 ปี เสิร์ฟอาหารจีนหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นหมูพะโล้ที่อร่อยแบบไม่ต้องนับแคล ผักคะน้าลวกหน้าตาธรรมดาแต่รสชาติราชาเรียกพี่ ฯลฯ แต่ที่ต้องยกให้เป็นจานเด็ดที่สุดสำหรับเราในร้านนี้ก็คือบักกุ๊ดเต๊ของดังของเค้านั่นแหละ เพราะน้ำซุปใสๆ ที่เราเห็นนี้กลับเต็มไปด้วยรสชาติแห่งความอร่อยเผ็ดร้อนถึงเครื่องพริกไทย ยิ่งได้กินกับเครื่องเคียงอย่างไข่พะโล้ ถั่วลิสงต้ม คือนิพพานก่อนกลับจริงๆ จ้า

สำหรับการเดินทางในสิงคโปร์เราแนะนำให้ซื้อ EZ Link ตั้งแต่สนามบิน เพราะเจ้าบัตรนี้จะช่วยให้การเดินทางไม่ว่าจะขึ้นรถเมล์ ลง MRT ต่อแทกซี่ นั่งแทรมของแกสะดวกมากขึ้น ซึ่งราคาบัตรจะอยู่ที่ 12$ แบ่งเป็นค่าบัตร 5$ และค่าเดินทาง 7$ แกสามารถรูดจ่ายด้วย Krungthai Travel Card และระหว่างทริปหากเงินในบัตร EZ Link ไม่พอเราก็สามารถเติมเงินที่ตู้อัตโนมัติด้วยบัตร Krungthai Travel Card ณ สถานี MRT ทุกสถานี ณ จุดนี้ต้องบอกเลยว่า Krungthai Travel Card สะดวกจริงอะไรจริง

และแล้วสามวันสองคืนก็จบไปแบบมีความสุขสมบูรณ์ แม้ว่าจะเป็นช่วงสั้นๆ ในประเทศบนเกาะเล็กๆ แต่ที่นี่ก็มีความหลากหลายและมีเรื่องราวมากมายให้เราได้ค้นพบ และทุกครั้งที่ได้กลับมาที่นี่มันก็ยังมีเรื่องราวใหม่ๆ ให้เราได้ค้นหาเพิ่มขึ้นอยู่เสมอ เพราะสิงคโปร์นี้ขึ้นชื่อในเรื่องของการพัฒนาประเทศเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอยู่แล้ว ถ้าเปรียบสิงคโปร์เป็นอาหารสักจานเราก็คิดว่าสิงคโปร์เป็นข้าวมันไก่หน้าตาจืดชืดแต่หากใครได้ลองสักครั้งก็มีอันต้องหลงใหลจนต้องกลับตามมากินอีกครั้งให้จงได้ ยิ่งครั้งนี้เราสามารถเดินเที่ยว กินข้าว ขึ้นรถ เข้าพิพิธภัณฑ์ ช้อปปิ้ง ได้โดยไม่ต้องพกเงินสดสักแดง ยิ่งทำให้ทุกอย่างรวดเร็วสะดวกสบายและปลอดภัยมากกว่าครั้งไหนๆ เราจึงพูดได้เต็มปากเลยว่ามาเที่ยวสิงคโปร์ Krungthai Travel Card ใบเดียวก็เอาอยู่ ไปลองซะแล้วจะรู้ว่ามันดีจริงๆ ไม่ได้โม้