เที่ยวน่านหน้าฝน : ” N A N ” Green Season

ย่างเข้าเดือนหกน้ำจากฟ้าก็พร่างพรมแบบไม่ขาดสาย ดอกไม้ ใบหญ้า ผืนป่าก็พากันเบ่งบานด้วยความดีใจ แน่นอนว่าคนใสๆ อย่างเรา ก็ได้เวลาออกเดินทางหลบร้อน ไปนอนฟังเสียงฝน ชมหมอกหยอกเย้ากับยอดเขา จัดพร็อพรับพระพิรุณ ม้วนผมทรงเมอร์เมดให้เหมือนเพิ่งขึ้นมาจากท้องทะเลแล้วมาฮาเฮต่อที่ภูเขา หนีความร้อนเร่าไปกันที่ “น่านนคร” เมืองแห่งความสโลวไลฟ์ เพื่อไปสัมผัสบรรยากาศที่จะทำให้มีความสุขแบบไม่รู้ตัว ด้วยการเช็คอินนอนเล่นที่บ้านต้นไม้อำเภอปัว ขับรถทะลุหมอก ณ ถนนลอยฟ้า เอาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางการโอบกอดของภูผาที่หมู่บ้านสะปัน แล้วสามวันสองคืนในครั้งนี้จะกลายเป็นทริปที่ต้องเผลอคิดถึงทุกครั้งเมื่อฝนโปรยลงมา

เก็บร่มลงกระเป๋า กระชับมือคนข้างๆ ให้แน่น หันหลังให้เมืองหลวงแล้วออกเดินทางกันได้เลย …

ไม่ว่าจะเดินทางบ่อยแค่ไหน การเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางคือสิ่งที่เราจะทำเสมอ ทั้งวางแผนการเดินทาง เสื้อผ้า หมวก กล้อง ฯลฯ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน อันนี้ต้องห้ามพลาด!!! หลังจากลงเครื่องที่สนามบินน่านนครปุ๊บ เราก็บังคับพวงมาลัยเลี้ยวเข้า 7-11 เพื่อขนเสบียงมาตุนไว้สำหรับการเดินทางทันที งานนี้ ขนม นม เนย เครื่องดื่มต้องมา และที่ต้องมีคือ Knorr Cup Pasta เพื่อนคู่ท้องนักเดินทางคนใหม่จากคนอร์ที่ยกทัพความอร่อยมาพร้อมกันถึงสามรสชาติทั้ง Classic Carbonara, Tomato Pomodoro และ White Cream Alfredo ที่เค้ามีการคัดสรรวัตถุดิบมาอย่างดี เส้นฟูลซิลลี่เหนียวนุ่มนำเข้าจากยุโรป คลุกเคล้ากับซอสที่ละมุนลงตัว ไม่มีผงชูรส พกพาง่าย ไม่ยุ่งยาก แถมอร่อยได้ง่ายๆ แค่เติมน้ำร้อนๆ ถึงขีดด้านใน ปิดฝา และรอ 5 นาที กับราคาเพียงถ้วยละ 35 บาท ดีงามขนาดนี้ ออกเดินทางครั้งหน้าก็อย่าลืมแวะ 7-11 แล้วคว้าคนอร์คัพพาสต้ามาเป็นเพื่อนร่วมทางด้วยน้าทุกคน เซฟเตือนแล้วนะ!!!!!

Day 1

• ฟาร์เห็ดบ้านหัวน้ำ

เตรียมเสบียงด้วยคนอร์คัพพาสต้าไว้เลี้ยงตัวเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาอันสมควรที่เราจะเดินทางออกนอกเมืองไปยังอำเภอปัว และหลังจากชื่นชมความเขียวขจีที่มีตลอดสองข้างทางได้เพียง 1 ชั่วโมงนิดๆ เราก็เดินทางมาถึงจุดหมายแรกที่ “ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ” ฟาร์มเห็ดที่มีเมนูเด็ดๆ อยู่เพียบ แต่ก่อนที่เราจะเปิดเมนูดูอาหารที่จะรับประทานวันนี้ก็ต้องขออนุญาติเดินเลือกที่นั่งแล้วแวะหามุมถ่ายรูปกันซะหน่อย เพราะร้านอาหารเรือนไม้สองชั้นที่มีที่นั่งทั้งข้างนอกและข้างในแห่งนี้ ตั้งอยู่ท่ามกลางดงไผ่และต้นไม้ใหญ่มากมาย เราจึงอดใจไม่ไหวที่จะเดินเล่นถ่ายรูป สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดก่อนเป็นอันดับแรก

พอร่างกายรับอากาศบริสุทธิ์จนอิ่มหนำ ความหิวก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน เราเลือกนั่งที่มีวิวด้านหลังเป็นทุ่งนา พร้อมเปิดดูเมนูเด็ดที่ล้วนใช้เห็ดเป็นวัตถุดิบหลัก ไม่ว่าจะเป็นอาหารเมืองต่างๆ หรืออาหารอิตาเลียนก็ไม่เว้น เช่น น้ำพริกข่าเห็ด ไข่ป่ามเห็ด แกงเห็ด และที่เด็ดจนต้องสั่งแทบทุกโต๊ะก็คือพิซซ่าเห็ดเมนูในตำนานของที่นี่ ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างที่กล่าวมานี้เราสั่งมาหมดเป็นที่เรียบร้อย และต้องขอยกนิ้วให้กับพิซซ่าเห็ดที่ตัวแป้งบางกรอบ ชีสหนานุ่มหอมมัน เห็ดสารพัดชนิดทั้งเห็ดหอม เห็ดเข็มทอง และเห็ดนางฟ้า ที่เข้ากันเกินกว่าจะจินตนาการ ยิ่งบวกกับกลิ่นหอมๆ ของเตาถ่านบอกได้คำเดียวว่าลำแต้ๆ เจ้าาาา

อิ่มจนกระเพาะร้องขอชีวิต ก็ได้เวลาที่เราจะออกเดินสำรวจฟาร์มเห็ดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตเชื้อเห็ดที่ใหญ่ ทันสมัย และครบวงจรที่สุดแห่งหนึ่งของอำเภอปัว ที่ใจดีเปิดโรงเรือนเพาะเห็ดให้นักเดินทางสามารถเข้าชม และเรียนรู้ได้ แต่ใครที่เน้นแค่กินกับเที่ยวเค้าก็มีน่านสวิง หรือชิงช้าแห่งเมืองน่านที่เราสามารถแกว่งไกวให้ผมปลิวไสว เพื่อชมวิวทุ่งนาด้านล่างจากมุมสูงพร้อมๆ กับให้เพื่อนเก็บภาพบรรยากาศไว้เปลี่ยนโปรไฟล์ เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวสมกับที่ทำตัวสวยคาแรคเตอร์สาวสวยผู้ไม่กลัวฝนและทนต่อทุกสภาพอากาศ

• Cocoa Valley Café

สับขาต่อด้วยจริตมิสแกรนด์และแนะนำที่เที่ยวต่อไปด้วยเสียงแบบซ้องปีบ กับที่ต่อไปที่ช่วยตอกย้ำความชิคของเมืองปัวได้เป็นอย่างดีนั่นก็คือ Cocoa Valley Café คาเฟ่เจ้าาาอ้ายบ่าวจีนนนน ใครที่รักในความขมและหลงในความหวานของโกโก้ เราบอกได้เลยว่าที่นี่คือที่ที่แกไม่ควรพลาดเป็นที่สุดเพราะ ขนมและเครื่องดื่มในคาเฟ่นี้ ล้วนมีส่วนประกอบมาจากโกโกชั้นดีที่ทางร้านปลูกเอง บรรยากาศของร้านก็น่ารักมากเว่อร์เพราะเป็นร้านที่ใช้อิฐสีขาวผสมกับกระจกบานโตที่รับแสงจากภายนอกทำให้ช็อกโกแล็ตร้อนในมือของเราอบอุ่นด้วยรสชาติและบรรยากาศดีๆ ส่วนใครที่ชอบนั่งเล่นในโซนเอาท์ดอร์ที่นี่ก็มีระเบียงไว้สำหรับกินขนมพร้อมชมวิวของเมืองปัว

สำรวจและสอบถามจนถ้วนทั่ว ก็ได้เวลาที่เราชอบที่สุดนั่นคือการลิ้มรสของขนมที่สั่งมานั่นก็คือเค้กช็อกโกแลตลาวาและโกโก้ฟองดู เมนูซิกเนเจอร์ที่ทางร้านแนะนำ บอกได้คำเดียวว่าสายรุ้งสีดำได้พุ่งออกจากปากเราในทันทีที่ไขมันดีและโกโก้แท้เข้าสู่ปากผ่านรสสัมผัสที่ขมปนหวานจนถึงหัวใจ แกเอ๊ยยยยย มันดียยยยย มันหวานนนน มันมันนนนน มันต้องมาเว้ยแก๊ ทำให้ความอยากในการละเมียดละไม กลายเป็นจ้วงไม่ยั้งตั้งแต่คำแรกยันคำสุดท้ายเฉยเลย และถ้าใครอยากรู้ว่าหน้าตาโกโก้จริงๆ มันเป็นยังไงเค้าก็ยังเปิดสวนให้เราดูการปลูกต้นโกโก้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกไปจนถึงการนำเอาผลผลิตของโกโก้มาใช้เป็นสารพัดเมนูสุดสร้างสรรค์อีกด้วย

• ไร่ต้นรัก

อิ่มเอมรสหวานแบบจุกๆ ก็ได้เวลากลับขึ้นรถหมุนพวงมาลัยเข้าเช็กอินที่พักในคืนแรกของเราที่ “ไร่ต้นรัก” บ้านพักแบบไม้ใกล้ชิดธรรมชาติให้ฟีลเหมือนนอนอยู่บนบ้านต้นไม้ที่มีเพียงสี่หลังเท่านั้น แต่ละห้องจะเน้นเฟอร์นิเจอร์ไม้อย่างดีและมีการแบ่งสัดส่วนห้องนอน ห้องนั่งเล่น และระเบียงให้ออกไปยืนรับลมชมวิวยามเช้า หากแกกำลังตามหาความเงียบสงบ บรรยากาศชิวชิว การพักผ่อนอย่างเต็มที่ และธรรมชาติรอบกาย ไร่ต้นรักจะต้องเป็นหนึ่งในคำตอบของแก และไม่ว่าแกจะมาเป็นคู่หรือมาเป็นแก๊งค์ หรือมากับครอบครัว ที่นี่ก็พร้อมบริการเสมอถ้าแกจองทัน

และสำหรับใครที่ชอบถ่ายรูป อัพมุมเก๋ๆไม่ซ้ำใคร บอกเลยว่าไร่ต้นรักนี้มีมุมให้แกถ่ายรูปเยอะมาก ไม่ว่าจะมุมร้านอาหาร มุมสะพานไม้ ระเบียงหรือแม้แต่ในห้องนอนเอง ก็ยังถ่ายได้ รับรองว่ารูปสวยปังจนใครต่อใครก็ต้องมาถามว่าที่นี่ที่ไหนอะแกแน่นอน เราเดินถ่ายรูปเล่นจนแสงหมด และไปทานอาหารเมืองที่ทางที่พักเตรียมไว้ให้ทั้งผักกาดจอ ไส้อั่ว ลาบเหนือ น้ำพริกต่างๆ บอกเลยว่ารสชาติไม่ธรรมดานะแก และไม่ต้องเสียเงินเพิ่มแต่อย่างใด เพราะมื้อนี้เค้าได้รวมไว้กับค่าที่พักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุ้มสุดคุ้มไปเลยจ้า!

Day 2

ยังไม่ทันที่นาฬิกาจะปลุก เสียงฝนที่หยดลงบนหลังคา และไหลลงที่หน้าต่างก็ปลุกเราให้ตื่นจากความฝัน ลุกขึ้นมาเสพย์ความจริงที่สวยไม่ต่างจากฝันตรงหน้า พออาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน จัดผมให้เข้ากับชุด ใส่ชุดให้เข้ากับที่พักแล้ว ก็ค่อยมานั่งชิวๆ ฟังเสียงลมเอื่อยๆ พร้อมหยิบคนอร์คัพพาสต้าขึ้นมานั่งทานเป็นมื้อเช้า ซึ่งเราสามารถเตรียมได้ง่ายเพียงแค่ฉีกซอง เทพาสต้าและซอสลงในถ้วยพร้อม เทน้ำร้อนให้ถึงขีดจากนั้นปิดฝาทิ้งไว้เพียง 5 นาที เราก็ได้ลิ้มรสความอร่อยจัดเต็มสไตล์อิตาเลี่ยน สะดวกง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ทำให้บรรยากาศฝนตกยามเช้าที่แลดูเย็นชุ่มฉ่ำกลับอบอุ่นขึ้นทันทีที่เส้นฟูซิลลี่กับซอสสไตล์อิตาเลี่ยนเดินทางสู่กระเพาะอันหิวโหยของเรา

และถ้าต้องเลือกจากสามรสสุดเด็ดให้มงได้เพียงหนึ่ง แบบทางเราชอบมากที่สุด ซึ่งแม้จะหนักใจในการให้คะแนนแต่เราก็ขอปันใจให้กับรสคลาสสิคคาโบนาร่าที่หอมนุ่มชุ่มชีสเต็มรสซอสคาโบนาร่า แถมดับเบิ้ลความฟินส์ด้วยเบคอนและแฮม ยังไม่พอจัดเต็มด้วยต้นหอมและใบออริกาโน่จนได้อรรถรสแบบอิตาเลี่ยนแท้ๆ ราวกับมีเชฟจากอิตาลี่หอบหอเอนปิซ่ามายืนทำอยู่ตรงหน้า แต่ที่สำคัญไปมากกว่าความอร่อยก็คือความชุ่มฉ่ำแบบฟินหนักสไตล์อิตาเลี่ยนนี้กลับมีแคลอรี่น้อยแค่ 150 กิโลแคลอรี่เท่านั้น โอ้วเจ้าแม่ อะไรจะดีขนาดนี้ ถ้วยนี้การันตีความหลงรักอ่ะบอกเลยยยย

ส่วนอีกหนึ่งรสชาติที่อยากแนะนำแม้จะชอบน้อยกว่ารสแรกก็คือรสมะเขือเทศ โพโมโดโร่ รสหมู ที่อร่อยแบบสดชื่นจากรสหวานอมเปรี้ยวของมะเขือเทศโพโมโดโร่ ที่แทรกซึมอยู่ในเกรียวเส้นฟูซิลลี่ ที่ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งเพลิน ที่มาบวกกับหมูสับหวานๆ ต้นหอมละมุนๆ และใบออริกาโน่ที่มาตอกย้ำความเป็นอิตาเลียนสไตล์เข้าไปอีก ทำให้แค่เทน้ำร้อนก็หอมจนเกือบจะหม่ำตั้งแต่ยังไม่สุกกันเลย ที่สำคัญอร่อยฟินราวกับเมคอินอิตาลี่ขนาดนี้ แต่ราคากลับน่ารักจุบจิบเพียงถ้วยละ 35 บาท เดินทางต่อไปครั้งไหนคนอร์คัพพาสต้าจะต้องเป็นอีกหนึ่งเมนูที่เราต้องแวะซื้อตุนระหว่างทริปอย่างแน่นอน

• ถนนลอยฟ้า ปัว-บ่อเกลือ

หลังจากใช้เวลาในยามเช้าอย่างเพลิดเพลินจนเต็มที ก็ได้เวลาโบกมือสามทีแล้วกล่าวบ๊ายบายกับบ้านต้นไม้เพื่อไปต่อกันที่กลางขอบฟ้า… บนถนน 1256 เส้นทางที่เกือบจะธรรมดาแต่ทว่าซ้ายและขวาของถนนเส้นนี้ล้วนเต็มไปด้วยวิวเทือกเขาสุดลูกหูลูกตา ทุกกิโลเมตรที่รถแล่นไปข้างหน้าคือการวิ่งขึ้นสู่ยอดเขา ผ่านไปไม่นานหมอกก็ล้อมเราไว้อย่างเสร็จสรรพจนเหมือนกำลังอยู่กลางขอบฟ้า และนี่คือคำเฉลยของถนนที่มีชื่อว่า ถนนลอยฟ้า ส่วนเราก็นางฟ้าดีๆ นี่เองสินะ

• อุทยานแห่งชาติดอยภูคา

ผ่านม่านหมอกและทิวทัศน์อันสวยงาม เราก็มาถึง อุทยานแห่งชาติดอยภูคา หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญของจังหวัดน่าน ที่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำหลายสาย เป็นที่ตั้งของดอยภูแวยอดดอยกลางหมอกที่ความสวยงามพิชิตใจนักเดินทางมาแล้วนักต่อนัก และที่นี่ก็ยังมีจุดชมวิวและเส้นทางสำรวจธรรมชาติสั้นๆ ให้เราได้ฟอกปอดกันอยู่หลายจุด อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ห้ามพลาดก็คือ บ้านเกวียนหรือบ้านสามเหลี่ยม เพราะนอกจากจะเป็นบ้านพักค้างคืนแล้วยังเป็นจุดถ่ายรูปเช็คอินยอดนิยมอีกด้วย จะมายืนสะบัดผมรับละอองไอน้ำก็เก๋ หรือยืนหน้านิ่งทำเท่สะพานเป้ก็ชิค ถ่ายรูปเสร็จก็ต้องห้ามพลาดกับสิ่งสำคัญทางธรรมชาติอีกอย่าง ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกเท่านั้นนั่นก็คือต้นชมภูคาไม้ยืนต้นที่หาที่อื่นไม่ได้ ดังนั้นถ้าไปแล้วไม่ได้ถ่ายรูปคู่เดี๋ยวเวลาอัพลงโซเชียลจะขาดสตอรี่สุดชิคไปนาจา

• บ่อเกลือสินเธาว์

พื้นที่บนยอดเขาสูงเสียดเมฆอย่างอำเภอบ่อเกลือ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแหล่งเกลือที่มีความสำคัญมาก แถมเป็นเกลือภูเขาที่มีเพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้นด้วย เพราะงั้นเมื่อมาถึงอำเภอบ่อเกลือทั้งทีต้องไม่พลาดที่จะแวะมาชมสักหน่อย ซึ่งเมื่อก่อนชาวเมืองน่านจะใช้เกลือเป็นสินค้าส่งออกและแลกเปลี่ยนกับกลุ่มชนต่างๆ ถึงแม้ว่าสมัยนี้เกลือไม่ใช่บรรณาการสำคัญเหมือนเมื่อก่อน แต่ชาวบ้านก็ยังคงรักษาขนบของการต้มเกลือด้วยวิธีดั้งเดิมเอาไว้ให้เราได้ชมกัน โดยตักน้ำเกลือจากบ่อธรรมชาติมาต้มในกระทะใบบัวขนาดใหญ่ เคี่ยวจนน้ำแห้งขอดให้เกลือระเหยแห้งแล้วจึงตักขึ้นมาก็จะได้เป็นเกลือสินเธาว์สีขาวเม็ดใหญ่ ที่ต้องนำไปผสมกับไอโอดีนก่อนจำหน่ายเป็นเกลือปรุงอาหาร ส่วนเกลือเพียวๆ ก็นำไปผลิตเป็นเกลือสปาขัดผิว เกลือแช่เท้า สบู่ดอกเกลือ ไว้เป็นของฝากที่อวดอ้างสตอรี่ได้ว่าเป็นเกลือภูเขาแห่งเดียวในโลกเลยนะแก๊

• น้ำตกสะปัน

ชมความอันซีนของบ่อเกลือสินเธาว์ไปแล้ว เราก็เข้าสู่ความเขียวขจีสุดสายตาที่ น้ำตกสะปัน แห่งอุทยานแห่งชาติขุนน่าน น้ำตก 3 ชั้นขนาดกลางที่มีน้ำให้เราได้ชื่นใจตลอดทั้งปี แต่น้ำจะมากน้อยก็ตามแต่ช่วงเวลา แต่ที่มากตลอดปีอย่างแน่นอนก็คือความเขียวของต้นไม้และมอส เฟิร์น ที่แทรกตัวขึ้นทั้งบนโขดหิน รากไม้ และพื้นดิน เหมาะแก่การนั่งแทรกตัวกลางดงความเขียว จำลองตัวเองเป็นนางไม้สายชิค ที่ออกมาพักผ่อนหาความสงบในน้ำตกที่ไม่มีแม้แต่ร้านค้า บ้านพัก และสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ จนอยากจะแปะป้าย 100% Natural ไว้ที่ทางเข้าเลยทีเดียว

• หมู่บ้านสะปัน

ยังไม่ทันบ่ายคล้อยเราก็มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านสะปันชุมชนเล็กๆ แสนสงบ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาขนาบสองฝั่ง มีแม่น้ำสายยาวไหลขนานกับชุมชน ยังคงเหมือนกับภาพจำเมื่อครั้งที่เรามาเยือนหมู่บ้านแห่งนี้และตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกไม่เปลี่ยนแปลง แต่เพิ่มเติมคือครั้งนี้เป็นช่วงหน้าฝนหมู่บ้านมีการทำนาปลูกข้าวยิ่งทำให้เรามีภาพจำที่สวยมากขึ้นกว่าเดิมขึ้นไปอีก ไม่เพียงเท่านี้ในหมู่บ้านก็ยังมีจุดท่องเที่ยวให้เราได้เดินชมไม่ว่าจะเป็นสะพานแขวนที่ข้ามลำธาร หรือปั่นจักรยานชมความสวยงามอยู่ทั่วหมู่บ้าน และทั้งหมดนี้คือบรรยากาศของที่พักของเราในคืนนี้

Day 3

• สายหมอกบอกฮักสะปัน

ณ หมู่บ้านที่วิวสวยจนคิดถึงทุกครั้งยามหน้าฝน เราได้เลือกพักกันที่ สายหมอกบอกฮักน่าน ที่พักที่ว่ากันว่าวิวดีที่สุดในสะปัน และเราก็อยากการันตีว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ซะเหลือเกิน ก็ยามเช้าที่เราตื่นมาพร้อมกับสายหมอกที่หยอกเย้าอยู่ข้างเตียง พอไปยืนที่ระเบียงก็ได้เห็นวิวธรรมชาติสุดสายตาจนลืมมือถือไปชั่วขณะ มีเสียงนกร้องแทนนาฬิกาปลุก มีความเย็นของไอหมอกแทนเครื่องปรับอากาศ มีต้นไม้สีเขียวแทนเครื่องฟอกปอด มีแสงอาทิตย์ยามเช้าแทนไฟฟ้า มีเถียงนาแทนตึกสูง ดีขนาดนี้เรากล้าการันตี ว่ามันดีที่สุดจริงๆ

และสำหรับที่พักดีๆ อากาศเย็นๆ ขนาดนี้ เราก็ไม่อยากจะออกไปไหนขอเริ่มมื้อเช้าวันใหม่กันแบบง่ายๆ ใน 5 นาที ด้วยคนอร์คัพ พาสต้า ด้วยรสชาติที่เหมาะกับวิวทุ่งนามากที่สุดในวันนี้ คือรสไวท์ครีม อัลเฟรโด้ รสเห็ด และไก่ที่นุ่มละมุนลิ้นจากซอสครีมเห็ดเข้มข้น หอมกลุ่นกลิ่นสไตล์อิตาลี่จากไวท์ครีม เคี้ยวเพลินจากเส้นฟูซิลลี่ ลงตัวเข้ากันได้ดีจากเห็ดแชมปิญองและเนื้อไก่ หลังจากคำแรกผ่านไปก็ต้องเบิ้ลคำที่สองสามตามมาจนคำสุดท้ายชนิดที่วางช้อนไม่ลงเพราะฟินส์ในรสชาติ ยิ่งกินในบรรยากาศยั่วๆ ชวนถ่ายรูปลงไอจี พร้อมแคปชั่น เช้าไหนจะเพอร์เฟคเท่าเช้านี้ ไว้เรียกไลท์ๆ แบบโครมๆ

• อุ่นไอมาง

หลังจากได้รูปโปรไฟล์ไว้ลงแบบอันลิมิเต็ดตลอด 15 ปีเป็นที่เรียบร้อย เราก็เช็คเอาท์แล้วออกเดินทางไปเช็กอินอีกหนึ่งสถานที่ที่เป็นดั่ง หนึ่งในสัญลักษณ์ของหมู่บ้านสะปัน “อุ่นไอมาง” คาเฟ่และที่พักริมลำธาร ที่เราสามารถชมวิวภูเขาและสะพานได้อย่างชัดเจน เหมาะแก่การมานั่งทอดอารมณ์ชมวิวเดินทอดอารมณ์สไตล์นางเอกมิวสิควันฝนพรำแล้วเก็บภาพมุมสะพานไม้ไผ่ที่ทอดยาวข้ามฝั่งลำธารแบบเก๋ๆ หรือจะทำเป็นหมุนตัวหันหลังกลับไปชื่นชมคาเฟ่ไม้หลังนี้ที่เราเพิ่งเดินผ่านมาก็ไม่ผิดกติกา แล้วค่อยกลับเข้าไปข้างในเพื่อสั่งเครื่องดื่มที่มีอยู่หลากหลายทั้งโซดาชาและนม แต่ใครสายกาแฟต้องลองสั่งกาแฟดริปซิกเนเจอร์ของร้าน ที่รับรองความหอมกรุ่นอุ่นกลิ่นกาแฟ จนแกแทบอยากขอยืดเวลาทริปนี้ให้ยาวออกไปอีกอย่างแน่นอน

หากท้องฟ้าคือสีฟ้า หมอกคือสีขาว ต้นไม้คือสีเขียว เมื่อเอาสีเหล่านี้มาแต่งเติมให้เป็นภาพ ภาพน่านในใจเราก็คงจะละมุนดังสายฝนที่ตกกระทบบนยอดไม้ด้วยความปรารถนาให้ผืนดินมีแต่ความสุข ภาพจำของเมืองน่านก็คงชื่นฉ่ำใจคล้ายแสงตะวันในยามเช้า ไม่น่าเชื่อว่าเมืองเล็กๆบนยอดดอยแห่งนี้จะเติมเต็มใจชาวเมืองอย่างเราได้ทั้งดวง น่านหน้าฝนที่ไม่มีอะไรเหมือนเมืองใหญ่ได้ทิ้งความสุขใจให้เรามากกว่าที่คิดไว้ก่อนมาเยอะมาก ดีขนาดนี้หวังว่า “น่านนคร” ต้องติดท้อปลิสต์ในเดินทางครั้งหน้าของพวกแกละล่ะนะ ส่วน คนอร์ คัพ พาสต้าทั้ง 3 รสชาติ ที่ซื้อง่ายๆได้ที่ 7-11 แถมกินง่ายๆใน 5 นาที เราขอท้าให้แกจ่าย 35 บาทแล้วไปชิม รับรองแกจะได้เพื่อนร่วมเดินทางคนใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายคัพอย่างแน่นอน เอาล่ะ ออกไปวาดภาพในใจ ออกไปลองลิ้มชิมรส เติมเต็มหัวใจของแกด้วยตัวแกเองได้แล้วววว วว ว