รีวิวพิษณุโลก :: Unessn New Series ลองไปแล้วจะรู้ว่า amazing ยิ่งกว่าเดิม – เนินมะปราง, พิษณุโลก

3 วัน 2 คืน ต่อจากนี้ เราจะพาทุกคนไปทําอะไรลุย ๆ ให้หัวใจได้เต้นผิดจังหวะท่ามกลางธรรมชาติสุดอลังการ ในสถานที่ท่องเที่ยวสุดอันซีน แห่งอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก กับการพิชิต ยอดเขาล่องเรือตาหมื่น ภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ที่ทั้งสูงชันและแหลมคม แต่สวยงามราวกับเป็นป่าหินสุดอัศจรรย์ พร้อมจุดเช็คอินแสนเก๋ ไม่ว่าจะเป็นแคมป์ปิ้งกับวิวภูเขาสุดปัง คาเฟ่น่ารัก ที่พักแสนดี ชมฝูงค้าวคาวออกจากถ้ำ เย็นฉ่ำกับน้ำตก และสัมผัสความโลคอลของชุมชนที่บ้านมุง รับรองว่านี่จะเป็นทริปสุดมันส์ส่งท้ายปี ที่ครบทุกรสชาติ สนุกทุกโมเม้นต์แน่นอน

DAY 1

01 : บ้านมุง

หลังจากเดินทางจากกรุงเทพฯ หลายชั่วโมง เราขอยืดเส้นยืดสายโลเคชั่นแรกด้วยการเดินสำรวจ บ้านมุง หนึ่งในชุมชนของอำเภอเนินมะปราง แต่เดิมที่นี่เป็นป่าดงดิบ มีเพียงธรรมชาติ สัตว์ป่า และภูเขาหินปูนสูงใหญ่อายุกว่า 300 ล้านปี ไม่มีคนอยู่อาศัย มีเพียงนายพรานที่เข้ามาล่าสัตว์และเดินป่าเท่านั้น แต่พอเริ่มมีผู้คนย้ายมาอาศัยอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ในอำเภอเนินมะปราง ในที่สุดก็เกิดเป็นชุมชนบ้านมุงแห่งนี้ขึ้น และถึงแม้จะเป็นชุมชนเล็ก ๆ แต่ที่นี่เต็มไปด้วยธรรมชาติสวยงามอลังการ ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนก็จะเจอแต่วิวปัง ๆ ล้อมรอบตัวเราไปซะหมด

หากเราเดินเล่นตามถนนเส้นหลักของบ้านมุง ก็จะได้เห็นภาพวิวภูเขาหินปูนตั้งเด่นเป็นสง่ารับกับเส้นถนน ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ยังทำอาชีพเกษตรกรรม ได้เห็นบ้านไม้สุดคลาสสิค ได้เล่นกับเจ้าแมวเหมียวตัวจิ๋ว ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นความสุขแสนเรียบง่ายที่ได้อยู่กับธรรมชาติโดยไม่ต้องปรุงแต่ง จนทางเราอดไม่ได้ที่จะยกให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านสโลว์ไลฟ์ที่ควรมาเยือน

02 : เขาล่องเรือตาหมื่น

จากกิจกรรมชิล ๆ เดินชมวิวภูเขาหินปูนรอบ ๆ หมู่บ้าน ตอนนี้ก็ได้เวลาที่เราจะเพิ่มความตื่นเต้นให้หัวใจพองโต ด้วยกิจกรรมไฮไลท์สุดหินกับการพิชิต เขาล่องเรือตาหมื่น โดยการเดินทางมาพิชิตเขาลูกนี้ ทุกคนจะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่และทำการจองล่วงหน้ามาก่อนเท่านั้น เค้าจะมีให้เราเลือกแบบ one day trip ขึ้นปุ๊บลงปั๊บในวันเดียวกัน มี 2 รอบ คือ รอบเช้าหรือรอบเย็น กับอีกแบบคือขึ้นไปนอนค้างอ้างแรมบนยอดเขา 2 วัน 1 คืน ซึ่งแน่นอนว่าพวกเราขอเป็นแบบวันเดย์ทริป เลือกขึ้นตอนเย็น ๆ ไปชมวิวพระอาทิตย์ลับภูเขาปัง ๆ

ระยะทางขึ้นเขาจริง ๆ จะแค่เพียง 1.5 กิโลเมตรเท่านั้น แต่เป็นทางชันที่ต้องใช้มือทั้งสองข้างประคองไปกับหินและปีนขึ้นไปเรื่อย ๆ บางช่วงก็จะเป็นบันไดลิงแคบ ๆ ให้ไต่ขึ้นไป โดยปกติใช้เวลาราว ๆ 1- 2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความฟิตของร่างกายแต่ะคน ใครที่ชื่นชอบแนวแอดเวนเจอร์บอกเลยว่าต้องมาลองสักครั้ง

ใช้พลังกายและพลังใจทั้งหมดที่มี จนในที่สุดเราก็มาถึงจุดแรกที่เจ้าหน้าที่เรียกมันว่า แคร่ไม้ไผ่ เป็นจุดที่เราจะได้เห็นวิวทิวทัศน์อลังการ เห็นภูเขาหินปูนสลับซับซ้อนกันเป็นเลเยอร์แบบว่าอันซีนไทยแลนด์มาก ๆ แล้วพอมองลงไปด้านล่างก็จะเห็นวิวของอำเภอเนินมะปรางทั้งหมด บวกกับแสงยามเย็นที่เริ่มเป็นสีเหลืองทองในตอนนี้แล้ว ทำให้บรรยากาศตรงหน้ายิ่งสวยเข้าใหญ่ เข้าใจคำว่าสวยคุ้มค่าจนหายเหนื่อยจริง ๆ ก็วันนี้แหละ

จากจุดแรกเราปีนต่อด้วยระดับความยากที่เพิ่มขึ้น ต้องระมัดระวังและมีสติตลอดเวลาในการเหยียบลงไปแต่ละก้าว จนในที่สุดก็ได้พบกับ เนินหมูกระทะ อีกจุดชมวิวทิวทัศน์ที่มีความว้าวทวีคูณจากจุดแรกเข้าไปอีกหลายเท่าตัว งานนี้แค่กดถ่ายรูปเผลอ โพสต์ลงโซเซียลแบบไม่ตั้งใจ รับรองรับไลค์กระจุยกระจายแน่นอนทุกคน

และนอกจากจุดพีค ๆ ที่เราพาไปเก็บภาพสวย ๆ แล้ว ที่นี่ก็ยังมีอีกจุดที่เค้าว่ากันว่าโหดที่สุด นั่นก็คือ เจ้านอแรด จุดสูงสุดของเขาล่องเรือตาหมื่นที่ต้องใช้เวลาปีนเขาต่อไปจากจุดที่เรายืนอีกกว่า 30 นาที ซึ่งก็ตรงตามชื่อคือน้องจะเป็นหินปูนที่มีรูปร่างคล้ายกับหัวของแรดพร้อมนอแหลม ๆ ที่พร้อมแทงตลอดเวลา

หลังจากเต็มอิ่มกับการถ่ายรูป เราก็หย่อนก้นนั่งพักชมให้หายเหนื่อย พร้อมหยิบเซ็ทข้าวเหนียวอัญชันหมูทอดสุดน่ารักที่เจ้าหน้าที่เตรียมให้มานั่งทานมองวิวพระอาทิตย์ค่อย ๆ ลับหายไปหลังภูเขาหินปูน นี่เป็นอีกครั้งที่เราต้องพรึมพรำกับตัวเองด้วยประโยคเดิม ประเทศไทยของเราสวยทุกที่เท่ทุกเวลาจริง ๆ และถึงแม้จะได้เวลาเดินลงเขาแล้วแต่ภาพความประทับใจของที่นี่จะตราตรึงอยู่ในใจเราไปอีกนานแน่นอน รักที่นี่จังเลย!!!

คำแนะนำ :: ด้วยระดับความยากในการพิชิตยอดเขาล่องเรือตาหมื่น เราอยากให้ทุกคนฟิตร่างกายก่อนมาให้พร้อม ควรใส่เป็นเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และรองเท้าที่พื้นค่อนข้างหนาและกระชับ เพราะเราต้องปีนป่ายเกาะหินปูนที่แหลมคมเพื่อไปยังจุดต่าง ๆ ส่วนหมวกกันนอคไฟฉายคาดหัว และถุงมือนั้นทางเจ้าหน้าที่จะมีเตรียมพร้อมให้พร้อมน้ำดื่มสำหรับทุกคน

DAY 2

03 : CHIDธรรมชาติ by ขุนแวะ

หลังจากเหนื่อยล้าจากการขึ้นเขา พอเช็คอินเข้าที่พักปุ๊บภาพก็ตัดมาที่เช้าวันใหม่อันสดใสซาบซ่าในที่พักสุดน่ารักชื่อว่า ชิดธรรมชาติ บายขุนแวะ บ้านพักกลางขุนเขาที่เงียบสงบ ตั้งอยู่บนเนินเขาบ้านรักไทย ภายในห้องนอนเป็นกระจกใสรอบด้านพร้อมผ้าม่านสีขาวพริ้ว ๆ ทำให้เราสามารถดื่มด่ำกับวิวรอบด้านแบบ 360 องศาเลยทีเดียว จุดเด่นคือเป็นที่พักที่มีเพียง 2 หลังเท่านั้น ทำให้ค่อนข้างไพรเวทเป็นส่วนตัว เหมาะกับการมาพักผ่อนในวันชิล ๆ มาก

ประมาณแปดโมงนิด ๆ อาหารเช้าที่จัดมาแบบน่ารักกรุบกริบด้วยชุดปิ่นโตก็ถูกยกมาเสิร์ฟถึงหน้าห้อง โดยในเซ็ทเค้าจัดมาให้ครบทั้งเมนูคาวหวาน มีข้าวต้มหมูหอม ๆ ไข่ลวกฉ่ำ ๆ ปาท่องโก๋เลิศ ๆ รวมถึงขนมไทยพื้นบ้านก็มีมาให้ทานจุก ๆ แม้จะเป็นมื้อเช้าแสนธรรมดา แต่พอได้ดูวิวตรงหน้าพร้อมเพื่อนสาว มันก็ได้ฟีลสเปเชียลได้อย่างไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

บรรยากาศยามเช้ามันดีไปหมด หันไปทางไหนก็เห็นความเขียวฉ่ำ จะหยิบแก้วกาแฟมานอนจิบดื่มด่ำกับทะเลหมอกที่เปลตาข่ายแบบเผลอ ๆ หรือแช่ตัวในอ่างอาบน้ำตีฟองฟู ๆ ชมวิวธรรมชาติ สลับกับลองแกล้ง ๆ หยิบหนังสือมาอ่านสักสองสามพารากราฟ ก็รับรองว่าได้รูปสวย ๆ ไปอัพโซเชียลให้เพื่อนอิจฉาเล่นได้แน่นอน

04 : ถ้ำนางสิบสอง

ด้วยความที่ภูเขาส่วนใหญ่ในชุมชนบ้านมุงเป็นภูเขาหินปูน จึงมีถ้ำน้อยใหญ่ให้สายผจญภัยออกไปสำรวจเยอะมาก ซึ่งหลังจากเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักเราก็ตรงดึ่งมายังหนึ่งในถ้ำที่ไม่ควรพลาดนั่นคือ ถ้ำนางสิบสอง ที่อยู่ภายในวัดบ้านมุง ที่นี่เป็นถ้ำขนาดกลางที่เราสามารถเดินลอดเข้าไปชมความงามได้ ภายในถ้ำมีแอ่งหินคล้ายลักษณะอู่นอนของเด็กนับได้ทั้งหมดสิบสองอู่ ชาวบ้านจึงมีความเชื่อว่าเป็นถ้ำที่นางสิบสองเคยมาอยู่อาศัยตามในวรรณคดีของไทย

05 : ชมฝูงค้างคาวออกจากถ้ำ

ในช่วงเย็นของทุกวันเราจะได้ชมโชว์สุดพิเศษที่ธรรมชาติสรรสร้าง คือจะได้เห็นฝูงค้างคาวนับล้าน ๆ ตัวพร้อมใจกันบินออกจากถ้ำไปหากิน ออกมาป็นแนวโค้งคล้ายคลื่นยาวหลายกิโลเมตรทีเดียว ซึ่งสำหรับเรามันว้าวมาก ไม่เคยเห็นค้างคาวเยอะขนาดนี้ แต่ถ้าสังเกตดี ๆ ก็จะมีเหยี่ยวมาคอยบินโฉบเฉี่ยวจ้องจับค้างคาวเป็นมื้อเย็นของมันด้วย สำหรับโชว์สุดเจ๋งนี้เราสามารถชมได้จากทุกจุดของหมู่บ้านเลย แต่ถ้าอยากเห็นชัด ๆ แนะนำเป็นที่ถ้ำบ้านมุงเลยจ้า โดยค้างคาวจะเริ่มออกจากถ้ำตั้งแต่เวลา 17.30 น. เป็นต้นไป

06 : บ้านมุงแคมป์

คืนสุดท้ายของทริปเราเปลี่ยนบรรยากาศจากที่พักบนเขา มาแคมป์ปิ้งกันที่ บ้านมุงแคมป์ ลานกางเต้นท์สุดฮอตฮิตบนทุ่งหญ้ากว้าง ที่ถูกโอบกอดด้วยวิวธรรมชาติสุดปัง มีภูเขาหินปูนที่สูงชันเป็นฉากหลัง ทำให้บ้านมุงแคมป์กลายเป็นที่พักฮอตฮิต ที่นี่เหมาะมากสำหรับสายแคมป์ปิ้งมือใหม่ เพราะนอกจากจะเดินทางง่ายแล้ว ยังมีไฟฟ้าพ่วงให้ใช้ฟรี ๆ มีทั้งห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ไว้บริการอีกด้วย รับรองมาแล้วไม่ลำบากแน่นอน

หลังจากเลือกทำเลที่เหมาะเจาะแล้ว เราก็จัดแจงเอาบาร์บีคิวที่เตรียมมามาปิ้งบนเตา ตั้งหม้อทำมาม่าสไตล์เกาหลีกินแกล้มอีกสักหน่อย ก่อนตบท้ายด้วยมันหวานและข้าวโพดเผา ปิดจบมื้อง่าย ๆ ที่อร่อยไม่เบาได้แบบฟินนาเล่สุด ๆ

การได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ นั่งมองท้องฟ้าช่วงวานิลาสกายกับเพื่อนสาวสักคน ชวนกันเม้าท์มอยเรื่องวันเก่า เล่าถึงที่เที่ยวที่อยากไป พลางหยิบบาร์บีคิวที่ปิ้งไว้ขึ้นมาทาน มันช่างเป็นโมเม้นต์ที่แฮปปี้สุด ๆ ออ แล้วใครกลัวว่ามานอนเต้นท์จะร้อนอบอ้าว บอกเลยว่าที่นี่หลังจากตะวันลับขอบฟ้า ความเย็นก็เข้ามาแทนที่ทันที มีลมพัดอ่อน ๆ นอนหลับสบายฝันดีแน่นอนจ้าาา

DAY 3

07 : นามุงคาเฟ่

เช้าวันสุดท้ายที่บ้านมุง หลังจากที่เราช่วยกันเก็บเต้นท์และอุปกรณ์แคมป์ปิ้งเรียบร้อย เราก็ออกไปเติมคาเฟอีนกันสักนิดที่ นามุงคาเฟ่ ร้านกาแฟสุดมินิมอลมาในโทนสีขาวสะอาดตาพร้อมวิวทุ่งนาและภูเขาด้านหลัง มีที่นั่งให้เลือกทั้งโซน indoor และ outdoor ส่วนเมนูของทางร้าน จะเน้นเป็นกาแฟแบบสโลว์บาร์ มีเมล็ดให้ลูกค้าเลือกหลากหลาย จะสั่งดริปร้อน หรือดริปเย็นสักแก้วก็ได้ ส่วนใครไม่ใช่สายกาแฟ ก็มีชา โกโก้ นมสตรอว์เบอร์รี และเมนูโซดาต่าง ๆ อีกมากมายให้สั่งเช่นกัน

ด้านหลังร้านยังมีมุมถ่ายรูปกับวิวท้องทุ่งนาให้เราได้ไปเก็บภาพสวย ๆ อีกหนึ่งกรุบ มีสะพานไม้ให้เดินชมวิว งานนี้บอกเลยว่ามาร้านเดียวคือคุ้มมาก ได้ทั้งดื่มกาแฟ ได้ทั้งรูปแบบต๊าซซซกลับกรุงเทพฯ กันเลยทีเดียว

08 : น้ำตกขุนห้วยเทิน

ปิดทริปแบบสดชื่นกับสายน้ำฉ่ำเย็นที่ น้ำตกขุนห้วยเทิน อีกหนึ่งน้ำตกที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าเขา มีต้นกำนิดมาจากภูเขาหินปูนสู่ลำห้วยที่ชาวบ้านเรียกกันว่าขุนห้วยเทิน ก่อนจะไหลผ่านเชิงเขาจนเกิดการกัดเซาะจนเป็นชั้นน้ำตกเล็ก ๆ ที่เหมือนลำธารธรรมชาติเป็นชั้น ๆ โดยแต่ละชั้นมีระดับน้ำกำลังดีไม่ลึกเกินไป ทำให้ไม่ว่าเด็กน้อยหรือผู้ใหญ่ก็ก็สามารถลงเล่นได้ฟิน ๆ เห็นน้ำใสจนอดใจไม่ไหวต้องขอถอดรองแล้วจูงมือกันเดินลงมาเล่นน้ำตกสักหน่อย 

สำหรับฤดูที่เหมาะมาเที่ยวน้ำตกมากที่สุด ก็ต้องเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวนี่แหละ เพราะนอกจากจะทำให้น้ำที่ไหลลงมาจากภูเขามีความใสสะอาดแล้ว บรรยากาศรอบ ๆ ก็ยังมีความเขียวชอุ่ม เย็นสบายสดชื่น ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอย่างหนาแน่น รวมถึงเห็ดรูปทรงคล้ายแก้วแชมเปญขึ้นอยู่ตามพื้นและขอนไม้ ดูน่ารักสดใส จนเด็กกรุงฯ อย่างเราอดตื่นเต้นไม่ได้ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ซะเลย

ทั้งหมดนี้ก็คือความอันซีนฉบับ 3 วัน 2 คืน ของทริปสุดประทับใจที่อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก กับ 8 โลเคชั่นสุดว้าวโดนใจคนรักธรรมชาติและสายแอดเวนเจอร์ และถึงแม้ทริปจะจบแต่มั่นใจเลยภาพจำของเนินมะปรางยังคงชื่นฉ่ำในหัวใจ เต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มทุกครั้งที่นึกถึง ไม่น่าเชื่อว่าเมืองเล็ก ๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาหินปูนแห่งนี้จะเติมเต็มใจชาวเมืองอย่างเราให้กลับมาฟู พร้อมที่จะออกเดินทางต่อในทริปต่อ ๆ ไปได้อีกครั้ง