มีคนจีนเคยบอกเราว่า …

ถ้าอยากเกิดเป็นสาวผิวดี ต้องไปเกิดที่เมืองหังโจว ถ้าอยากกินอาหารรสชาติดี ต้องกินที่เมืองกว่างโจว ถ้าอยากจะแต่งงาน ต้องแต่งที่เมืองซูโจว และสุดท้ายถ้าจะตายให้ไปตายที่เมืองหลิ่วโจ แน่นอนว่าที่พูดมาทั้งหมด เราคงจะย้อนกลับไปเกิดไม่ได้ แต่งงานก็คงไม่ใช่ตอนนี้ ครั้นจะตายก็ยังไม่ถึงเวลา งั้นเราขอเลือกปักหมุดไปที่ กว่างโจว ก่อนละกัน  ซึ่งพอได้ไปเยือนเมืองกว่างโจวก็ทำให้รู้ว่านางไม่ได้ดีเด่นแค่เรื่องอาหารการกินนะเหวย เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวก็ไม่แพ้เมืองอื่น มีทั้งแนวธรรมชาติ แนวศิลปวัฒนธรรม รวมถึงความศิวิไลทันสมัยของเมืองนี้ที่การันตีว่าดีงามจนอยากแนะนำให้ลองไปเที่ยวกันดู

ถ้ายังจำกันได้ทุกครั้งที่ไปจีน พอกลับมาเรามักจะมีเรื่องราวมากมายมาเล่าเม้าท์มอยให้เพื่อนเพื่อนฟังอยู่เสมอ รอบนี้ก็เช่นกัน …

ก่อนจะเริ่มเดินทางเรามาสาระกันนิดหน่อยเกี่ยวกับ กวางโจว กว่างโจว หรือกวางเจา เมืองนี้เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่สุดทางภาคใต้ของประเทศจีน ตั้งอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง มีท่าเรือเสรีแห่งแรกและแห่งเดียวที่เปิดต้อนรับคนทุกเชื้อชาติให้เข้ามาขายของตั้งแต่สมัยก่อนนู่นซึ่งนานมาแล้ว พอมีคนเข้ามามากหน้าหลายตาเลยทำให้เมืองนี้มีหลายเชื้อชาติ หลายเผ่าพันธุ์ เรียกได้ว่าบางทีกถามป๊าม๊าอากงอาม่า ครอบครัวเราก็อาจจะมีต้นตระกูลอยู่ที่เมืองนี้ก็เป็นไปได้

Flight

การเดินทางถือเป็นเรื่องแรกๆที่ไม่เม้าท์คงไม่ได้ ครั้งนี้เราเดินทางไปกับสายการบินไทยสมายล์สายการบินยอดเยี่ยมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บินไปยิ้มไปแบบแฮปปี้ นี่พูดเลยว่าเดี๋ยวนี้เราติดอะไรที่แบบฟูลเซอวิสไปซะแล้ว เพราะมันสบ๊ายสบายแถมไม่ต้องคิดเยอะ ซึ่งไทยสมายล์ก็มีบริการแบบ Full Service ที่ค่อนข้างตอบโจทย์เรา ไหนจะเลือกที่นั่งได้ มีบริการอาหารเครื่องดื่มบนเครื่อง แถมได้น้ำหนักกระเป๋ามากถึง 20 กิโลเลย พร้อมสะสมคะแนนกับ Royal Orchid ได้อีก เห็นความดีงามของฟูลเซอวิสหรือยังละแกร ไม่ต้องทำอะไรเลยแค่จัดกระเป๋าแล้วเดินสวยสวยไปเช็คอินให้ทันก็พอ

ข่าวดีสำหรับพ่อแม่พี่น้องชาวใต้โดยเฉพาะคนภูเก็ต เพราะต่อไปนี้ถ้าอยากเที่ยวเมืองกว่างโจวไม่ต้องลำบากแบกกายหยาบมาเมืองกรุงแล้วบินต่อไปจีนให้เหนื่อยอีกต่อไปแล้ว เพราะสายการบินไทยสมายล์นางเปิดเส้นทางใหม่ ภูเก็ต – กว่างโจว ซึ่งมีบินตรงสัปดาห์ละ 4 เที่ยวบิน ในวันจันทร์ พุธ ศุกร์และอาทิตย์ ราคาก็เบ๊าเบากระเป๋า เริ่มต้นเพียง 3,990 บาทเท่านั้น จะรอช้าอยู่ทำไมรีบคลิ๊กเว็บไซต์ www.thaismileair.com จองตั๋ว เลือกไฟท์ ใส่ข้อมูลให้พร้อม และเตรียมตัวเดินทาง

ส่วนตัวเราหลังจากจบทริปเดินเล่นชิคชิค อาบแดดเก๋เก๋ ที่เกาะไม้ท่อน ก็เจิมไฟท์แรกของไทยสมายล์เที่ยวบิน WE696 ซึ่งออกจากภูเก็ตเวลา 23.05 แล้วไปเช้าอีกทีที่เมืองกว่างโจวเวลา 4.00 บินกันยาวข้ามคืนกับสายการบิน Full Service หายห่วงได้เสมอ เพราะหลังจากสัญญาณรัดเข็มขัดเครื่องดับลง พี่แอร์คนสวยก็มาเสริฟ์อาหาร ขนมหวาน และเครื่องดื่ม ให้ได้อิ่มฟินฟินก่อนจะปรับเอนเบาะให้สุด เหยียดขาให้สบาย ซุกตัวในผ้าห่มอุ่นอุ่นแล้วงีบพักสายตาเอาแรง สำหรับการเดินทางที่รออยู่ในวันพรุ่งนี้

ก่อนเครื่องลงจอดประมาณ 30 นาที ไฟในห้องโดยสารก็สว่างขึ้นพร้อมกับเสียงประกาศของพี่แอร์คนสวยคนเดิมที่เพิ่มเติมเช้าเบอร์นี้หน้าก็ยังเป๊ะอยู่ “เรากำลังจะเดินทางถึงกว่างโจวแล้วนะคะ” ขอให้ผู้โดยสารขยี้ตาแล้วตื่นจากนิทราได้แล้ว ฮ่าฮ่า เตรียมใบ ตม.ให้พร้อมด้วย ณ จุดนี้ พอยิ้มหวานหวานผ่าน ตม. จีนเรียบร้อย ก็เดินออกมารอรับกระเป๋า และเริ่มเดินทางท่องเที่ยว

:: Day 1 ::

  • Dian Du De Dimsum

มื้อแรกบนจีนแผ่นดินใหญ่ เราไปทานกันที่ เตี่ยนตูเต๋อติ่มซำ ร้านดังของเมืองกว่างโจว จริงจริงแล้วชาวกว่างโจวมีอาหารเช้าให้เลือกหลากหลาย ควบคู่กับการ “หยำฉา” การจิบชาร้อนๆหอมๆ ไปพร้อมกับการทานติ่มซำ ที่ถือเป็นการเข้าสังคมอย่างนึง ภายในร้านเราจะเห็นคนมากมายหลากหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนสูงอายุหน่อย มานั่งจิบชาเม้าท์มอยกันกับกลุ่มเพื่อน อาหารขึ้นชื่อของร้านที่ต้องสั่งเลย คือฮะเก๋ากุ้ง ซึ่งกุ้งมันแน่นมาก แบบกัดทีอบอวลด้วยกลิ่นกุ้งละมุนไปทั่วทั้งปาก แนะนำว่าควรลิ้มลองจริงจริ๊ง ( เสียงสูง )

เอาละ กินอิ่มก็ถึงเวลาออกไปเดินย่อยบิดเอวดูบรรยากาศยามเช้าเมืองกว่างโจวกันบ้าง บ้านเมืองที่นี่ค่อนข้างเป็นระเบียบ แทบไม่มีรถจักรยานยนตร์ให้เห็น คนส่วนใหญ่จะนิยมเดิน ปั่นจักรยานกัน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมดีจริงจริง แต่การเที่ยวจีนก็จะมีสองสิ่งที่เราอยากให้เพื่อนเพื่อนทำใจตั้งแต่กดจองตั๋วนั่นก็คือ เรื่องห้องน้ำสาธารณะ และการพ่นควันบุหรี่ที่ค่อนข้างเยอะ จนบางครั้งเราก็แอบเสียดายที่ควันมันไปทำให้บรรยากาศบนถนนที่เหมือนจะดีเสียอรรถรสไปหมด

สาเหตุที่คนที่นี่นิยมใช้จักรยานอาจจะเป็นเพราะความใส่ใจของรัฐบาลของเค้าที่รณรงค์ลดใช้พลังงานกันอย่างจริงจัง ที่นี่สามารถเช่าจักยานผ่านแอพ คือไม่จำเป็นต้องมีเป็นของตัวเอง กดจ่ายเงินผ่านแอพก็สามารถมาเช่าจักรยานปั่นได้เลย และแอพก็มีให้เลือกมากมายแบ่งตามสีสันของจักรยาน ใครสายเหลือง สายฟ้า สายส้มก็ได้หมด พอปั่นเสร็จถึงจุดหมายก็จอดคืนตามที่จอดให้เป็นระเบียบเท่านั้นพอ

  • Lian Hua San – เหลียนฮัวซาง

1 ใน 8 สุดยอดที่เที่ยวเมืองกว่างโจวที่ต้องอยู่ในลิสต์ของนักท่องเที่ยวก็คือ เหลียนฮัวซาน ที่นี่จะเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ถ้าให้เปรียบเทียบกับบ้านเราก็เหมือนเอาสวนลุมกับสวนหลวง ร.9 มารวมเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งความพิเศษมันอยู่ที่ เมื่อก่อนในสมัยราชวงศ์หมิง ชาวบ้านได้สกัดหินที่มีกลีบเหมือนดอกบัวได้บนภูเขา จึงนำมาสร้างเจ้าแม่กวนอิมที่หล่อด้วยทองเหลืองและทองคำ องค์ใหญ่โตสูงถึง 41 เมตร ยืนหันหน้ามองไปที่ปากอ่าวทะเล ฟังดูเหมือนจะมีมูลค่ามากมายมหาศาล แต่ก็คงเทียบไม่ได้กับความศรัทธาอย่างแรงกล้าของชาวบ้านที่นี่ ที่ร่วมกันบริจาคเงินทองมาสร้างเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้เลย

ถ้าแปลคำว่าเหลียนฮัวซานเป็นภาษาไทย ก็คงหมายถึงภูเขาดอกบัวที่เต็มไปด้วยความงามของสวนดอกไม้ หากเราเดินเข้าไปในอาคารชั้นแรกจะได้สักการะเจ้าแม่กวนอิมพันมือเก่าแก่ มีชื่อเสียงมากเรื่องการบนบานขอพรต่างต่าง ขอลูกได้ลูก ขอรวยได้รวย ขอหวยอันนี้ไม่แน่ใจท่านจะให้ไหม 555 แต่ต้องลองขอดู ส่วนชั้นสองและสามจะสามารถชมวิวมุมสูงให้เราได้ชมบรรยากาศรอบรอบสวนนี้ แอบบอกว่าเดินขึ้นไปเถอะ คุ้มค่ากับการทอดน่องถ่ายรูปริมระเบียงมาก

  

ใครมีเวลามากหน่อยจะเดินเล่นรอบรอบสวนเพิ่มเติมก็ได้ ส่วนเราเดินเรื่อยเรื่อยจนมาเจอต้นไม้ใหญ่ที่ผูกริบบิ้นสีแดงเต็มต้น เข้าไปสอบถามอาม่าแถวนั้นได้ความมาว่า ต้นไม้นี้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าคนจีนจะมาขอพร โดยวิธีการก็แค่เขียนคำขอต่างๆลงในริบบิ้นแล้วนำไปผูกไว้กับต้นไม้ เราคิดว่ามันคงอารมณ์เหมือนไปเกาหลีแล้วเจอคนล็อคแม่กุญแจที่รั้วแหละมั้ง

จากภูเขาดอกไม้เหลียนฮัวซาน ห่างไปประมาณ 500 เมตร เราจะพบกับป้อมปราการเก่าของเมืองกวางตุ้ง สร้างในสมัยราชวงศ์ชิง ที่นี่มุมถ่ายรูปสวยๆพีคๆเอยะมากกกก มีกำแพงโบราณที่มโนเอาเองว่ามันคล้ายกำแพงเมืองจีนให้เดินถ่ายรูปเล่นด้วย สำหรับตัวกำแพงนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ป้องกันข้าศึกที่บุกมาจากทางน้ำ จึงมีความยาวและแข็งแรงเป็นพิเศษ จากสภาพปัจจุบันก็น่าจะบอกได้เป็นอย่างดีเพราะอยู่มายาวไม่สึกกร่อนเลยแกร๊ นอกจากกำแพงที่เด่นเด่นแล้วที่นี่ยังมีเขาวงกตให้เราลองเดินเล่นซ่อนหาด้วย อันนี้เมื่อก่อนก็คงไว้ดักข้าศึกจะได้เข้ามาถึงฮ่องเต้ยากหน่อย

  • Yu Pin Xuan – ยู่ผินซวน

เวลาเที่ยงกับเสียงท้องร้องโดยที่ไม่ต้องตั้งปลุกใดใด เราจึงออกจากป้อมปราการมุ่งตรงไปยังร้านยู่ผินซวน ร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องของแปลกแต่แดรกได้ ตัวร้านเป็นอาคารห้องแถวที่ดูยังไง๊ยังไงก็เหมือนอพาร์ทเม้นท์ซะมากกว่า ก้าวแรกที่เข้าไปร้าน สายตาอันว่องไวของเราไปสะดุดเข้ากับกรงสัตว์นานาชนิด และตู้ปลาที่เรียงรายว่ายวนไปมารอนักท่องเที่ยว ความแปลกของที่นี่ที่ว่าคือ มีทั้งกรงงู กรงนก กรงกระต่าย และนานากรงสัตว์ อยากลองกินตัวไหนก็เดินชี้นิ้วจิ้มสั่งตัวนั้นได้เลย เราขอยืดอกยอมรับเลยว่าไม่กล้าพอที่จะลิ้มลองรสพวกมัน บวกกับความสงสาร เลยสั่งเมนูห่านเป็ดไก่ธรรมดา และขึ้นไปนั่งรอบนเหล่าเต๊งทำใจสักแป๊บก่อนกิน

มีคนเม้าท์ให้เราฟังว่า คนจีนที่อยู่ในเมืองกว่างโจวกินได้ทุกอย่าง อะไรที่อยู่บนฟ้า และไม่ใช่เครื่องบินก็กินหมด อะไรที่อยู่บนดิน และไม่ใช่โต๊ะเก้าอี้ ก็กินได้ และอะไรที่อยู่ในน้ำ ถ้าไม่ใช่เรือดำน้ำพี่จีนแกก็กินเรียบไม่มีเหลือจร้า เพราะงั้นไม่ต้องสงสัยเลยกับสารพัดของแปลก ของหายาก ของที่ไม่คิดว่าจะมีคนกิน มีขายในร้านอาหารของเมืองกว่างโจว

ส่วนเมนูเด็กน้อยหอยสังข์ที่แนะนำสำหรับเที่ยงนี้ก็ต้องยกให้ห่านอบซีอิ๊ว เมนูที่เหมือนธรรมดาทั่วไป แต่รสชาติอร่อยถูกปาก คีบแล้วคีบอีก หมุนโต๊ะสองรอบกลับมาห่านหมดไปก่อนเป็นอย่างแรกเลยจ้า

  • CANTON TOWER

ช่วงเช้าเราพาไปดูความวินเทจของเมืองกว่างโจวไปแล้ว  บ่ายนี้เราขอพาไปชมความศิวิไลทันสมัยไฮโซโอ้โหเลิศหรูดูบ้าง ถึงแม้กว่างโจวจะไม่ใช่เมืองหลวง แต่ก็มีความเจริญ ตึกรามบ้านช่องสูงเสียดฟ้า ไม่แพ้กรุงเทพ หรือเมืองหลวงของจีนอย่างปักกิ่งเลย การันตีได้จาก Canton Tower ที่ตั้งสูงเสียดฟ้าที่เราจะพาไปนั่นเอง Canton Tower ถูกสร้างขึ้นเมื่อสมัยตอนมีกีฬาโอลิมปิก 2010 ซึ่งพี่จีนแกเป็นเจ้าภาพ เลยเนรมิตเมืองกว่างโจวให้เป็นเมืองศูนย์กลางของความทันสมัย และเต็มไปด้วยเทคโนโลยี มีการจัดอันดับตึกที่สูงที่สุดในโลกเอาไว้ รู้ไหมว่า แคนตัน ทาวเวอร์ สูงเป็นอันดับสอง รองจาก โตเกียวทาวเวอร์เลยทีเดียว สูงทั้งหมด 108 ชั้น

สำหรับการเดินทางมายัง Canton Tower เราสามารถนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 3 หรือสายสีส้ม มาลงยังสถานี Canton Tower จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปยังชั้นล่างของอาคารเพื่อซื้อตั๋วในราคา 150 หยวน หรือประมาณ 750 บาท จากนั้นก็ต่อแถวขึ้นลิฟท์ติดสปีทไปยังชั้น 108 กันเลย ระหว่างลิฟท์ขึ้นมันก็จะมีเสียวเสียวพอให้จิกขาเบาเบา

ติ๊ง! เสียงลิฟท์เปิดประตูที่ชั้น 108 ภาพตรงหน้าเราจะเห็นกำแพงกระจกใส ที่สามารถมองเห็นวิวเมืองกว่างโจวแบบมุมสูงโดยไม่ต้องใช้โดรน (เพราะเค้าไม่ให้เอาขึ้น) แบบ 360 องศากันเลย เดินชมได้รอบรอบ ถ่ายรุปได้เรื่อยเรื่อยไม่มีเหนื่อยไม่มีเมื่อย มีกล้องส่องทางไกลสำหรับใครที่อยากซูมดูรายละเอียดของบ้านเรือนแต่ละหลัง แต่ต้องหยอดเหรียญเสียเงินเพิ่มนิดหน่อยนะจ๊ะ

หมดเวลาจากบนยอดตึก ลงมาเดินทอดน่องรับลมกันต่อที่ จตุรัสฮัวเฉิง สวนสาธารณะใหญ่ใจกลางเมืองกว่างโจว บรรยากาศยามเย็นที่สวนดีงามมาก เหมาะกับการพาใครสักคนมารอดูพระอาทิตย์ตกดิน มองไปรอบรอบเราจะเห็นชาวจีนแทบทุกวัยออกมาเดินเล่น บางคนก็มาถ่ายรูปกับตึกแคนตันทาวเวอร์ บางคนก็มาปั่นจักรยาน บางคนแค่มายืนพ่นควันก็ดูมีความสุข ฮ่าฮ่า

  • การล่องเรือชมแม่น้ำไข่มุก

อย่าเพิ่งคิดจกลับเข้าโรงแรมถ้ายังไม่ได้ไปทำกิจกรรมสุดคูลที่ต้องห้ามพลาด กิจกรรมที่ว่าก็คือการล่องเรือชมแม่น้ำไข่มุก หรือแม่น้ำจูเจียงตามเสียงเรียกของชาวจีน อันนี้เราจะขอให้ทุกคนหลับตาและมโนตามว่า เรากำลังล่องเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านตึกสูงมากมาย แต่บรรยากาศเย็นสบายกว่า แม่น้ำก็สะอาดกว่า ตึกดูหรูหราเปิดไฟเล่นสีสันสวยงามกว่า เพราะงั้นใครไปกว่างโจวก็ควรไปลองนะ เรากลัวว่าจะไม่สามารถบรรยายด้วยคำพูดออกมาบอกทุกคนได้หมด ปล่อยให้รูปเล่าเรื่องดูบ้างแล้วกัน แต่ขอย้ำว่าอันนี้ดีจริง!

ตึกแคนตัน ทาวเวอร์ พอมืดแล้วก็จะเปิดไฟไล่สีสวยงามอลังการมาก มียิงลำแสงเลเซอร์เป็นเส้นยาวพาดผ่านระหว่างตึกนั้นไปตึกนี้ เหมือนซื้อบัตรมาดูการแสดงของตึกเลย ถ้ายืนถ่ายรูปชมไฟอยู่ข้างบน แล้วรู้สึกหนาวใจ หรือหิวข้าวจะเดินลงมาสั่งอาหารด้านล่างของเรือก็ได้ มีบริการอาหารทั้งคาวหวานเต็มที่ตลอดคืน โดยปกติจะใช้เวลาในการนั่งเรือ รอบละประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้นจ้า

  • CROWNE PLAZA HUADU HOTEL

เสร็จสิ้นวันแรกกลับมาล้มตัวลงนอนที่โรงแรม วันนี้เราเหนื่อยมาทั้งวันขอเลือกโรงแรม 5 ดาว เอาร่างไปพักให้สบายหน่อยดีกว่า ความดีงามของโรงแรมนี้ที่จะเม้าท์อย่างแรกเลยคือสะอาดมาก อันดับต่อมาคือหมอนที่นี่เป็นแบบเมมโมรี่โฟม ทำให้นอนหลับสนิทสบาย เตียงก็นู๊มนุ่ม เข้าใจคำว่าเตียงดูดวิญญาณที่แท้จริงก็คืนนี้แหละ และความดีงามสุดท้ายคือโรงแรมนางมีหัวแปลงที่สามารถใช้กลับปลั๊กไฟได้ทุกรุปแบบ แถมมี usb ที่ชาตมือถือไว้หัวเตียงอีกด้วย สะดวกครบครันเป็นที่สุด

:: DAY 2 ::

  • อนุสาวรีย์ห้าแพะ

เช้านี้เราไปเร่ิมต้นกันที่อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของเมืองกว่างโจว อนุสาวรีย์ห้าแพะ มีตำนานเล่าว่า เคยมีเทวดา 5 องค์ขี่แพะ 5 ตัว ลงมาแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ให้แก่ชาวบ้าน พร้อมอวยพรให้บ้านเมืองมีแต่ความสุขความเจริญ พอแจกพรเสร็จเทวดาทั้ง 5 ก็หายตัวไป แพะที่ขี่มาก็กลายเป็นหิน 5 ก้อน นักปะติมากรรมจึงได้แกะสลักแพะ 5 ตัวนี้เอาไว้เพื่อเป็นการระลึกถึงเทวดา นอกจากเจ้าแพะที่เป็นจุดเด่นแล้ว ที่นี่ยังร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวสบายตา มีกลุ่มแม่บ้านอาเจ๊ อาม่าชาวจีน มาออกกำลังยืดเส้นยืดสายกันหลายกลุ่ม ดูดูไปแล้วเหมือนกำลังเต้น cover เพลงจีนแทนเพลงกาหลีของวัยรุ่น ฮ่าฮ่า

  • วัดไทรหกต้น หรือ วัดลิ่วหรงซื่อ

เราเชื่อว่าถ้าลองให้คนไทยพูดอะไรก็ได้เกี่ยวกับจีนมา 1 อย่าง ต้องมีใครสักคนนึกถึงการไหว้เจ้าบ้างแหละ สายวันนี้เราเลยมาไหว้เจ้าตามรอยคนจีนกันที่ วัดไทรหกต้น มีชื่ออินเตอร์ว่า The Temple of Six Banyan Trees วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง จุดเด่นที่เราจะเห็นตั้งแต่ก้าวข้ามประตูวัด ก็คือเจดีย์ สูงถึง 9 ชั้น คนจีนเรียกว่า เจดีย์ดอกไม้ ว่ากันว่าถ้ามองมุมตรงจะเหมือนดอกไม้ มีหลังคาสีแดงของเจดีย์เป็นลอนโค้งเหมือนกลีบดอก ยอดของเจดีย์เป็นเหมือนเกสรดอกไม้ ต้องปรบมือให้กับความช่างคิดช่างจินตนาการของชาวจีนสมัยนั้นจริงจริง

  • Wu Mi Zhou – อู๋มี่โจว

คนจีนไม่ได้ชอบกินไก่อย่างเดียวนะ อันนี้เราก็เพิ่งรู้ว่าเค้าก็ชอบกินสุกี้เหมือนกัน ร้านนี้ค่อนข้างเป็นร้านดังฮอตฮิตต้องรอคิวนานหน่อยถึงจะได้กิน ที่ร้าน อู๋มี่โจว จะมีเมนูพระเอกเป็นสุกี้สารพัดอย่าง แปลกกว่าที่อื่นตรงที่เราไม่ต้องลวกเอง ไม่ต้องตักเอง มีพนักงานบริการให้หมด แค่สั่งให้ถูกว่าจะเอาชุดไหน จะหมู จะปลา จะไก่ ก็แล้วแต่อรรถรสของแต่ละคน ขั้นตอนง่ายมากพอสั่งเสร็จ เนื้อมาเสิร์ฟ พนักงานก็จะเทใส่หม้อต้ม พอเนื้อสุกก็จะตักใส่ชามให้ทาน เราคิดว่ามันคงเป็นบริการฟูลเซอวิสของทางร้าน หรือเพราะเค้าเห็นว่าเราเป็นคนไทย ทำอะไรก็เก้เก็กังกังก็ไม่รู้ ถึงบริการดีขนาดนี้ ดีกว่านี้ก็ป้อนใส่ปากแล้วแกร

อิ่มท้องพร้อมกับปล่อยเสียงเรอเบาเบา ก่อนที่จะเดินออกจากร้านมาสูดอากาศด้านนอกเพื่อชมวิวเมืองกันบ้าง สะพานลอยที่นี่เต็มไปด้วยดอกเฟื่องฟ้าสีชมพู เพิ่มบรรยากาศให้ดูหวานหวาน คิ้วท์คิ้วท์ฟีลลิ่งเหมือนเจแปน

  • สวนอุทยานเป่าม่อ

ถ้าใครเคยไปเที่ยวจีน ไม่ว่าเมืองไหนไหน ก็จะต้องเคยไปเที่ยวตามอุทยานแห่งชาติมาแล้วทั้งนั้น เพราะเมืองจีนมีอุทยานแห่งชาติเยอะมาก เค้าค่อนข้างจะอนุรักษ์สภาพแวดล้อมอะไรที่เป็นธรรมชาติเอาไว้ให้คงเดิม อย่างในเมืองกว่างโจวเอง ก็มีสวนอุทยานเป่าม่อ หรือที่เรียกกันว่า สวนเป่าบุ้นจิ้น ถึงแม้การเดินทางมาที่นี่จะต้องนั่งรถออกไปนอกตัวเมือง แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกเสียเวลาเลยจริงจริง มันดีจนอยากยกเวลาทั้งวันให้สวนเป่าม่อ เสียดายดันแพลนมาที่นี่แค่ครึ่งวันเท่านั้นเอง

สำหรับการเดินทางมายังสวนเป่าม่อ สามารถขึ้นรถที่สถานีรถประจำทาง (City Bus) ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟและสถานีรถประจำทางต่างมณฑล ซึ่งต้องซื้อตั๋วก่อนขึ้นรถ โดยรถที่จะเดินทางไปสวนเป่าม่อจะมีประมาณหกรอบ 8:00, 9:10, 10:20, 11:50, 14:20 และ 15:40 กะเวลากันให้ดีดีนะทุกคนจะได้ไม่รู้สึกเสียดายแบบเรา

ย้อนมาเล่าถึงประวัติสวนเป่าม่อนิดนึงให้พอรู้ ที่เรียกกันอีกชื่อว่าสวนเป่าบุ้นจิ้น เพราะว่า เมื่อก่อนที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของท่านเปาและครอบครัว ที่นี่จึงมีพิพิธภัณฑ์รูปท่านเปาขนาดเท่าของจริง เหมือนมาก ไปยืนดูใกล้ใกล้จะรู้สึกเหมือนกำลังสบตากับท่านเปาตัวจริงเลยทีเดียว ปัจจุบันที่แห่งนี้กลายเป็นสวนสาธารณะชานเมืองของชาวกว่างโจวไปแล้ว

และกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดหากไปเที่ยวสวนเป่าม่อ คือการให้อาหารปลาคราฟกว่า 20,000 ตัว มีทุกสายพันธุ์ ทุกขนาด เวลาเราโยนอาหารลงไปในที่คิดว่าไม่มีปลา สักพักปลาคราฟจากไหนไม่รู้ก็จะว่ายจากทุกที่มารวมกันตรงหน้าเราอย่างรวดเร็วแบบไม่ได้นัดหมาย ถือเป็นกิจกรรมเล็กเล็กที่สร้างรอยยิ้มได้ไม่น้อยเลย

 

ด้วยความที่เป็นสวนอุทยานที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วันที่เราไปจึงเจอกลุ่มเด็กนักเรียนตัวจิ๋วเสียงแจ๋วมาทัศนศึกษาด้วย นอกจากกลุ่มนักเรียนตัวน้อยเราก็จะเห็นนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนเอง ชาวต่างชาติแวะเวียนมาเยี่ยมชมที่นี่ไม่ขาดสาย

  • Chimelong International Circus

โปรแกรมท้ายสุดของทุกวันเราต้องจัดหนักจัดเต็มให้มันตื่นตาตื่นใจแล้วค่อยกลับไปนอนฝันหวาน และคืนนี้ก็เช่นกันเรามีโอกาสได้ไปชมการแสดงจากคณะละครสัตว์ ที่เกิดจากการรวบรวมตัวแสดงถึง 11 ประเทศ เท่าที่เราจำได้ก็จะมีจีน, อเมริกา, รัสเซีย, คาซัคสถาน, โคลัมเบีย รวมถึงชาวไทยด้วย โดยความพิเศษของการแสดงอยู่ที่การผสมผสานความงดงามและน่าหวาดเสียวของกายกรรมจีน กับละคร Circus ของฝั่งตะวันตกได้อย่างลงตัว ตลอดเวลาการแสดงโชว์เกือบสองชั่วโมง ไม่มีช่วงไหนที่เรารู้สึกเบื่อ หรือไม่สนุกเลย เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดีนะงานนี้

การเดินทางมาชมละครสัตว์ Chimelong International Circus สามารถนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานี Hanxi Changlong ได้ เดินออกประตูทางออก E จากนั้นก็รอรถบัสบริการฟรีของสวนสนุกมารับไปยังโซนต่างๆ ที่นี่มีโรงแรม ร้านอาหารทุกอย่างพร้อม ถ้าใครอยากใช้เวลาให้เต็มที่กับสวนสนุกที่นี่ก็น่าคุ้มค่า

หลังจากซื้อตั๋วในราคา 250 หยวนเรียบร้อยเราก็ต้องเดินผ่านด่านตรวจเข้าไป แนะนำว่าควรไปถึงให้ไวหน่อย ไปจับจองที่นั่งตรงกลางก่อนที่จะโดนทัวร์จีนมาแย่งไป กลับมาดูความอลังการของแสงสีเสียงและชุดนักแสดงที่จัดเต็มในโชว์บ้าง บางโชว์ก็น่ารักกุ๊กกิ๊ก เอาบรรดาเหล่าสัตว์ออกมาวิ่งเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กเด็กได้ลั่น hall แต่บางโชว์นี่ก็หวาดเสียวเกินบรรยายดูไปซี๊ดไป ลุ้นระทึกตามไปด้วย ถ้าเทียบกับราคาบัตรที่เสียไปแล้วเราว่าคุ้มค่ามากนะ มันดีงามเกินคาดมากมากเลย

:: DAY 3 ::

  • เขาไป๋หยุนซาน

วันนี้เป็นวันสุดท้ายในกว่างโจวแล้วโปรแกรมก็เลยออกมาแบบเบาเบา เน้นนั่งกระเช้าแบบสวยสวย ต่อด้วยช๊อปปิ้งบนถนนคนเดินชื่อดังทั้งสองที่ ก่อนจะแพคกระเป๋าบินลัดฟ้ากลับเมืองไทย กลับมาเม้าท์ถึงแลนด์มาร์คแรกวันนี้ เขาไป๋หยุนซาน เขาที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกว่างโจว เป็นภูเขาที่ใหญ่มากมียอดเขาถึง 30 ยอด ทางเลือกสำหรับเดินทางที่จะไปพิชิตเขาไป๋หยุนซานมี 2 ช้อยง่ายง่าย คือ เดิน กับนั่งกระเช้า แน่นอนว่าเราตัดอย่างแรกทิ้งไป ขอเดินไปซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าให้สบายใจดีกว่า 1 กระเช้าสามารถนั่งได้ 4-5 คน มีวิวทิวทัศน์ให้ดูไม่เยอะมาก แต่ถ้ามองกลับหลังไปจะเห็นวิวเมืองกว่างโจวที่ค่อยค่อยไต่ระดับขึ้นตามความสูงของกระเช้า จุดพีคมันอยู่ตรงนี้แหละ

  • ถนนซางเซี่ยจิว

ถึงเวลาที่เรารอคอยแล้วจ้า เงินที่แลกมาจากซูเปอร์ริชทั้งหมด เราจะเปย์จ่ายไม่อั้นกับการช้อปของที่ ถนนคนเดินซางเซี่ยจิว ที่นี่จะแอบคล้ายสยามสแควร์บ้านเรามาก เป็นแหล่งรวมวัยรุ่นคูลคูลหน้าตาดีของเมืองจีน คนโสดทั้งหลายสามารถมาส่องสาวเล็งหนุ่มได้ที่นี่นะบอกเลย เดินชิวชิวบนถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยนานาร้าน มีตั้งแต่เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า จะเอาเกรดไหนแบรนไหนก็มีให้เลือกหมด

ถึงแม้ของกินจะมีให้เลือกไม่มากเท่าสตรีทฟู้ดดังดังของจีน แต่แค่นี้ก็ฟินลิ้นกินกันจนพุงกาง ทั้งของคาวทั้งหวาน มีให้จัดกันรัวรัว ไอติมโคนเอย แพะย่างเอย ปลากหมึกย่างเอย ก็โออยู่นะแกร๊

มือหนึ่งก็ถือถุงที่เพิ่งช้อป ส่วนอีกมือก็ถือของกิน เดินเป็นผู้บ่าวผู้าวขาเลาะไปเรื่อยเรื่อยจนสุดถนน เราก็เจอโบสถ์คริสต์สวยสวยอยู่อันนึงซึ่งมีชื่อว่า โบสถ์ แซกเครด-ฮาร์ท ด้วยความที่โบสถ์เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ชาวจีนเองก็ยังคงแวะเวียนกันมาถ่ายรูปอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ทุกพื้นที่ทั้งด้านหน้า และด้านในถูกจับจองไปเสียหมด เราเลยไม่ได้เข้าไปชมความงามในตัวโบสถ์ ถ้าครั้งหน้ามากว่างโจว สัญญากับตัวเองเลยว่าจะต้องกลับมาซ้ำที่นี่อีกรอบแน่นอน (ระยะทางจากถนนคนเดินมาโบสถ์ประมาณ 1.5 กิโลเมตร)

  • ถนนเป่ยจิงลู่

ถ้ายังช้อปไม่เบื่อเงินในกระเป๋าก็ยังไม่หมด เราแนะนำให้มาต่อที่ถนนคนเดินเป่ยจิงลู่กันต่อเลย ที่นี่จะแตกต่างจากถนนซางเซี่ยจิว ตรงที่โลเคชั่นตึกรามบ้านช่องจะเป็นระเบียบมากกว่า คนไม่พลุกพล่าน และมีของกินน่าสนใจอยู่หลายอย่าง ถ้ามองไปตามร้านจะเห็นว่าเสื้อผ้าจะดูหรูคุณหนูขึ้นมาหน่อย ผ้าเกรดดีน่าใส่แต่ราคาก็แพงตามด้วย สายช้อปแบบประหยัดอย่างเราเลยปักใจชอบที่แรกมากกว่านิ้ดนึง

อันนี้เป็นอาหารขึ้นชื่อของจีนเลยนะ คนต่อแถวกันยาวมาก ใจเราไม่นิ่งพอที่จะต่อเลยขอแว๊บเข้าไปถ่ายรูปมาให้ชม ของกินเล่นอันนี้มีชื่อว่า “เต้าหู้เหม็น” เดินผ่านใกล้ใกล็ร้านก็ได้กลิ่นแล้ว สมชื่อมันเลยล่ะ บางคนให้นิยามว่าเหม็นเหมือนขยะเน่า เนื้อเน่า บางคนก็ว่าเหม็นเหมือนกลิ่น blue cheese ของฝรั่ง แต่ถึงมันจะเหม็นยังไงแต่เค้าว่ากันว่าถ้าได้กินสักครั้งแล้วจะติดใจ เพราะรสชาติอร่อยสวนทางกับกลิ่นนั่นเอง

นั่นน้องทำอะไรอะ ทำไมไม่มีใครสนใจน้อง หม่าม๊าไปไหนซะแล้วอาหมวย 555

ถือถุงจนเต็มมือถึงเวลาต้องกลับไปแพ็คกระเป๋าเตรียมเดินทางกลับกันแล้ว ไม่ต้องห่วงเลยว่าน้ำหนักกระเป๋าจะไม่พอ อย่าลืมว่าบินกับไทยสมายล์มีบริการน้ำหนักกระเป๋าถึง 20 กิโลกรัม เพราะงั้นถ้าจะซื้อไปฝากป๊าม๊าอาตี๋ก็ยังไหว

ถึงแม้ว่าไฟท์กลับภูเก็ตของเราวันนี้จะเช้ามากไปหน่อย แต่การบริการแบบ full service ของสายการบินไทยสมายล์ที่เราเลือกบินนี้ ทำให้ลืมความเหนื่อยไปได้เลย ถึงภูเก็ตแบบแฮปปี้หยิบบีกีนี่ไปอาบแดดต่อได้สบาย

การเดินทางของเราทุกครั้งไม่มีครั้งไหนเลยที่เราไม่ประทับใจ เพราะทุกครั้งก็มีเรื่องราวที่หลากหลายเข้ามาสร้างรอยยิ้มให้เราอยู่เสมอ อย่างการไปกว่างโจวในครั้งนี้ก็เปลี่ยนมุมมองและความคิดของเราที่มีต่อประเทศจีนไปได้เยอะมาก เมืองจีนสวยจริงจริงนะ ไม่ต้องปรุงแต่งเยอะ มันมีเสน่ห์ในแบบของมันแล้ว