See Angkor Wat and Die

See Ankor Wat and Die เป็นการจั่วหัวที่เว่อร์วัง แต่มันก็ไม่เกินจริงเลยเมื่อได้ไปเห็นด้วยตัวเอง เพราะนี่คือคำจำกัดความที่คนทั่วโลกยกย่องให้กับอังกอร์วัด หรือนครวัดอดีต 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก(ยุคใหม่) ความสวยงามที่เรียกได้ว่าสวรรค์ราวกับยกเขาพระสุเมรุมาอยู่ตรงหน้า ประวัติศาสตร์กว่า 900 ปี กับเทวสถานที่ใหญ่โตและสมบูรณ์ที่สุดที่มนุษย์เคยก่อสร้างมา …. แล้วถ้าหลายคนกลัวว่าการเที่ยวแนวประวัติศาสตร์มันจะน่าเบื่อ เหมือนชวนไปไหว้พระ 9 วัด ไม่ชิค ไม่คูลละก็ขอให้คิดใหม่ เพราะนครวัด-นครธม คือสถาปัตยกรรมที่ทั้งเท่ห์ มีมนต์ขลังชวนหลงไหล การคุมโทนสีเทา ๆ ของประติมากรรมต่าง ๆ ลองนึกว่าแกใส่เสื้อผ้าโทนเรียบ ๆ เบื้องหลังคือกำแพงอิฐ รูปสลักนูนสูงลวดลายแปลกตาสิ มันคือความฮิปของคนสมัยก่อนที่แท้ทรูจริง ๆ และทริปนี้คือเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เราได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของ CR-V คาราวานไปสัมผัสและกลับมาบอกต่อให้ฟัง

เสียมราฐ หรือชื่อท้องถิ่นว่า เสียมเรียบ (เขมร : សៀមរាប) เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศกัมพูชา ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ อยู่ริมฝั่งทะเลสาบเขมร ห่างจากกรุงพนมเปญ 314 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของนครวัดและกลุ่มปราสาทหินหลายแห่ง ที่เคยเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก(ยุคใหม่) ที่ใกล้ประเทศไทยที่สุด ความงามที่โลกต้องจารึกและมอบคำขวัญที่ว่า See Angkor Wat and Die พูดกันมาขนาดนี้ก็ต้องมาพิสูจน์กันหน่อย

6:00 น. เวลานัดหมายในเช้าวันแรก ก่อนออกเดินทางก็มีการลงทะบงลงทะเบียนกันสักหน่อยเพราะทริปนี้เราไปเป็นคาราวาน หลังจากผู้หลักผู้ใหญ่กล่าวต้อนรับพร้อมนำเสนอแผนการเที่ยวที่น่าสนใจ พวกเราก็มุ่งหน้าสู่ด่านอรัญประเทศและนี่เป็นการนั่งรถข้ามประเทศครั้งแรกของเรา มันก็เลยตื่นเต้นนิด ๆ ว่ามันจะเป็นยังไงบ้าง โดยตลอดเส้นทางเช้านี้เราไม่ได้สังเกตอะไรมากนักเพราะหลับไปหลายชั่วโมง แต่ก็นั่นล่ะที่หลับได้ลงก็เพราะเราได้มากับคาราวานของ Honda CR-V เลยไม่ต้องกังวลกับสมรรถนะของรถ แถมยังวิ่งลื่นปรี้ด ๆ ให้ได้หลับยาว ๆ กันไป สมละที่รถยนต์ Honda เป็นแบนรด์ที่คนไทยให้ความเชื่อถือและไว้ใจมาอย่างยาวนาน

หลังจากหลับสบายได้หนึ่งตื่น เหล่าคาราวาน CR-V ทั้งหมด 16 คัน ที่ประกอบไปด้วยทีมสื่อ ทีมงาน honda และลูกค้าที่ใช้งานจริง ก็เดินทางมาถึงที่ร้านอาหาร Chez Tournesol Café & Restaurant ร้านอาหารในจังหวัดสระแก้ว ที่ตกแต่งเรียบง่าย ดูมีสไตล์ กว้างขวาง และอาหารอร่อย เพื่อแวะเพิ่มพลังกายก่อนจะเดินทางข้ามประเทศไปยังจุดหมายปลายทางของเรา

หลังจากอิ่มหมีพีมันเราก็ออกเดินทางต่อจนมาถึงด่านชายแดนอรัญประเทศเพื่อที่จะข้ามประเทศไปยังเสียมราฐ ซึ่งด่านนี้ต้องบอกเลยว่ามีความครึกครื้นเป็นอย่างมาก เพราะมีทั้งชาวไทยมารอเข้าเขมร ชาวเขมรมารอเข้าเมืองไทย ตลอดจนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอีกมากมายที่หลั่งไหลกันมาจากทั่วทุกสารทิศ

และเนื่องจากการเอารถข้ามประเทศเค้าอนุญาตให้มีแค่คนขับเท่านั้นที่สามารถอยู่ในรถได้ ส่วนผู้ติดตามทั้งหมดก็ต้องเดินผ่าน ตม. ตามปกติ ทำให้ช่วงที่เราข้ามจากฝั่งไทยเราได้เห็นการใช้ชีวิตของคนที่นี่ เห็นตึกรามบ้านช่องที่มีความเจริญกว่าที่คิดไว้ เห็นว่าผู้คนที่นี่ยังคงยิ้มง่าย ยิ้มเก่ง และดูเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวเหมือน ๆ กับบ้านเรา ยิ่งทำให้เรารู้สึกสบายใจในการมาเที่ยวเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ก็ยังไม่ทันได้ดูอะไรมากมายนักคาราวาน CR-V ก็มาจอดเรียงแถวรับพวกเราขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าสู่เสียมราฐ

นาฬิกาบอกเวลาสี่โมงเย็นพอดิบพอดีเมื่อเรามาถึงเสียมราฐ เป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรของการเดินทางข้ามประเทศด้วยรถยนต์ ซึ่งกว่าจะมาถึงรถแล่นผ่านถนนมาหลายรูปแบบตั้งแต่กรุงเทพมหานครจนมาถึงเมืองที่ตั้งอดีต 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ทั้งราดยาง ทางฝุ่น ทางเลี้ยวคดเคี้ยว Honda CR-V ก็เอาอยู่แบบสบาย ๆ พาพวกเราเหล่าคาราวานมาถึงด้วยความปลอยภัย และเมื่อมาถึงเสียมราฐสิ่งที่นักท่องเที่ยวพึงกระทำเป็นสิ่งแรก ๆ ก็คือการมุ่งหน้าไปยังจุดขายตั๋วเพื่อทำบัตรสำหรับเข้าเยี่ยมชมอาณาจักรเขมรโบราณ

สำหรับราคาเข้าชม นครวัด-นครธม จะมีให้เลือกด้วยกันสามแบบ คือ แบบหนึ่งวันราคา 37 USD, สามวันราคา 62 USD และเจ็ดวันราคา 72 USD ของเราซื้อแบบสามวันเพราะมีแพลนจะเข้าไปชมนครวัด นครธม ทั้งหมดสองวันด้วยกัน คือเย็นวันนี้ และพรุ่งนี้อีกหนึ่งวันเต็ม ขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากแค่จิ้มเลือกแพคเกจพี่พอใจพร้อมกับยื่นหน้าสวย ๆ หล่อ ๆ ให้เค้าถ่ายรูปรอสักพักก็จะได้บัตรประจำตัวสำหรับเข้าไปเที่ยวมาเป็นของตัวเอง สิ่งที่ควรรู้สำหรับคนที่จะมาเที่ยววันเดย์ทริปที่นครวัดนครธมคือต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าหนึ่งวัน จะได้ไม่พลาดการเข้าชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด ส่วนใครที่ยังคงตกตะลึงกับราคาเพราะคิดว่าแพงจัง เราบอกตรงนี้เลยว่าเมื่อได้เข้าไปชมจริง ๆ แล้วจะรู้เลยว่าราคานี้คือคุ้มที่จะจ่ายเพื่อบำรุงรักษาสิ่งมหัศจรรย์ของโลกให้คนรุ่นหลังได้มีโอกาสได้เห็นแบบเรา

เย็นวันนี้เราอุ่นเครื่องกันเบา ๆ ที่ 1 ชั่วโมง กับการเยี่ยมชมนครวัดหรืออังกอร์วัด สิ่งปลูกสร้างทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างในปี พ.ศ.1650 ในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เป็นการจำลองเขาพระสุเมรุหรือเมืองสวรรค์มาไว้บนโลกมนุษย์ตามความเชื่อของฮินดูซึ่งที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิษณุ นครวัดใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และเป็นที่เก็บอัฐิของชนชั้นสูงของเขมร ตามความเชื่อของชาวเขมรตอนนั้นคือเจ้าเป็นเทพที่มาจุติพอเจ้าเสียชีวิตจึงกลับกลายเป็นเทพอีกครั้ง ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิครุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏในธงชาติ ที่นี่เป็นจุดท่องเที่ยวหลักของประเทศ ตลอดจนได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ นครวัด-นครธม

นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก นครวัด เป็นศาสนสถานตั้งอยู่ในเมืองพระนคร จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เริ่มสร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยเป็นศาสนสถานประจำพระนครของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จ

ภายใต้ความใหญ่โตของนครวัดนั้นเต็มไปด้วยความละเอียด สวยงาม และปราณีต ของลวดลายการแกะสลักหิน เราเชื่อแล้วว่าที่นี่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีตั้งแต่สร้างแล้วเสร็จ รูปสลักหินสีเทานูนสูงที่เล่าเรื่องราวความเชื่อตั้งแต่สมัยอดีตกาลเมื่อ 900 กว่าปีที่ผ่านมา แม้ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานขนาดนี้ แต่ความงามไม่ได้ลดลงไปเลย แม้แต่ลายระเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของการแกะสลักก็ยังทำได้อย่างปราณีตบรรจง เชื่อแล้วว่านี่คือการจำลองเมืองสวรรค์มาไว้ยังโลกมนุษย์ที่แท้จริง

ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลาลับขอบฟ้า แสงสีทองเข้าแทนที่สีฟ้าอ่อน ฉาบทับไล่เรียงตั้งแต่ยอดประสาทจนถึงพื้นดิน ความงามที่ทำให้เราไม่อาจละสายตา ยิ่งพระอาทิตย์อ่อนแรงความขลังของที่นี่ยิ่งมีมากขึ้น เราใช้เวลาอยู่ที่นี่จนเกือบปิดเพื่อให้คุ้มค่ามากที่สุด ก่อนจะกลับโรงแรมมาด้วยความประทับใจ และรอคอยให้การเดินทางพรุ่งนี้มาถึงแบบไวไว

สำหรับที่พักหนึ่งคืนในเสียมราฐเราเลือกพักกันที่ Sokha Siem Reap Resort & Convention Center โรงแรมระดับห้าดาว ที่ใหญ่มาก กว้างมาก และมีหลายอาคาร แม้ว่าจะอยู่ห่างจากเมืองสักหน่อย แต่สงบเงียบ บริการดี  มีห้องสปา อ่างน้ำวน และห่างจากสนามบิน 27 นาที ที่นี่เน้นการตกแต่งด้วยโทนสีอ่อน ๆ ดูธรรมชาติ ให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง สบายตา และแต่ละตึกสูงเพียงสี่ชั้นเท่านั้น ซึ่งก็ทำให้เราถึงกับงงว่าเอ๊ะ ทำไมเค้าสร้างเตี้ยจัง แต่ด้วยความเป็นคนชอบหาความรู้จึงได้ความมาว่าสิ่งปลูกสร้างที่นี้ไม่ควรสร้างสูงเทียบเท่าหรือสูงกว่านครวัดนั่นเอง

ดูจากรูปได้เลยว่าห้องใหญ่โตโอฬารนอนสบายมาก วิ่งเล่นไล่จับกันเพลิน ๆ ยังได้ (ก็เว่อร์ไป) แต่คือดีมาก เตียงนิ่ม น้ำอุ่น ทีวี แอร์ ตู้เย็น คือครบครันระดับสากลแน่นอน

อย่างที่เกริ่นไว้แต่แรกว่า โรงแรมที่นี่ใหญ่โตมโหฬารก็เลยมีห้องอาหาร ห้องจัดเลี้ยงรองรับ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทุกสไตล์ และคืนนี้หนึ่งในห้องอาหารก็ถูกจัดเตรียมขึ้นเพื่อรองรับคาราวานพวกเรา ทั้งทานอาหารบุฟเฟ่ ไปพร้อมพร้อมกับเล่นเกมส์แจกของรางวัลที่ทาง Honda จัดมาให้ สลับกับชมรำโชว์ศิลปะชั้นสูงนางอัปษร ถือเป็นฉากปิดวันแรกได้สวยงามและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เริ่มทริปวันใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม เพราะเป็นการเริ่มแบบยังไม่มีแสงจากท้องฟ้า อันนี้แบบตื่นเช้ากว่าทุกทริปที่เคยผ่านมาของเราสุด ๆ คาราวานของเราเคลื่อนตัวออกจากโรงแรมเวลาตีห้า เพื่อไปจับจองพื้นที่รอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด เช้าอันมืดมิดไม่ได้น่ากลัวหรือวังเวงเลยมันเต็มไปด้วยความครึกครื้นจากนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมารอดูสิ่งเดียวกันและพิสูจน์คำว่า “See Angkor Wat and Die” เรานั่งรออยู่เบื้องหน้าของนครวัด อากาศกำลังเย็นสบาย แม้ผู้คนจะมากมายดูคึกคักแต่ไม่ครึกโครม เพราะทุกคนกำลังเฝ้ารอการมาของดวงอาทิตย์ และเมื่อแสงสีทองอ่อน ๆ เริ่มปรากฎเป็นเส้นบาง ๆ จนขับไล่นความมืดให้ออกไป ภาพนครวัดที่มืดมิดก็ฉายแสงอีกครั้ง พร้อมกับเงาสะท้อนที่ตกลงบนพื้นน้ำ เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นจากทั่วทุกมุม พร้อมกับความคิดที่ว่า “โอเค ตายได้” แต่ไม่ตายดีกว่าเพราะเราต้องเดินทางตามหาสถานที่ ๆ ต้องดูก่อนตายให้ได้มากกว่านี้

หลังจากซึมซับบรรยากาศตรงหน้าจนเต็มอิ่มก็ถึงเวลากลับโรงแรมเพื่ออาบน้ำทานมื้อเช้า ก่อนจะออกมาเริ่มวันใหม่แบบจริงจังกับนครธม อยากบอกว่านี่คือเช้าที่สวยงามมากที่สุดอีกวันหนึ่งในชีวิตของเรา มันเป็นความงดงามที่แตกต่างจากที่ ๆ เราเคยไป มันไม่ได้สวยงามตามธรรมชาติแบบท้องทะเลหรือภูเขา แต่มันคือความสวยงามที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ความสวยงามที่ทำให้คนที่ได้เห็นถึงกับเอ่ยออกมาได้ว่า “ตายตาหลับแล้ว” คือความสวยงามที่โลกต้องจารึกจริง ๆ

นครธม หรืออังกอร์ธม คือชื่อเรียกบริเวณทั้งหมดของที่นี่ อังกอร์ แปลว่า เมืองพระนคร เพราะที่นี่เต็มไปด้วยปราสาทน้อยใหญ่มากมายที่สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และรัชทายาท นครธม เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์ สถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร พวกเราเร่ิมต้นด้วยการแวะเก็บภาพจุดแรกกันที่ประตูทางเข้านครธม บอกเลยแค่ประตูทางเข้าเราก็ถ่ายไปซะหลายชอตและเพราะที่นี่รายละเอียดมีมากมายให้เราตามเก็บซะเหลือเกิน แถมยังสวยงามสมบูรณ์อีกด้วย

เนื่องด้วยปราสาทบายนเป็นหนึ่งในจำนวนหลายปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดในนครธมเลยทำให้คนไทยบางส่วนมักชอบเข้าใจผิดว่านครธมกับปราสาทบายนคืออันเดียวกันแต่ความเป็นจริงแล้วปราสาทบายนเป็นแค่หนึ่งในแลนด์มาร์คของนครธมต่างหาก และปราสาทบายนก็ปราสาทแรกที่เราจะเข้าไปชม ซึ่งก่อนที่เข้าไปชมปราสาทบายนทาง Honda เค้าได้ทำเซอไพรโดยการเชิญอาจารย์เผาทอง ทองเจือ มาเป็นผู้บรรยายให้ความรู้แก่เราในวันนี้ด้วย

ปราสาทบายนเป็นปราสาทหลวงประจำรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่นับว่าเป็นการปฏิวัติรูปแบบของการสร้างปราสาทที่มีภาพลักษณ์ต่างจากการสร้างรูปแบบเดิม ๆโดยสิ้นเชิง เป็นเพราะทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนานิกายมหายานซึ่งแตกต่างจากกษัตริย์องค์ก่อน ๆ ที่นับถือศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหณ์ที่สืบทอดมากว่า 415 ปี ปราสาทบายนถูกสร้างโดยการนำหินมาวางซ้อน ๆ กันขึ้นเป็นรูปร่าง และเอกลักษณ์ที่ทำให้เรารู้ได้ทันที่ว่าเข้าสู่ปราสาทบายนแล้วก็คือความรู้สึกเหมือนถูกจับจ้อง มองดูตลอดเวลาไม่ว่าจะเคลื่อนไปทางใดก็ตาม นั่นก็เพราะภายในปราสาทบายนเต็มไปด้วยรูปสลักหน้าคนทั่วทุกสารทิศ  มียอดเยอะถึง 54 ยอด 216 หน้าเลยทีเดียว เป็นทั้งความสวย ความขลัง ที่ทั้งชวนให้มองและหลบตาในคราวเดียวกันเสียจริง ๆ

ปราสาทบายนจัดได้ว่าเป็นพุทธศาสนสถานโดยแท้ ซึ่งแตกต่างจากปราสาทอื่น ๆ ที่สร้างก่อนพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เรียกว่าเทวลัย แม้ว่าจะมีการก่อสร้างคล้ายกับนครวัดแต่ถ้าเทียบกันแล้วความละเอียด ประณีตในการสร้าง และการแกะสลักหินก็ยังน้อยกว่านครวัดอยู่มาก แต่เอาเข้าจริงที่นี่ก็มีมนต์ขลังไม่แพ้นครวัดเลยทีเดียว

จุดเด่นของปราสาทบายนที่ต่างจากปราสาทอื่นนอกจาก ใบหน้าหลายร้อยหน้าที่อยู่บนตัวปราสาทแล้ว ถ้าลองแหงนหน้าไล่ดูภาพจากใบหน้าไล่ไปถึงยอดปราสาทก็จะสังเกตได้ว่าทุกยอดปราสาทมีรูปร่างคล้ายดอกบัวด้วย ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าสถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นพร้อมกับการความศรัทธาของคนที่นี่ที่เปลี่ยนผันจากการนับถือศาสนาฮินดูมานับถือพระพุทธศาสนาแทน

หลังจากเต็มอิ่มพาร์ทแรกของประวัติศาสตร์ในช่วงเช้า เที่ยงนี้เรามาฝากท้องกันที่ร้าน Khmer Wooden House Restaurant ร้านอาหารท้องถิ่นที่ดัดแปลงเอาบ้านไม้ยกสูงมาเติมสีใหม่ ปลูกต้นไม้สีเขียวแซม ๆ ให้ตัดกับตัวบ้าน ภายในตกแต่งให้มีกลิ่นไอความเป็นแคมโบเดีย ซึ่งการกินอาหารท้องถิ่นในร้านท้องถิ่นเป็นสิ่งที่ควรจะทำมาก ๆ สำหรับทุกการเดินทาง เพราะมันทำให้เราสัมผัสได้ว่านี่เป็นการมาถึงถิ่นจริง ๆ ในอีกระดับนึงแล้ว

อาหารที่ขายก็จะเป็นเมนูเขมรประยุกต์ซึ่งหน้าตาอาหารไม่ได้ผิดแปลกไปจากบ้านเราเท่าไหร่นัก เพียงแต่รสชาติอาจแซ่บไม่เท่า แต่เขามีกระเทียมกับพริกมาให้กินแกล้มเพิ่มความจัดจ้าน ณ จุดนี้ไม่ต้องห่วง สี่เมนูหลักบนโต๊ะก็จะมีปลาสามรสที่หวานนำโดด หมูกระเทียมอันนี้ดีกระเทียมหอมมาก อีกจานเป็นหมูย่างรสชาติมีความใกล้เคียงบ้านเราสุด ส่วนน้ำน้ำจะเป็นแกงเขียวหวานก็ไม่ใช่แกงป่าก็ไม่เชิงแต่อร่อยแบบแปลกใหม่ดี ได้ซดน้ำแกงร้อน ๆ แล้วโล่งคอ อาหารโดยรวมจัดว่าโอเคเลย กินได้ กินง่าย กินสบาย

จบคาวก็ต่อที่ผลไม้ของหวานล้างปาก ซึ่งเมนูขนมหวานห่อใบตองจานนี้ทำมาจากแป้งสาลีนิ่มนิ่มหอมหอมห่อไส้ถั่วเหลืองผัดหมูก้อนกลมเป็นขนมที่ละมุนลิ้นมากแถมรสชาติก็ดีงามจนอยากบอกต่อคนที่กำลังจะเดินทางไปเสียมราฐว่าควรลองเจ้าขนม สะระ สะร๊อ ให้จงได้ ส่วนผลไม้ก็แทบไม่ต่างจากบ้านเรา จะมีที่แปลกตาเราสุดก็คือกล้วยเปลือกเขียว ซึ่งมันเป็นสายพันธุ์ที่เมื่อสุกแล้วเปลือกก็ยังเขียนอยู่ ตอนแรกแอบงงว่าเอากล้วดิบมาเสิร์ฟทำไม สรุปคือเงิบจ่ะ ก็จบหนึ่งมื้อกันไป อิ่มอร่อย อารมณ์อยู่ไทยเนี่ยแหล่ะแค่ออกมาต่างจังหวัดแค่นั้นเองแก๊ และถ้าใครมีแพลนไปเที่ยวเสียมราฐเร็ว ๆ นี้แนะนำเพิ่มลิสท์ร้าน Khmer Wooden House Restaurant เข้าไป

พาร์ทบ่ายวันนี้หลังจากที่หนังท้องตึง แต่หนังตาไม่ได้หย่อนเรามาเริ่มกันที่ปราสาทพระขรรค์ ที่นี่เป็นศาสนสถานที่ล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง ตัวอาคารมีลักษณะเด่นที่การก่อสร้างด้วยศิลา 2 ชั้น โดยใช้เสาหินทรายกลมขนาดใหญ่รับน้ำหนักโครงสร้างและคาน ที่บานประตูแต่ละปราสาท มีรูปสลักอสูรเป็นคู่ ๆ ยืนถือกระบองเสมือนคอยพิทักษ์ดูแลศาสนสถานแห่งนี้

แม้ว่าความเชื่อหรือความศรัทธาจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจวัดหรือประเมินออกมาได้ แต่คงใช้ไม่ได้กับที่นี่ เพราะเทวสถานที่มีมากมายและใหญ่โตทุกที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงาม และหนักแน่น เหล่านี้เป็นตัววัดได้อย่างดีถึงความศรัทธาของชาวเขมรโบราณ ยุคที่ยังไม่ได้มีเครื่องมือและเครื่องทุ่นแรงมากมายนัก ทุกอย่างเกิดขึ้นจากสองมือของมนุษย์ที่มีความเชื่อ ประกอบกันขึ้นมาจนน่าทึ่งอย่างที่เห็น

ไฮไลท์อีกอย่างที่ปราสาทพระขรรค์ก็คืออาคารโรมัน ซึ่งอยู่ถัดมาจากด้านซ้ายของโคปุระทางด้านทิศตะวันออก เป็นอาคาร 2 ชั้น ลักษณะของเสาทั้งหมดเป็นเสากลม คล้ายทรงโรมัน ความสูงของเสานี้ประมาณ 3 เมตร ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ปัจจุบันเค้ายังสันนิษฐานไม่ได้ว่าอาคารแห่งนี้ถูกสร้างมาเพื่อจุดประสงค์ใด 

ปิดฉากทริปวันนี้เราไปอีกหนึ่งปราสาทสำคัญที่สวยงามอีกแห่งในนครทม นั่นก็คือพีระมิดปราสาทบาปวน ปราสาทที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นปราสาทที่สวยที่สุดในกลุ่มปราสาทนครวัด ต้นแบบของศิลปะแบบบาปวน ซึ่งลักษณะเด่นของศิลปะสมัยนี้ได้แก่ภาพสลักเล่าเรื่องทำเป็นช่องเล็ก ๆ ต่อเนื่องกันลงมาในแนวดิ่ง ปราสาทเป็นทรงพีระมิด มีฐานเป็นชั้น ๆ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ลักษณะของตัวปราสาทประธานมียอดเรียวแหลม ถ้าหากใครเคยไปปราสาทพนมรุ้งเมื่อมาที่นี่จะสังเกตได้ว่ามีความคล้ายคลึงกันมาก นั่นก็เพราะว่าศิลปะเขมรเป็นต้นแบบของปราสาทในประเทศไทยหลายแห่งด้วยกัน

จุดเด่นของที่นี่อีกอย่างหนึ่งคือเราสามารถขึ้นบันไดไปนั่งรับลมเย็น ๆ ชมความงามของปราสาทและทิวทัศน์โดยรอบได้แบบชิว ๆ เลยล่ะ ซึ่งบอกได้เลยว่า ณ จุด ๆ นี้คือฟินส์มาก อินมากกกกก ยิ่งได้รู้ประวัติ ได้เดินสำรวจด้วยตัวเอง ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนร่วมเดินทางถึงความรู้สึกของแต่ละคน ความชอบ ความประทับใจต่าง ๆ ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเสียมราฐ เมืองที่ใกล้ไทยขนาดนี้ทำไมเราปล่อยผ่านบินข้ามไปมา วกไปทางโน้นออกไปทางนี้ไม่เคยหันกลับมามองนานขนาดนี้  ทั้งที่จริง ๆ เรามีของดีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านของเรานี้เอง

เสียมราฐรอบนี้เป็นอีกหนึ่งทริปการเดินทางด้วยรถยนต์ข้ามประเทศครั้งแรกที่เราประทับใจมาก เจอเรื่องตื่นเต้นตั้งแต่ก่อนออกเดินทางจนเมื่อได้เดินทางมาถึงก็ไม่มีเรื่องไหนที่ผิดหวังเลย มันเป็นการเดินทางที่สนุกและสุขใจมากที่สุดทริปหนึ่ง เราได้แลกเปลี่ยนรอยยิ้ม ความคิดเห็น และมุมมองต่าง ๆ กับเพื่อนร่วมเดินทาง ได้เห็นแววตาของหลาย ๆ คนที่ได้มาเยือนที่แห่งนี้ ต้องขอบคุณ Honda จริง ๆ ที่ดูแลเราเป็นอย่างดี มีกิจกรรมให้ร่วมสนุก จริงจริงแล้วทริปนี้ไม่ได้จบแค่เสียมราฐนะแก ลูกค้าของ CR-V ยังได้เดินทางต่อไปที่ลาวใต้ก่อนจะกลับเข้าไทยทางอุบลราชธานีด้วย แม้ว่าเราจะได้เดินทางร่วมกันแค่สองวันหนึ่งคืนเป็นเวลาสั้น ๆ แต่ก็เป็นเวลาสั้น ๆ ที่เกินคุ้มจริง ๆ

See Angkor Wat and Die เป็นคำนิยามของทีนี่ที่ไม่ได้เกินจากความจริงเลย เราเชื่อว่าที่นี่ไม่เคยทำให้คนที่มาเยือนต้องผิดหวังกลับไปอย่างแน่นอน นครวัด นครธม ความใหญ่โตที่เหมือนสร้างภูเขาขึ้นมาด้วยสองมือเปล่า ความศรัทธาของมนุษย์ที่ทำให้คนทั้งโลกตกตะลึง และมอบสิ่งมหัศจรรย์ไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง นี่คือประวัติศาตร์อันยิ่งใหญ่ ที่ละเอียดและสมบูรณ์ที่สุด ที่สำคัญอย่าลืมว่ามันอยู่ใกล้ประเทศของเรามากที่สุด อย่าพลาดเด็ดขาดที่จะไปเยี่ยมชมอดีต 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วยตัวแกเอง