Itineary of to Nagoya, Japan.

มีคนถามเราเยอะมากว่าไปญี่ปุ่นบ่อยๆ ไม่เบื่อหรอ เราก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วตอบกลับไปว่า เวลาไปหาคนที่ตัวเองตกหลุมรักอ่ะ เคยเบื่อกันบ้างรึเปล่า สำหรับเราญี่ปุ่นเปรียบเสมือนหญิงสาวนัยต์ตาใสซื่อ แต่เด็ดเดี่ยว แข็งแกร่ง มีหลายมุมให้น่าค้นหา ดูต่างกับรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ ด้วยความน่าค้นหาอันชวนฝันนี้เอง ที่ทำให้เราอยากจะกลับไปสำรวจญี่ปุ่นให้ทั่วทุกซอกทุกมุม อยากรู้จักมุมที่แตกต่างไปจากที่เคยรู้เคยเห็นในครั้งก่อนๆ และทริปนี้เราจึงเลือกที่จะไปสองจังหวัดที่ไม่คุ้นหูคนไทยรวมถึงเราด้วย นั่นคือจังหวัดไอชิและจังหวัดชิซุโอะกะ

Flitgh :

สำหรับทริปนี้ก็จะต่างไปจากทริปญี่ปุ่นครั้งก่อนๆ ตั้งแต่เริ่ม คือเราเลือกเดินทางกับสายการบินประจำชาติญี่ปุ่นที่มีความเก่าแก่และมีเส้นทางการบินครอบคลุมกว่า 125 เมืองทั่วโลก “เจแปนแอร์ไลน์” สายการบินแบบฟลูเซอร์วิสที่นักท่องเที่ยวที่จะมาญี่ปุ่นนิยมกันเป็นอย่างมาก เพราะความดีงามอันแสนจะคุ้มค่าเงินและการบริการแบบญี่ปุ่นๆ ที่ทำให้ทุกคนเชื่อถือ ยอมรับ และมักจะนึกถึงเป็นเจ้าแรกๆ

เราบินไฟล์ท JL738 กรุงเทพ (BKK) → นาโกย่า (NGO) ซึ่งออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ เวลา 00:55 AM ถึง Nagoya เวลา 8:15 AM สำหรับคนที่ซื้อตั๋วที่สามารถเข้าเลาจ์ของสายการบินได้ เราแนะนำให้รีบมาเช็คอินแล้วเข้าไปนั่งชิลล์ๆ เพราะเลาจ์ของ Japan Airline ดีมาก เหมือนหลุดเข้าไปญี่ปุ่นตั้งแต่ยังไม่ได้เหยียบญี่ปุ่น เงียบสงบ สะอาดสะอ้าน มีที่นั่งหลายแบบให้เลือกแล้วแต่ความสะดวก โต๊ะนั่งด้วยกันแบบครอบครัวก็มี โต๊ะเดี่ยวสำหรับแยกนั่งทำงานก็เลิศ แถมมีเครื่องดื่มและอาหารให้เลือกทานอีกเพียบ โดยเมนูส่วนใหญ่จะเน้นไปที่อาหารญี่ปุ่น ซึ่งเมนูเดอะเบสที่ต้องห้ามพลาดก็คือแกงกระหรี่เนื้อ รับลองว่านั่งรอนานแค่ไหนก็ไม่มีเบื่อ นั่งเพลินๆ ไม่ต้องกังวลว่าเครื่องจะออกหรือไม่ออกยัง ไม่ต้องชะโงกมองเวลา เพราะเมื่อถึงเวลาบินก็จะมีเสียงสวยๆ ประกาศให้เราไปขึ้นเครื่อง

ไฟลต์นี้บินด้วยเครื่อง Boeing 787-8 หรือชื่อเล่นว่า ”Dreamliner” เครื่องลำใหญ่ระยะห่างที่นั่งในชั้นประหยัดก็ถือว่ากว้างและนั่งสบายมาก ทุกคนสามารถเหยียดแข็งเหยียดขาได้ไม่อึดอัด แถมมีจอส่วนตัวไว้ดูหนังฟังเพลงบันเทิงกันไป ส่วนชั้นธุรกิจก็คงไม่สืบสบายกว่านั่งเล่นโซฟาที่บ้านเสียอีก ด้านการบริการโดยภาพรวมคือสมชื่อสายการบินแห่งชาติของญี่ปุ่นและความฟูลเซอร์วิสแบบไม่มีที่ติ โดยเฉพาะความน่ารักของแอร์ที่ทำให้เราแอบเขิล เพราะทุกครั้งที่หันไปสบตา นางก็จะยิ้มตอบกลับมาทุกครั้ง หรือถามไถ่ว่าอยากได้อะไรมั้ย มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า ส่วนในแง่ของอาหารเครื่องดื่มก็ดีงาม ครบครัน แถมแต่ละเมนูก็รังสรรค์โดยเซฟชื่อดังที่เค้าคัดมาแล้วทั้งนั้น

ความสบายและความอิ่มท้องก็ทำให้เราเคลิ้มหลับไปแบบไม่รู้สึกตัว สะดุ้งตื่นมาอีกทีแสงสีส้มจากพระอาทิตย์ก็ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาปลุกให้ตื่นขึ้นแบบแสบตานิดๆ ข้อดีของไฟลท์นี้คือการที่เราเดินทางถึงญี่ปุ่นกันตั้งแต่เช้า ทำให้เราสามารถเริ่มแผนการท่องเที่ยวได้ตั้งแต่ออกจากสนามบินกันเลยทีเดียว

Lunch at Kanzanji onsen Hotel Kokonoe

ทริปนี้เราไม่ได้เริ่มต้นจากการเที่ยวเมืองนาโกย่าแต่อย่างใด เพราะหลังจากเครื่องแลนดิ้งที่ Chubu Centrair International Airport Nagoya เราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองฮะมะมะสึ ซึ่งเป็นเมืองทางตะวันตกของจังหวัดชิซุโอะกะ จากสนามบินเดินทางมาถึงที่นี่ราวๆ เที่ยง ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งแรกที่ควรทำมันก็คงหนีไม่พ้นเรื่องกิน เราเลือกมาทานมื้อเที่ยงกันที่คังซังจิออนเซน (Kanzanji Onsen) รีสอร์ทน้ำพุร้อนชื่อดังที่ตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบฮามานาโกะ ( Lake Hamana ) ห้องอาหารแห่งนี้เปิดต้อนรับทั้งแขกที่เข้าพักและนักท่องเที่ยวที่ต้องการแวะทานอาหารอย่าวเดียว โต๊ะ เก้าอี้แบบญี่ปุ่นในโทนสีเรียบๆ ยิ่งขับวิวทะเลสาบตรงหน้าให้ดูสดใสมากขึ้นกว่าเดิม ระหว่างเราและทะเลสาปจึงมีเพียงแค่กระจกใสบางๆ ที่กั้นตรงกลางเท่านั้น

นอกจากความงามแล้วสิ่งที่ทำให้ทะเลสาปฮะมะนะโด่งดังก็คือ ปลาไหลที่เติบโต ณ ที่แห่งนี้ มันกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจนขยายสู่การทำฟาร์มปลาไหล และส่งให้ชื่อของปลาไหลยี่ห้อของทะเลสาปฮะมะนะมีชื่อเสียงอย่างมากในญี่ปุ่น แค่ประวัติยังอลังการชวนหิวขนาดนี้ มีหรือที่เราจะพลาดกับเซทเมนูข้าวหน้าปลาไหลของทางโรงแรม หลังจากนั่งชมวิวและดมกลิ่นปลาไหลจากโต๊ะอื่นได้ไม่นาน ข้าวหน้าปลาไหลชิ้นโตอวบอ้วนก็ถูกเสิร์ฟมาในกล่องข้าวแบบญี่ปุ่น พร้อมกับผักดองสำหรับเสริมรส ซุปใสเพิ่มความสดชื่น และโยเกิร์ตผลไม้เนื้อนุ่ม พร้อมชาเขียวร้อนรสเข้มที่ส่งควันฉุย ไม่รอช้าเรารีบราดซอสข้นๆ สีน้ำตาลเข้มลงบนปลาไหล ก่อนใช้ตะเกียบคีบข้าวพร้อมๆ กับปลาที่ราดน้ำซอสไว้อย่างชุ่มฉ่ำ แล้ววววอ้ามมมมมม เป็นครั้งที่ร้อยกับอาหารญี่ปุ่นที่มีสายรุ้งพุ่งออกจากปากเรา รสชาติแสนเข้มข้นทำให้ทุกอณูเรารับรู้รสชาติแบบเต็มปากเต็มคำ ไม่มีคำไหนจะบอกได้อีกแล้วนอกจาก มันอร่อยมากเว่อร์

Hamamatsu Flower Park

อิ่มหนำสำราญบานตะไททั้งหัวใจและหุ่นอันอวบอั๋นกันไปละ ก็ได้เวลาหาที่เดินย่อยเพื่อไม่ให้ผิดต่อไขมันในร่างกาย เรามุ่งหน้าจากห้องอาหารของโรงแรมไปยังสวนดอกไม้ฮะมะมะสึ ริมทะเลสาปฮะมะนะในเมืองฮะมะมะสึ สวนดอกไม้ที่ขึ้นชื่อว่างดงามติดอันดับโลก ภมรน้อยน่ารักอย่างเราเมื่อได้ยินก็อยากสยายปีกบินเข้าหาทุ่งดอกไม้ โดยตามปกติแล้วช่วงที่สวยสุดของสวนแห่งนี้คือเดือนเมษายน เพราะอยู่ในช่วงเวลาที่ดอกซากุระและดอกทิวลิปกำลังแข่งกันบานสะพรั่งภายในงาน “Lake Hamana Flower Festa” งานที่ซากุระกว่า 1300 ต้น ดอกทิวลิป 500,000ต้น และดอกไอริสนับล้านกำลังชูช่ออวดโฉมให้ทุกคนในงานได้ตื่นตะลึง

แม้ว่าเราจะไม่ได้ไปในช่วงที่ตรงกับเทศกาล แต่โลกก็ไม่ได้โหดร้ายกับเรามากเกินไปนัก เพราะที่นี่สามารถเที่ยวชมดอกไม้พันธุ์ต่างๆ ได้ทั้งปี อย่างของเราก็เป็นช่วงที่ดอกบ๊วยกำลังออกดอกสีชมพูหวานชวนฝัน และดอกทิวลิปสีสันสดใส นอกจากสวนดอกไม้แล้วที่นี่ยังมีโดมแสดงพันธุ์ไม้ตามโซนเขตต่างๆ เช่น เขตร้อนมีตะบองเพชร คล้ายๆ สวนพฤกษศาสตร์บ้านเราที่ทำเป็นโดมๆ สีขาว โซนแสดงอีเว้นท์ต่างๆ ดังนั้นไม่ว่าจะมาช่วงไหนก็ไม่ผิดหวังแน่นอน

นอกจากดอกไม้แล้วในโดมก็ยังมีร้านกาแฟน่ารักๆ ขายขนมนมเนย ไอศกรีม อยู่ด้านในเล็กๆ หนึ่งร้าน จำไว้นะว่า แม้ว่าเราจะเลือกเกิดในทุ่งลาเวนเดอร์ไม่ได้ แต่เราก็เลือกกินขนมในทุ่งดอกไม้ได้ ถึงแม้เราจะไม่ได้มาข่วงที่พีคที่สุดแต่เราก็ไม่รู้สีกเสียดายเลยแม้แต่นิดเดียว ความกลมกล่อมลงตัวก็ยังมีให้เราเห็นทุกหนแห่ง และนั่นยิ่งทำให้เราประทับใจจนสัญญาได้เลยว่าเราจะกลับมาอีกในช่วงฤดูใบไม้ผลิแน่นอน

Ropeway at Kanzanji

ความสวยงามยังไม่จบลง เราเดินทางต่อมายังจุดขึ้นกระเช้าไฟฟ้าหนึ่งเดียวที่จะพาเราข้ามทะเลสาปฮามานาโคะของญี่ปุ่นขึ้นไปสู่ยอดเขาโอคุซายามะ กับระยะทาง 723 เมตร ที่ใช้เวลาประมาณ 4 นาที โดยกระเช้าค่อยๆ พาเราไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ภาพทะเลสาปที่ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนมากขึ้นทำให้เราตื่นเต้นไปกับยอดคลื่นเล็กๆ ที่พริ้วไหวตามแรงลม และต้นไม้เขียวขจีที่รายล้อมรอบทะเลสาป ธรรมชาติสร้างความสุขให้กับเราได้เสมอ มันช่างเป็น 4 นาทีที่แสนสวยงาม พอเราก้าวลงจากกระเช้า เสียงดนตรีที่ล่องลอยมาตามลมก็ลอยมาคล้ายกำลังทักทายผู้มาเยือน เพราะบนยอดเขาแห่งนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี ที่มีการจัดแสดงกล่องดนตรีระดับโลก แม้ว่าท้องฟ้าจะไม่สด สายน้ำสีไม่มรกตดังที่มันเคยเป็น (วันที่เราไปมีความครึ้มฝน) แต่สายลมเย็นๆ และเสียงดนตรีอันไพเราะก็ทำให้เราประทับใจที่นี่ได้เช่นกัน

Hamanako Cruise

หลังจากที่ทำได้แค่มองผ่านกระจกใสบางๆ ตลอดมื้อกลางวัน และล่องลอยเหนือทะเลสาปบนกระเช้าลอยฟ้า คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะได้ใกล้ชิดกับทะเลสาปฮามานาโกะแบบถึงเนื้อถึงตัวมากยิ่งขึ้น ทะเลสาปฮามานาโกะคือทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดชิสึโอกะ แต่เดิมน้ำในทะเลสาบแห่งนี้เป็นน้ำจืด แต่ด้วยผลพวงจากแผ่นดินไหวในปี 1498 เลยทำให้ที่นี่กลายเป็นน้ำเค็ม นอกจากทัศนียภาพชวนฝันจนอยากปลูกบ้านสร้างเรือนหอ และอากาศที่แสนดีงามชวนหลับตาลง บนเรือลำนี้ยังมีอีกหนึ่งกิจกรรมให้ทำ นั่นคือการให้อาหารนกนางนวล โดยเมื่อนกนางนวลเห็นเรือลอยล่องมาก็เสมือนเป็นสัญยานอาหารว่าง ทำให้ฝูงบินนกนางนวลแทบทั้งทะเลสาปแปรขบวนจัดแถวเข้าขนาบรอบข้างเรือ โฉบไปโฉบมาตลอดเส้นทางทั้งเพลินทั้งตกใจปนๆ กันไป

และทั้งหมดนี่ก็คือหนึ่งวันที่ครบทั้งบนบก ในน้ำ และเหนือฟ้า ณ เมืองที่ไม่เป็นที่คุ้นหูของคนไทยมากนักอย่างเต็มอิ่ม ทั้งอาหารการกินที่ชวนน้ำลายสอ ทั้งอาหารตาที่สวยงาม และอาหารใจกับความสุขที่เอ่อล้น ถ้านี่เป็นฉากจบของหนังเรื่องหนึ่ง มันก็คงเป็นหนังแนวชวนฝันให้คนดูเคลิบเคลิ้มตั้งแต่ต้นจนจบแบบไม่มีจุดหักมุม แต่ก็ชวนให้เฝ้าติดตามภาคสองต่ออย่างใจจดใจจ่อ

Hotel Wellseason Hamanako

คืนนี้เราเลือกพักที่โฮเทล เวลซีซั่น ฮามานาโกะ โรงแรมระดับสี่ดาวที่ตั้งอยู่ในบริเวณ Kanzanji Onsen ที่ Hamanako มีออนเซ็นที่เป็นน้ำแร่ธรรมชาติให้บริการ สามารถชมความสวยงามของทะเลสาบฮามานะ รวมถึงสวนต้นไม้และวิวทิวทัศน์ที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ห้องห้องพักโทนสีอุ่นๆ เตียงนุ่มๆ สีขาว ที่ครบครันทั้งอุปกรณ์อำนวย และการบริการตามแบบฉบับชาวญี่ปุ่นให้การันตีเรื่องความน่ารัก แถมอาหารการกินก็สดใหม่พร้อมให้บริการแบบบุฟเฟ่ต์กว่า 60 ชนิด ช่วยเสริมพุงอวบๆ ให้ฟินส์ไปใหญ่

อย่างที่บอกว่าอาหารที่นี่เสริมพุงเราได้ดีทั้งมื้อเช้าและมื้อเย็นกับอาหารญี่ปุ่นแบบบุฟเฟต์ให้ได้เลือกกินจนตัวกลมโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ยกกันมาเยอะมาก เยอะสุด ทั้งปลาดิบ ปลาสุก ซูชิ ปลาไหล ปูนึ่ง เกี๊ยวซ่า เทมปุระ ของที่เราชอบล้วนมีมาให้ทานหมดจานชามก็น่ารักเหมาะกับหน้าตาคนทาน เป็นช่องเล็กๆ จิ๋วๆ เหมือนจานอาหารของเด็กเล็กๆ ค่ำนี้เราจึงขอตั้งสโลแกนให้ว่ากินอิ่มนอนอุ่นหุ่นไม่เกี่ยว ฝันดีราตรีสวัสดิ์

Unagi Pai Factory

เช้าวันใหม่สดใสซาบซ่า หลังอาบน้ำปะแป้งเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าสู่ Unagi pai factory โรงงานพายปลาไหล โรงงานพายที่ผลิดพายด้วยมือ ทีละชิ้น ละชิ้น จนสามารถผลิตพายปลาไหลที่มีรสชาติโดนใจ จำนวนกว่า 200,000 ชิ้นต่อวัน การเข้าชมที่นี่ก็ฟรีไม่เสียค่าเข้าแม้แต่เยนเดียวแถมยังได้พายมาทานเล่นฟรีๆ หนึ่งชิ้นด้วยนาจาาา น่ารักใจดีสุดๆ จุดนี้เองที่ทำให้เราค่อนข้างยกย่องชาวญี่ปุ่นในความพยายามพัฒนาสิ่งที่ตนเองมีให้มีเอกลักษณ์ และมูลค่ามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แบบไม่ใช่แนวคิดการก็อปวาง

หลังจากสนุกไปกับการชมวิธีทำขนมพายปลาไหลสุดอร่อย ดูสตอรี่ประวัติความเป็นมา ก็ถึงเวลาเดินไปนั่งพักขาที่ร้านคาเฟ่ขนมพายปลาไหล ที่มีขนมหวานหน้าตาน่าทานและแปลกใหม่ให้เลือกอยู่หลายเมนู ทั้งมิลเฟยปลาไหล ฟาร์เฟต์ปลาไหล และอีกหลายเมนูตามสไตล์ความครีเอทของชาวญี่ปุ่นเค้าล่ะ ใดใดล้วนน่ากินเราเลือกสั่งมิลเฟยปลาไหลที่ทั้งกรอบทั้งนุ่ม ทั้งหวาน และเย็นมาทานคู่กับลาเต้ร้อนๆ หนึ่งแก้ว รสชาติอร่อยแปลกใหม่สมควรแก่การลิ้มลองจ้า

ก่อนจบการเยี่ยมชมของทุกสถานที่ตามธรรมเนียมของญี่ปุ่นก็คือตรงทางออกจะต้องมีมุมล่อสตางค์เหมือนกันทุกแห่งหนตำบลไป ขนมพายปลาไหลทั้งแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ๆ ถูกจัดวางในแพคเกจจิ้มลิ้มน่ารัก ทั้งกล่องเล็กกล่องใหญ่ก็มีให้เลือกกันแบบพรึบพรับ และคนขวัญอ่อนอย่างเรามีหรือจะพลาดเพราะก่อนออกจากบ้านพ่อกับแม่ได้กล่าวไว้ ของฝากด้วยเด้อ 555

Lunch at Matsuya

มื้อเที่ยงของเราในวันนี้เราเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นสูงสองชั้น ที่มีคนเข้าออกแบบพลุกพล่านชวนให้เดินตาม นั่นก็คือ Matsuri ร้านที่เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงยาวนานกว่า 80 ปี ภายในร้านมีทั้งโซนนั่งรวมแบบร้านอาหารทั่วไปและโซนส่วนตัวเป็นห้องๆ แบบที่เราเห็นบ่อยๆ ในหนังไว้จัดเลี้ยงหรือรองรับแขกที่มากันหลายคน เราเลือกนั่งแบบห้องส่วนตัวและสั่งอาหารมากินกันคนละเซ็ต เป็นเบนโตะที่มีจานหลักคล้ายๆ ชาบู 1 จาน และจานย่อยๆ สำหรับเครื่องเคียงอีกสี่อย่าง ทั้งกุ้งเทมปุระที่กรอบและไม่อมน้ำมัน เต้าหู้ห่อข้าวที่เกือบทำเราอิ่มก่อนทานจานหลัก ผักดองรวมช่วยตัดเลี่ยน และเส้นอุด้งเหนียวนุ่มสำหรับทานคู่กับชาบูร้อนๆ รสเข้มข้น

ทานมื้อเที่ยงกันจนอิ่มท้องพวกเราก็ออกมาเดินเล่นยืดแข้งยืดขาชมเมืองกันแบบชิวๆ ที่นี่ค่อนข้างจะเงียบสงบ แม้จะมีร้านรวงอยู่มากมาย สิ่งที่เราสังเกตเห็นคือพ่อค้าแม่ขายในแถบนี้โดยมากจะเป็นผู้สูงอายุวัยเกษียณเกือบทั้งนั้น ทำให้เรารู้สึกว่าคนญี่ปุ่นไม่ว่าวัยไหนมักจะไม่ชอบอยู่เฉยๆ ต้องหาอะไรทำเท่าที่พอจะทำได้ อย่างน้อยก็ไม่ร้องเบื่ออยู่บ้านเฉยๆ และยังทำให้ยังภูมิใจกับการที่ยังหาเลี้ยงตัวเองได้อยู่ตลอดอีกด้วย รู้สึกดีจริงมากเลยกับภาพตรงหน้า

Toyokawa Inari

เดินสอดส่องอยู่ไม่กี่ก้าวเราก็มาถึงหน้าประตูทางเข้าศาลเจ้าโทโยกาวะอินาริ ศาลเจ้าที่มีทั้งวัดพุทธนิกายเซน และศาลเจ้าชินโต หนึ่งในสามเสาหลักของศาลเจ้าโทโยกาวะ อินาริ ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อสรรเสริญเทพเจ้าจิ้งจอก เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ทั้งทางด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และความสำเร็จทางโลก

ศาลเจ้าแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นในปี 1441 ตามความเชื่อที่ว่าเทพเจ้าผู้ขี่จิ้งจองสีขาวนามว่าโทโยกาวะ ดะกินิชินเท็นหรือรู้จักกันในนามเมียวกอาเป็นเทพเจ้าที่คอยบันดาลความสำเร็จทั้งทางด้านการงานและสงคราม ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้มีผู้คนหลั่งไหลมาอยู่เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปีใหม่ที่จะมีการจัดเทศกาลสำคัญถึง 3 งาน ได้แก่ เทศกาลตรุษจีน เทศกาลโคมไฟ และเทศกาลประจำฤดูใบไม้ร่วง

หลังจากยืนอ่านประวัติของศาลเจ้าเราก็เข้าไปนมัสการขอพร ก่อนจะเดินชมรอบๆ ตามบันไดที่พาเราผ่านศาลตัวเจ้าเมียวเก็น ที่มีต้นไม้ขึ้นอย่างเรียงรายพร้อมๆ กระดาษสีขาวแผ่นยักษ์ที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงมีทั้งคำสาบานและคำขอพรต่อท่านเทพเจ้า และเมื่อเดินลึกเข้าไปจะพบรูปปั้นหินของสุนักจิ้งจอกมีผ้าสีแดงผูกอยู่รอบคอนับร้อยตัวตามความเชื่อที่ว่า จิ้งจองเหล่านี้จะเป็นผู้ส่งสาส์นไปยังเทพเจ้า ไม่รอช้าเราพนมมือตั้งอกตั้งใจบอกจิ้งจอกไปดังๆ (ในใจ) ว่า ลูกช้างขอแค่สามตัวทั้งตรงทั้งโต๊ดเพื่อถอนทุนจากค่าทริปเท่านั้นเอ๊งงงง

Lego land

ออกจากคำภาวนาแล้วมุ่งหน้ามาต่อกันที่ความฝัน ของเล่นวัยเยาว์ที่เด็กทั่วโลกรวมถึงผู้ใหญ่หลายๆ คนหลงไหลได้ปลื้มกับเสน่ห์ของๆ เล่นชิ้นเล็กๆ ที่ไม่เคยจำกัดจินตนาการ เรายืนอยู่หน้าตึกหลากสีสันที่ตกแต่งด้วยเลโก้ชิ้นใหญ่ยักษ์ สวนสนุกแห่งเมืองนาโกย่าที่สร้างขึ้นโดยแบรนด์ตัวต่อยอดฮิต นาม LEGO Land ที่จะพาเราโลดแล่นจนสุดเหวี่ยงและสดใส สายสวนสนุกไปโตเกียวห้ามพลาด Tokyo Disney Land ไปโอซาก้าห้ามพลาด Universal Studio ฉันใด มาที่นาโกย่าก็ย่อมพลาดสวนสนุก LEGO land ฉันนั้น สวนสนุกหน้าใหม่ในวงการญี่ปุ่น สวนสนุกที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเมษายนปีที่แล้ว แต่ความเก๊าเกมส์ในแง่ประสบการณ์ต่อเติมความฝันนั้นเรียกว่ากรำศึกมาหลายสนาม แม้ในยุคที่ของเล่นอิเล็กทรอนิกส์แทบจะทำลายของเล่นที่มีอยู่จริง แต่เราก็เชื่อว่าสวนสนุกแห่งนี้จะเป็นสวนสนุกที่ทำให้ทุกคนต้องตื่นเต้นไปกับเครื่องเล่นนานาชนิด

ด้วยชื่อเลโก้แลนด์ ดินแดนแห่งเลโก้ก็บอกได้แล้วว่าจำนวนเลโก้ที่นี่ย่อมไม่ธรรมดา และมันก็เยอะมากจริงๆ เพราะมีถึง 17 ล้านตัว!!!! โดยเจ้า 17 ล้านตัวเหล่านี้ถูกแบ่งไปตกแต่งสวนสนุกที่มีถึง 7 ธีม รวมทั้งในเครื่องเล่น ร้านค้า และร้านขายของที่ระลึกที่มีเลโก้แบบต่างๆ ให้ได้ซื้อมาต่อกันเพลินๆ อีกหลายแบบหลายสไตล์เลยล่ะ ด้วยความฤกษ์งามยามดี ฟ้าใสเป็นใจเหลือเกิน เราจึงจะพาทุกคนไปชมบางธีมของสวนสนุกแห่งนี้กัน เพราะถ้าพาชมครบเราคงต้องเล่ากันยาวจนพวกแกต้องอ่านกันจนเนตหมดเลยล่ะ จะมีโซนไหนบ้าง เชิญตามดูได้เลยจ้าาา

ธีมไพเรตหรือโซนชายหาดโจรสลัด : ที่จะทำให้ทุกคนหลุดเข้าไปอยู่ในช่วงเวลาแห่งการต่อสู่อันดุเดือดกลางสายน้ำอันดุดัน ถ้าใครอยากเปียก อยากยิงปืนโซนนี้ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงเพราะมันคือการสร้างชายหาดและเรือโจรสลัดจากเลโก้ชิ้นเล็กๆ

ธีมมินิแลนด์ : เลโก้นั้นขึ้นชื่อเรื่องความจิ๋วอยู่แล้ว ยิ่งในโซนนี้ยิ่งย้ำชัดกับความจิ๋วแจ๋วนั้นได้อย่างดี เพราะเค้านำเลโก้มาต่อจำลองเป็นจุดสำคัญต่างๆ ของญี่ปุ่นได้เหมือนจริงจนต้องร้องว๊าวววววว เราจึงได้เห็นภูเขาไฟฟูจิสูงตระหง่านเคียงข้างโตเกียวทาวเวอร์ และสามารถเดินเล่นรอบสถานที่สำคัญๆ ของญี่ปุ่นได้ในเวลาไม่กี่อึดใจ

 

นอกจากความละเอียดของสถานที่ต่างๆ แล้ว มินิแลนด์แดนเลโก้เค้ายังใส่ความมีชีวิตชีวาเสมือนของจริงเข้าไปอีก ด้วยการเพิ่มปุ่มกดที่คอยควบคุมส่วนต่างๆ ในมินิแลนด์ด้วยตัวเราเองอีกด้วย เช่น ปุ่มบังคับรถไฟ บังคับคนพายเรือ ให้พายเข้าพายออก เรียกได้ว่ามินิแค่ชื่อเท่านั้น ส่วนที่เหลือคือเลิศ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เลยได้แต่ยืนอมยิ้มตาค้างชี้นู่นชี้นี่กันแบบออกรส

และนี่เป็นเพียงแค่สองธีมที่เรานำเสนอ ยังมีที่น่าใสใจอีกหลายธีมไม่ว่าจะเป็น Factory, Bricktopia, Adventure, Knight’s Kingdom และธีม LEGO City ที่นอนรอให้ทุกคนไปเยือนด้วยตัวและเห็นด้วยตากันเอง แล้วพวกแกจะรู้ว่าฝันทั้งๆ ที่ตื่นอยู่มันเป็นยังไง อ้อตรงทางออกก็อย่างเคยนะ เค้ามีร้านของฝาก ของสะสมเกี่ยวกับเลโก้ให้พวกแกได้ล้มละลายกันแบบง่ายๆ เพราะฉะนั้นระวังจุดนี้ไว้ให้ดีล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าเราไม่เตือน

Prince Hotel

เคยมั้ยที่เวลานั่งเครื่องบินเรามักจะชอบถ่ายรูปเก็บความสวยงามบนเครื่องระหว่างที่เรากำลังเคลื่อนผ่านก้อนเมฆและวิวมุมสูงชวนสะกดใจ มาคราวนี้เราจะได้พักผ่อนในห้องนอนที่มีคอนเซปว่า “เรือที่ล่องลอยอยู่กลางท้องฟ้า” ณ Prince Hotel โรงแรมแห่งเดียวในนาโกย่าที่สามารถมองวิวท้องฟ้าแห่งเมืองนาโกย่า ที่ความสูง 170 เมตรเหนือพื้นดิน ซึ่งตัวโรงแรมตั้งอยู่บนตึก Global Gate ตั้งแต่ชั้นที่ 31-36 โดยการจำลองชั้นที่ 1 เป็นจุดลำเรียงผู้โดยสารไปยังชั้นที่ 31 และชั้นที่ 32-36 เสมือนเคบิน ที่ผู้โดยสารจะมีห้องส่วนตัวพร้อมกับวิวที่กว้างไร้สิ่งกีดขวาง นอกจากห้องพักและวิวสุดพิเศษ ทางโรงแรมยังมีอาหารพื้นเมืองของนาโกย่า ที่รังสรรขึ้นจากวัตถุดิบสดใหม่จากเมืองโตไค รวมถึงอาหารเลิศรสจานอื่นๆ ด้วย เพราะนี่คือโรงแรมกลางนภาที่ครบครันและควรค่าแก่การมาเยือน

ห้องพักของโรงแรมมีอยู่ด้วยกัน 4 แบบรวม 170 ห้อง คือ Sky King Room ห้องพักพื้นฐานที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเคบิน พร้อมพรั่งด้วยอุปกรณ์ต่างๆ และวิวท้องฟ้าของนาโกย่า Sky Twin Room ห้องพักสำหรับสองถึงสามคน หรือแบบห้องคอนคอนเนอร์ Deluxe Corner Room ห้องพักสุดพิเศษที่เห็นวิวอันอลังการ  และสุดท้าย Premium Corner Room ห้องพักกลางฟ้าที่คุณจะได้ครอบครองวิวเมืองนาโกย่าที่ใหญ่ที่สุด โดยเค้าเคลมว่าไม่ว่าแกจะพักห้องไหน มุมไหน ก็จะมีวิวส่วนตั๊วส่วนตัวที่ทั้งสูงทั้งโรแมนติคเสมือนอยู่ในเคบินตลอดเวลาแน่นอน

ส่วนเราพักห้อง Sky King Room ที่แม้ว่าจะเป็นห้องแบบพื้นฐานสุดของที่นี่ แต่เมื่ออยู่ห้องนี้ก็ได้แต่ถามตัวเองว่ามีตรงไหนที่พื้นฐานบ้างเพราะทุกตารางเมตรในห้องนี้ล้วนพิเศษสุดๆ โดยเฉพาะวิวของนาโกย่าที่เรามองผ่านหน้าต่างบานยาวสองบานที่ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังลอยละล่องกลางท้องฟ้า ยิ่งยามที่เมฆไหลผ่าน และเวลาที่ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสีไป ทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังเดินทางกลางลำนำแห่งนภาไม่มีผิด เรานั่งจิบกาแฟในยามเช้าที่แดดทอแสงอ่อนๆและเปลี่ยนมาเป็นเบียร์ในยามค่ำที่ดาวทอประกาย โดยมีหนังสือคู่ใจอยู่ในมือ ช่างเป็นเวลาที่เราอยากให้ไหลผ่านอย่างช้าๆ เป็นที่สุด

Port of Nagoya Public Aquarium

เช้าวันนี้เราเริ่มกันที่ Nagoya Aquarium หนึ่งในพิพิธภัณฑ์สัตวน้ำที่ดีและใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น บ้านของเจ้าออก้าวาฬเพชรฆาตแห่งท้องทะเล รวมถึงเจ้าโลมาแสนเป็นมิตร สองสัตว์ทะเลที่ได้รับเสียงกรี้ดถล่มทลายจากทั้งเด็กและผู้ใหญ่อย่างไม่ขาดสาย ตลอดจนเหล่าสัตว์น้ำอื่นๆ ในน่านน้ำญี่ปุ่นอีกมากมาย โดยอควอเลี่ยมแห่งนี้ได้ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ตึกทิศเหนือและตึกทิศใต้ โดยตึกทิศเหนือจะเป็นตึกที่มีสระน้ำแบบเอ้าท์ดอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ให้ทุกๆ คนได้ชมโชว์ต่างๆ รวมถึงเรียนรู้ชีวิตสัตว์น้ำผ่านส่วนการแสดงในตึกนี้ ส่วนตึกทิศใต้จะประกอบด้วยโซนต่างๆ 5 โซน ที่จัดแสดงเกี่ยวกับสัตว์ทะเลของญี่ปุ่น, ปะการัง, ทะเลน้ำลึก, เต่าทะเล ฯลฯ

ไฮไลท์หลักๆ ที่เราปลื้มมากของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้คือโชว์น่ารักๆ ที่มีให้ชมแทบจะตลอดเวลา ถ้าไม่อยากพลาดแนะนำว่าให้เช็คได้จากทางเข้าก่อนนาจา ส่วนโชว์ทีเด็ดแบบพริกยกสวนและได้รับเสียงกรี้ดจนแทบผลิตกระแสไฟฟ้าได้ก็หนีไม่พ้น โชว์ของเจ้าออก้าปลาวาฬเพชรฆาตที่ชื่อน่ากลัวแต่ทำตัวน่ารักสองแม่ลูกสีขาวดำที่ทำเอาใจเราละลายกองกับพื้นจนหมดดวง แต่ก็ต้องรีบหลอมขึ้นมาใหม่เพื่อไปดูโชว์ปลาโลมาจอมอ้อนแห่งท้องทะเล แล้วก็ต้องเสียหัวใจไปอีกดวงก่อนรีบเอาคืนเพื่อไปดูการแสดงและสัตว์น้ำอื่นๆ ที่แสนน่ารักน่าเรียนรู้กันต่อ

หมดเวลาไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว รู้สึกอีกทีก็คิดว่าเราใช้หัวใจเปลืองไปรึเปล่านะ แต่ไม่หรอกเพราะเราเชื่อว่าทั้งเด็กและคนแก่ที่ได้ย่างกายย้ายใจมาที่นี่ต่างก็ต้องตกหลุมรักกันเป็นแถวๆ เพราะมันคือโลกใบเล็กๆ ที่ถ้าอยู่ข้างนอกคงยากจะสัมผัสถึง แต่วันนี้ที่นี่เค้าได้ยกพลขึ้นบกมาตั้งไว้ขโมยหัวใจเราแบบง่ายๆ แค่นี้ เพราะงั้นถ้าพวกแกพลาดแกก็จะพลาดนะจ๊ะ

Urakuen

สถานที่ต่อไปเราจะพาย้อนเวลาไปยังญี่ปุ่นเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่จังหวัด Mie ณ ที่ Urakuen สวนสไตล์ญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ใน Inuyama ฝั่งตะวันออกของปราสาทอินุยามะ ถูกสร้างขึในปี 1618 ที่เกียวโต ก่อนย้ายมายัง Urakuen ในปี 1972 จนถึงปัจจุ เพื่อเป็นที่ประกอปพิธีชงชาที่มักจะจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี

นอกจากจะได้เดินดูสวนสไตล์ญี่ปุ่นพร้อมกับฟังประวัติความเป็นมาเพลินเพลินแล้ว ที่นี่ยังมีการสอนวิธีชงชาสไตล์ญี่ปุ่นอย่างแท้ทรู ตั้งแต่ขั้นตอนการจับถ้วยชา การเช็ดขอบถ้วยชาหลังกินเสร็จด้วยนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง การหมุนถ้วยชาเพื่ออิ่มเอมกับลวดลายในถ้วย ก่อนที่เราจะเริ่มลองดื่มชาตามประเพณีของชาวญี่ปุ่นเค้าจะมีการเสิร์ฟขนมหวานชิ้นเล็กๆ รสชาติก็จะหวานๆ นุ่มๆ มาให้ทานก่อนคนละหนึ่งชิ้น จากนั้นค่อยยกชาเขียวหอมหอมดื่มตามเข้าไป ถือว่าลงตัวสุด

Inuyama castle

เดินเลยจากส่วนที่เรียนชงชามาตามทางอีกนิดขึ้นบันไดตามเนินเขาอีกหน่อย ก็จะเจอปราสาททรงญี่ปุ่นโบราณสูงใหญ่ตั้งอยู่ประจันหน้ากับเรา ซึ่ง Inuyama castle แห่งนี้เป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น และยังคงสภาพเดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์ จนถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 4 ของปราสาทที่ถูกกำหนดให้เป็นสมบัติชาติ โดยถูกสร้างขึ้นในปี 1537 ตัวปราสาทมีโครงสร้างทำจากไม้และหิน ตั้งเด่นสง่าอยู่ติดแม่น้ำ Kiso

หลังจากที่เราก้าวขึ้นผ่านบันไดสูงสี่ชั้นที่ด้านบนสุดของปราสาทเราจะเห็นวิวแม่น้ำไคโซ แม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลขนาบข้างปราสาท เมื่อมองไปอีกทางก็จะเห็นเป็นวิวเมืองและภูเขาเป็นมุมที่เสริมความสง่าของตัวปราสาทได้อย่างดี ยิ่งถ้าใครได้มีโอากาสมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิก็รับรองได้เลยว่าความงามจะเพิ่มจากที่เราเห็นอีกหลายเท่าตัว เพราะตัวปราสาทจะถูกล้อมรอบด้วยดอกซากุระสีชมพูชวนฟรุ้งฟริ้ง

Honmachi Street

ออกจากปราสาทได้ก็ถึงเวลาที่เราต้องหาทางพาตัวเองกลับไปที่สถานีรถไฟเมย์เท็ทสึ อินุยะมะ ซึ่งทางเดินจากปราสาทไปยังสถานีรถไฟจะมีย่านการค้าโบราณที่ตั้งอยู่บนถนนฮงมะจิ เป็นย่านการค้าที่ถูกจัดทำให้คล้ายกับย่านโบราณในสมัยเอโดะ มีร้านอาหาร ร้านของฝาก และร้านขายของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยวได้ช้อปกันแบบกรุบกริบหอมปากหอมคอ อาคารบ้านเรือนที่ทั่งเก่า เก๋า และเก๋ บนถนนเส้นนี้ก็ชวนให้หยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพได้เพลินๆ เลยทีเดียว

Illumination Lighting

งานประดับไฟสุดยิ่งใหญ่อลังการดาวสองล้านดวง ภายในสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า Nabana no sato สวนดอกไม้ของ Nagashima Resort ในจังหวัดมิเอะ เค้าจะเอาไฟนับล้านๆ ดวงมาประดับตกแต่งเป็นภูเขาบ้าง เป็นแม่น้ำบ้าง เป็นบ้านบ้าง แถมในปีนี้เค้ายังนำเจ้าคุมะมง หมีดำสุดฮอตของญี่ปุ่นมาเป็นตัวหลักในการจัดงานอีกด้วย โดยงานนี้จะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้วลากยาวไปจนถึงพฤษภาคมปีนี้เลย งานเริ่มเวลา 9.00-21.00 สำหรับวันธรรมดา ส่วนวันหยุดจะปิด 22.00 เอาละวางแผนกันให้ดีๆ นาจาาาเพราะงานนี้บอกได้เลยว่าไม่ควรพลาด

 

นอกจากความตื่นตาตื่นใจแล้ว โซนที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือ Tunnel of Light ที่นำไฟรูปดอกไม้มาประดับเป็นอุโมงค์ทางยาวกว่า 200 เมตร จุดนี้บอกเลยว่าชวนฝันสุด อะไรสุด เพราะมันจะทำให้แกรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในปากทางเข้าสวรรค์(แต่ไม่ได้กำลังจะตาย) เหมือนเห็นแสงสว่างตั้งแต่ทางเข้าอุโมงค์ เหมือนเป็นเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรฝันหวาน คือมันชวนกรี้ดมากกกก ปังมาก แล้วมันดีย์มากกกกกก ดี๊ดีอ่ะแกร

หลุดจากอุโมงค์สวรรค์เราก็จะพับกบ เย้ย พบกับ เจ้าคุมะมง มง มง สุดกวนที่จะพาเราโลดแล่นไปกับเรื่องราวการผจญภัยของเจ้าหมีดำ ที่ฉากสามารถเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ อี๊ก โอ้โหทำเราอึ้งในความน่ารักและความไฮเทคม๊ากมาก และแม้ว่าเนื้อเรื่องจะเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ความยาโยอิ ขี้เหร่เนะ ของคุมะมงก็ทำให้เราสามารถใช้จินตนาการอันบรรเจิดคิดเรื่องจากภาพได้อย่างชัดเจนและสนุกสนาน

เช้าวันต่อมาสดใสซาบซ่า น่ารัก สงบนิ่งชิวๆ ตามประสาของวันจะกลับ หากนี่คือความฝันมันคงช่วงเวลาที่กำลังจะตื่นจากฝันหวานๆ ที่เต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลาสามวันสามคืน วันนี้เราจึงตื่นมาเก็บข้าวเก็บของแล้วมานั่งไขว่ห้างกลางห้องห้องอาหารแบบเคบินของโรงแรม Prince Hotel ในบรรยากาศสวยสุดชิลล์ อะไรก็ดีงามจนอยากจะเก็บใส่กระเป๋ากลับบ้านไปด้วย แต่ก็คงทำได้แค่กดชัตเตอร์และเก็บความสุขแพ็คลงในใจของเราเท่านั้น ก่อนจะย้ายร่างอันสดใสไปยังสนามบินพร้อมกล่าวคำว่า I say good byeeeeee

ก่อนจะลากกระเป๋ากลับบ้าน ขึ้นเครื่องด้วยสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ สายการบินแห่งชาติของญี่ปุ่น ที่ทำให้ประทับใจตั้งแต่ต้นยันจบจนอยากมอบมงให้กับญี่ปุ่นเป็นรอบที่สองร้อยเจ็ดสิบห้า

และเมื่อถึงเวลาต้องกล่าวลาบนหน้าต่างเครื่องบินที่กำลังทะยานสู่ฟากฟ้า เรายังคงเอี้ยวตัวมอง เพราะญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่ทำให้เราตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า มากี่ทีกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ และญี่ปุ่น 4 วัน 3 คืน ในมุมมองที่แปลกใหม่กับสองเมืองใหม่ เป็นอีกมุมมองที่เราได้เห็นญี่ปุ่น มุมอันเงียบสงบกลางเขาและทะเลสาบ มุมแห่งแสงสีอันตระการตา มุมแห่งความสนุกกับเมืองในฝัน มุมที่ทำใฟ้เราเสมือนลอยละล่องอยู่กลางนภา จะมุมไหนเราก็รักแล้วพวกแกล่ะ หลงรักญี่ปุ่นมากขึ้นบ้างมั้ย เราว่าถึงเวลาแล้วล่ะ ที่แกจะออกเดินทางไปร่วมเชยชมดินแดนอาทิตย์อุทัย ที่ขโมยใจนักเดินทางจากทั่วโลกอย่างญี่ปุ่นละล่ะ