ผืนฟ้าตรงข้ามกับแดนดิน มหาสมุทรตรงข้ามกับภิภพ เขียวตรงข้ามกับแดง ตะวันตกตรงข้ามกับตะวันออก สิ่งตรงข้ามกันต้องขัดแย้งกันจริงหรอ แล้วถ้ามันเกิดเข้ากันขึ้นมาหล่ะ วันนี้ผู้ชายไทยหน้าตี๋จะพาไปเดินเล่นแบบดูดีลอดเสาโรมันในแดนดินถิ่นมังกร ชิมเป็ดปักกิ่งใกล้หอไอเฟล นั่งเรือกอนโดร่าล่องเวนิช อ่านมาถึงตรงนี้อย่าเพิ่งเอามือทาบอก เลิกคิ้ว ทำหน้าตกใจ ยกหูโทรหาโรงพยาบาลว่าแอดมินเพจนี้สมองกลับหมดแล้ว เพราะนี่คือเรื่องจริง ณ มาเก๊า เมืองที่ดูผ่านๆ ก็เหมือนจะขัดแย้งกันและยังงงๆ ในสายตาของใครๆ เสมือนอาตี๋น้อยตาไม้ขีดไฟในพระราชวังฝรั่งเศสที่ชวนให้รู้สึกพิศวง แต่เมื่อได้มาสัมผัสเราบอกแกได้คำเดียวว่ามังกรตาน้ำข้าวที่แสนจะสง่าผ่าเผยแห่งนี้ มันดีมากจริงๆ

มาเก๊า อดีตเมืองท่าทางตอนใต้ของเมืองกวางเจา ณ ปากแม่น้ำจูเจียงหรือแม่น้ำไข่มุกที่ไหลผ่านฮ่องกง หนึ่งในเส้นทางสายไหมที่สำคัญที่มุ่งหน้าสู่กรุงโรม แบ่งเป็น 3 เกาะ คือ มาเก๊า โคโลอาน และไทปา ความหลากหลายของที่นี่ทำให้ผู้คนใช้ 3 ภาษาเป็นหลัก คือ จีน โปรตุเกส และอังกฤษ ส่วนเงินสามารถใช้ได้ทั้งเงินฮ่องกงและมาเก๊า การมาก็แสนง่ายดาย วีซ่าก็ไม่ต้องขอ อาหารการกินก็หลากหลาย อากาศก็ดี๊ดีค่อนข้างอบอุ่นอยู่ที่ประมาน 20-26 องศาตลอดทั้งปี ฤดูใบไม้ร่วงคือช่วง ตุลาคม – ธันวาคม ฤดูหนาวคือช่วง มกราคม – มีนาคม ฤดูฝนจะเริ่มตั้งแต่เมษาที่มีความชื้นมากขึ้น ส่วนเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายนสภาพอากาศจะเริ่มร้อน ชื้น และฝนตกชุก ชอบหน้าไหนก็เลือกเอานาจาาาาา

Wong Chi Kei

หลังจากเก็บของเช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อยมาเก๊าทริปก็ได้เริ่มต้นขึ้น แน่นอนว่าทุกกองทัพต้องเดินด้วยท้องกองทัพของเราก็เช่นกัน มื้อแรกของเราคือร้านอาหารที่ลิสมาตั้งแต่บ้านนั่นก็คือร้าน Wong Chi Kei ร้านบะหมี่เกี๊ยวและเนื้อตุ๋นที่โด่งดังระดับตำนานของมาเก๊า ที่เปิดครั้งแรกในมณฑลกวางตุ้งตั้งแต่ปี 1946 และดังเปรี้ยงปร้างมาตั้งแต่บัดนั้น จึงขยายสาขามาที่มาเก๊าในปี 1959 ณ ย่าน Senado Square และปัจจุบันขยายไปถึง 4 สาขากันเลยจ้าาาา

เมนูที่ร้านมีหลากหลายให้เลือกกันจนตาลายแต่ที่ขอยกนิ้วโป้งชูขึ้นแนะนำเลยก็คือเมนูบะหมี่เกี๊ยวกุ้ง เราคีบเส้นบะหมี่ที่นอนแน่นิ่งเชิญชวนอยู่ในชามเข้าปาก แล้วค่อยๆ ซู๊ดรวบเส้นบะหมี่เล็กๆ ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของทางร้าน ตักเกี๊ยวกุ้งชิ้นโตให้พอดีคำพร้อมน้ำซุปร้อนๆตามเข้าไป… ถ้าเป็นการ์ตูนตอนนี้ฉากหลังของเราคงมีกุ้งกับเส้นหมี่เล็กๆ ยืนเต้นระบำ พร้อมกับสายรุ้งที่พุ่งออกจากปาก นี่สินะพลังของอาหารระดับตำนาน คือแกร๊ มันอร่อยม๊ากกกกก มันลงตั๊ว มันดี๊ และอีกหนึ่งจานที่ถูกเสริฟมาเคียงข้างกัน เกี๊ยวทอดที่ทรงโค้งๆ คล้ายๆ เกี๊ยวปลา เกี๊ยวแป้งบางสีเหลืองนวลชวนกินจานนี้เชื่อว่าเซฟที่ทอดต้องมีฝีมืออย่างมาก เพราะมันไม่อมน้ำมันและไม่เลี่ยนเลย กร๊วบบบบบ เสียงที่เรากัดเข้าไปคำแรก และหลังจากนั้นตลอดมื้อ ก็มีเสียง กร๊วบบบบบแบบนี้ตามมาอีกแบบนับครั้งไม่ถ้วน คงไม่ต้องบอกใช่มั้ยว่ามันอร่อยรึเปล่า

Senado Square

เนื่องจากร้านบะหมี่ในตำนานที่แถวยาวราวเปิดปีละครั้งดังกล่าวตั้งอยู่ในย่าน Senado Square หลังจากอิ่มท้องเราก็มาเดินทอดน่องกันต่อที่ย่านจตุรัสใจกลางเมืองของมาเก๊า จตุรัสที่ได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลกในปี 2005 มีพื้นที่ทั้งหมด 3,700 ตารางเมตร และเป็น 1 ใน 4 จตุรัสที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของมาเก๊า รายล้อมไปด้วยตึกทรงยุโรปหลากสีสันและร้านค้าสิ่งละอันพันละน้อยรวมถึงถนนสายสำคัญๆ อีกหลายสายที่เชื่อมโยงไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายของมาเก๊า

St. Dominic’s Church

เดินทอดน่องเอาหน้ารับลมหนาวบนพื้นกระเบื้องโมเสกที่ได้รับการออกแบบจากศิลปินชาวโปรตุเกสตามทางมาเรื่อยๆ เราก็มายืนประจัญหน้ากับโบสถ์แบบบาร๊อคสีเหลืองสูงใหญ่เท่ากับตึกหลายชั้น และประตูสีเขียวเข้มบานใหญ่ที่เปิดต้อนรับผู้มาเยือนตั้งแต่เวลาสิบโมงเช้าถึงหกโมงเย็น โบสถ์นี่ถูกสร้างขึ้นในปี 1587 โดยบาทหลวงชาวสเปน 3 คน ด้านหลังเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่เก็บรวบรวมงานศิลปะของศาสนา Sacred Art และนำมาจัดแสดงไว้ให้ได้ชม และในทุกๆ วันที่ 13 พฤษภาคมของทุกปี ที่โบสถ์แห่งนี้จะมีการจัดงาน Fatima’s Statue เพื่อเฉลิมฉลอมเทศกาลสำคัญและทำพิธีให้กับแม่พระฟาติมา

หลังจากยืนงงกลางดงคนในความสวยงามและอลังการอยู่ด้านนอกได้สองนาที เราก็ย้ายร่างเข้ามาภายในชั้นแรกของโบสถ์ ที่นี่ก็เหมือนโบสถ์คริสต์ทั่วไปมีที่นั่งให้คนได้เข้ามาสักการะ ขอพร รอบข้างของโบสถ์จะมีรูปปั้นนักบุญและพระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน ตรงกลางเป็นแม่พระประทับนั่งและอุ้มพระเยซูอยู่บนตัก เสาทรงโรมันสีเหลืองอ่อนๆ และแสงเทียนจากเทียนดวงเล็กๆ หลายๆ ดวงทำให้ที่นี่ดูสงบท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินเข้าออกแทบตลอดเวลา ส่วนชั้น 2 และ 3 เป็นมิวเซียมที่มีการจัดแสดงศิลปะที่เกี่ยวกับศาสนา ทั้งรูปปั้น ภาพวาดฝาผนัง อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบพิธี ฯลฯ

Ruins Of St. Paul’s

แลนด์มารค์หลักที่มามาเก๊าแล้วต้องไม่พลาดก็คือ Ruins Of St. Paul’s ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลคือด้านหน้าของโบสถ์มาแตร์เดอิที่ถูกก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1602 – ค.ศ. 1640 ที่ถูกทำลายจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในปี ค.ศ. 1835 ใช่นี่คือ “ซาก” แค่ฟังก็ทำให้เราทั้งตะลึงและทั้งเสียใจอยู่ไม่น้อย เพราะนี่คือซากที่สวยงาม ใหญ่โต อลังการที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมา เราเชื่อว่าคนที่ไม่เคยได้ไปชมของจริงที่ยุปโรปหรืออิตาลีจะต้องประทับใจแน่นอน แต่ขอบอกก่อนว่าคนเยอะมากไม่ว่าจะมาเช้าสาย บ่าย หรือเย็น ก็แน่นอนหล่ะของสวยงามขนาดนี้ใครๆ ก็ต้องอยากมาชมเป็นธรรมดา แต่เอาเถอะไม่ว่าคนจะเยอะมากแค่ไหนก็ไม่อาจกลบความสวยงามของซากประตูอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ได้แน่นอน

 

ถ้าให้เทียบความคึกคักอันแสนครื้นเครงของนักท่องเที่ยวบริเวณนี้ก็คงประมาณแยกเยาวราชของบ้านเราในช่วงหัวค่ำนั่นล่ะ ผู้คนจอแจมาจากทั่วทุกสารทิศ หลายชาติ หลากภาษาเดินกันขวักไขว่วุ่นวายกว่าที่ใดใดทั้งหมด คนเยอะร้านค้าร้านขายของฝากต่างๆ ก็ย่อมมากตามไปด้วย และร้านที่เด่นสะดุดตาเราในตอนที่หันหน้าเข้าหา Ruins Of St. Paul’s  ก็คือร้านชานมไข่มุกที่อยู่ด้านซ้ายมือของซากโบสถ์ เครื่องดื่มยอดฮิตและคุ้นเคยของชาวไทย แน่นอนว่าเราสั่งชานมไข่มุกเป็นเครื่องดื่มดับความตกใจกับการต้องเผชิญผู้คนที่มากมาย ชาเข้มๆ หวานๆ ในน้ำแข็งและไข่มุกสีดำหนึบๆ แก้วนี้ช่วยชีวิตเราไว้ได้มากจริงๆ

Love Street

เดินมาอีกนิดเราก็จะได้พบกับ Love Street แค่ได้ยินชื่อก็หวานหูมิรู้หาย ถนนสายหวานสถานที่ถ่ายพรีเว้ดดิ้งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในมาเก๊า ทั้งด้วยชื่อที่เป็นมงคลและตึกสีชมพูอ่อนๆแสนโรแมนติก ข้างกันมีโรงหนังท้องถิ่น ชื่อว่า Cinematheque-Passion สถานที่ที่รวมทุกอย่างเกี่ยวกับภาพยนตร์ มีการฉายภาพยนตร์จากทั้งในและต่างประเทศ จัดเก็บวิดีโอท้องถิ่น รวมทั้งวารสารภาพยนตร์ และบริการหนังสือเกี่ยวกับภาพยนตร์ เพราะฉะนั้นจะมาเดี่ยว มาคู่ มากลุ่ม ก็เลิฟฟฟฟได้นาจาาาา

ตรงหัวมุมถนนแสนหวานก็มีของหวานที่หวานชื่นใจ ร้านไอติมเล็กๆ สะดุดตาด้วยสีเหลืองสดใส แต่งสไตล์มินิมอล ร้านเล็กๆ ที่เน้นซื้อแล้วเดินไปกินไป ให้ฟิวแบบความรักของวัยรุ่นที่ต้องลุ้นว่ามันจะละลายเลอะมือระหว่างมัวแต่ถ่ายรูปเสียก่อน หรือจะมีโอกาสได้ละเลียความฉ่ำเย็นทีละคำๆ จากปากสู่ท้องจนหมดกันแน่

 

Monte Fort

เราเชื่อเสมอว่าในทุกทุกประเทศที่เราไปจะต้องมีที่ชมพระอาทิตย์ที่สวยงามโรแมนติกซ่อนอยู่ ที่มาเก๊าก็เช่นกัน Monte Fort ทางขึ้นจะอยู่ติดติดกับ Ruins Of St. Paul’s ที่นี่คืออดีตป้อมปราการ และตามตำราพิชัยสงครามทุกป้อมปราการคือทำเลที่ดีที่สุดในการปกป้องเมือง นั่นก็เพราะมันเป็นจุดที่เห็นทำเลได้ดีที่สุด และเมื่อวันนี้ที่ป้อมปราการยังอยู่(รวมถึงปืนด้วย)แต่มันไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่อันแสนตรึงเครียดอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้ภาระอันหนักอึ้งได้เปลี่ยนไปเป็นความโรแมนติกสุดงดงาม ฐานของป้อมปืนใหญ่เป็นทรงสี่เหลียม เมื่อเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ที่ชั้นบนสุดก็จะพบกับป้อมปืนใหญ่ เป็นลานโล่งกว้าง นอกจากได้ชมประวัติศาสตร์ต่างๆ แล้ว ที่นี่ยังมองเห็นวิวเมืองของมาเก๊าจากจุดนี้ได้อีกด้วย

และด้วยความที่อยู่สูงและเห็นวิวเมืองมาเก๊าได้แบบพาโนรามา มันก็เลยกลายเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง ทั้งตึกสูงและบ้านเรือนหลังเล็กๆ ค่อยๆ ถูกแสงของยามเย็นสาดส่อง จากสีขาวกลายเป็นสีส้ม ฝูงนกเล็กๆ ส่งเสียงร้องบอกพ่อแม่ของมันให้กลับบ้าน ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงจนเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท สายลมที่โชยเอื่อยบัดนี้ได้เพิ่มกำลังมากขึ้นกว่าเดิม เหมือนเป็นการไล่เด็กหนีเที่ยวให้รีบกลับบ้านไปหาความอบอุ่น วันแรกของเราช่างแสนโรแมนติก

Coloane village

เช้าวันที่สองของทริปหลังจากนอนเต็มอิ่ม เช้านี้เรามุ่งหน้าไปยังใต้สุดของเกาะมาเก๊ากับแลนมาร์คน่ารักที่ต้องห้ามพลาดนั่นก็คือ Coloane village หมู่บ้านเล็กๆ สีพาสเทลที่ตั้งอยู่ริมทะเล มีพื้นที่เล็กๆ น่ารักๆ เพียง 8 ตร.กม. เท่านั้น อาจจะเพราะพื้นที่เล็กๆ ตึกสึพาสเทลหวานๆ ผู้คนน่ารักๆ ร้านขนมอร่อยๆ ร้านขายของฝากที่ดูจุ๋มจิ๋ม โบถส์ที่อบอุ่น หรืออาจจะด้วยบรรยากาศริมทะเลก็ไม่แน่ใจ ทำให้ทุกอย่างที่นี่ดูน่ารัก ดูสดใส ร่าเริง เห็นและอยากจะพูดเสียงสองไปตลอดทั้งทางเพราะมันน่าร๊ากอ๊ะ

Load Stow’s Bakery

ร้านทาร์ตไข่เล็กๆ น่ารักแต่ชื่อเสียงกว้างขวางนี้ตั้งอยู่ในโคโลอาน เมนูทาร์ตไข่ของร้านทำให้เรารู้จักโคโรอานและอยากจะมาที่นี่ นาย Andrew Stow ชาวอังกฤษ เปิดร้านครั้งแรกเมื่อปี 1989  ในตอนนั้นชาวพื้นเมืองก็ยังไม่เคยชินกับขนมและอาหารตะวันตก แต่มื่อได้ลองทานทาร์ตไข่ก็รู้สึกถูกปาก จึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคนมาเก๊า ร้านจึงค่อยๆ โด่งดังและมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าปัจจุบันมีการขยายสาขาไปหลายแห่งทั้งในมาเก๊าและต่างประเทศ แต่เมื่อมาเยือนถิ่นทั้งทีจะพลาดร้านออริจนินอลไปได้อย่างไร

น่าจะเนื่องด้วยความคนเยอะทำให้ปัจจุบันเค้าเปิดร้านเล็กๆ สำหรับนั่งกินด้วยกันสองร้าน ร้านแรกชื่อ Load Stow’s Garden Cafe’ ร้านโทนสีฟ้าน่ารักๆ แต่เราก็ไม่ได้นั่ง เราเลือกนั่งอีกร้านคือ Load Stow’s Cafe’ เป็นร้านเล็กๆ มีไม่กี่โต๊ะ ด้านหน้าตกแต่งด้วยไม้โทนสีเข้มดูอบอุ่น ส่วนด้านในตกแต่งด้วยพนังสีแดงอมส้มและไฟสีเหลืองอ่อนๆ ดูอบอุ่น ร้อนแรง

ทันทีที่เปิดประตูเก้าขาเข้าร้านกลิ่นหอมๆ ของทาร์ตไข่ก็ลอยมาตีจมูก เมื่อได้ทำเลที่นั่งอันเหมาะสมทาร์ตไข่หน้าไหม้นิดๆ สามชิ้นที่ออเดอร์ด้วยความรวดเร็วก็ถูกยกมาเสริฟพร้อมกับลาเต้ร้อนฟองนมนุ่มๆ ลอยฟุ้ง หลังถ่ายรูปเสร็จสรรพเราไม่รอช้ารีบใช้ช้อนชาเล็กๆ ตักทาร์ตไข่เข้าปาก และอยากบอกอีกครั้งว่าถ้านี่เป็นการ์ตูนตอนนี้ต้องมีสายรุ้งซ้อนกันสามตัวออกมาจากปากพร้อมๆ กับตัวเราที่กำลังหมุนติ้วอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมของทาร์ตไข่ มันคือทาร์ตไข่ที่อร่อยที่สุดในชีวิตของเรา และเป็นครั้งแรกที่เราเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากใครหลายๆ คนที่บอกว่ามันคือเดอะเบสท์ มันคือเดอะเบสท์จริงๆ แก แป้งพายบางๆ กรอบๆ อยู่ล้อมรอบเสมือนผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องไส้ในสีเหลืองอันอ่อนนุ่มและหวานละมุน ละไม เราขอเตือนแกว่าอย่าพลาด!!!

Chapel of St. Francis Xavier

อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ต้องห้ามพลาดเมื่อมาที่โคโลอานก็คือ โบสถ์เซนต์ฟรานซิสซาเวียร์ ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1928 เพื่ออุทิศให้กับนักบุญชาวสเปน เซนต์ฟรานซิส ซาเวียร์ โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบบาร๊อค โบสถ์หลังเล็กๆ ที่ถูกทาด้วยสีเหลือง ตัดขอบสีขาว และประตูสีเขียว มีหอระฆังเล็กๆ อยู่บนหลังคาโบสถ์ บริเวณลานด้านหน้ามีน้ำพุและอนุสาวรีย์แห่งชัยชนะ ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวันที่สามารถต่อสู้ขับไล่เหล่าโจรสลัดออกไปจากหมู่บ้านได้ในปี 1910 ภายในเป็นที่ประกอบพิธีบูชาที่ตกแต่งแบบเรียบง่าย และอบอุ่น

Hac Sa Beach

จากโคโลอานเรานั่งบัสต่อไปที่ “หาดฮักซา” หาดทรายสีดำที่ไม่ได้ดำสนิท หาดทรายสีดำแห่งนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่ใช่ว่ามาจากความสกปรกหรืออะไร วิวของหาดทรายเล็กๆ แห่งนี้ถ้าเทียบกับบ้านเราก็ไม่ได้มีความพิเศษอะไรมากกว่านัก แต่มันพิเศษกว่าด้วยคุณสมบัติของทรายดำที่ทำให้น้ำทะเลที่นี่เป็นน้ำอุ่นและไม่มีคลื่น คนมาเก๊าจึงนิยมมาพักผ่อนกันที่หาดนี้พอสมควรทีเดียว เพราะนอกจากหาดแล้วที่นี่ยังมีสนามเด็กเล่น สนามฟุตบอล สนามบาสเกตบอล สนามเทนนิส ฯลฯ  อีกด้วย

Taipa House

บ้านหลังสีเขียวอ่อนหลังคาสีแดง ที่เรียงติดกันทั้ง 5 หลัง และด้านหน้ามีเก้าอี้นั่งรับลมชิวๆ ไว้มองวิวตึกที่สูงใหญ่ของมาเก๊าแห่งนี้ก็คือ TaiPa House ซึ่งเป็นกลุ่มบ้านที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1921 สไตล์โคโรเนียลโปรตุเกส ด้านหน้ามีสระบัวขนาดใหญ่จึงเป็นเสมือนที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับใครหลายๆ คน และสำหรับคู่รักหลายๆ คู่ที่นี่ยังเป็นสถานที่ถ่ายพรีเวดดิ้งที่สวยงามอีกด้วย

บ้านหลังต่างๆ ของที่นี่ถูกจัดให้เป็นพิพิธภัณท์ที่แสดงเกี่ยวกับบ้านของครอบครัวชาวโปรตุเกสที่เคยอาศัยอยู่ในมาเก๊าในยุคศตวรรษที่ 19 รวมถึงวิถีชีวิตต่างๆ ทั้งเสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ แต่ที่เราชอบมากที่สุดคือหลังที่จัดโชว์แกลอรี่ภาพถ่ายโทนแม่สีต่างๆ ตามสีของกำแพง ทำให้รู้สึกถึงทั้งความกลมกลืนและความโดดเด่น ยิ่งสร้างพลังให้กับเรื่องราวในภาพเหล่านั้นมากขึ้นไปอีก

Venetian

นครเวนิชแห่งเอเซียที่ซึ่งรวบรวมห้างร้าน โรงแรม ร้านอาหาร สายน้ำสายเล็กๆ และเรือกอนโดร่าสีน้ำตาลเข้มมีนายท้ายฝีมือดีคอยพายเรือถูกรายล้อมด้วยตึกสไตล์ยุโรปในโทนสีต่างๆ สุดอลัง มันคือการยกยุโรปมาไว้ในเอเซียที่ห่างจากบ้านเราสองชั่วโมงเองแกร๊ ใครขาช้อปขาแชะขาชิมก็ต้องกรีดร้อง แนะนำว่าพวกแกควรใส่เดรสขาวที่พริ้วที่สุดในตู้เพื่อมาสะบัด สะบัด โบก โบก โบก ให้พริ้วสไวราวกับโตมาในบัคกิ้งแฮม เดินเผลอๆ เหมือนสวยมาตั้งแต่ตื่นนอน แวะจิบชายามบ่ายสไตล์อังกฤษ ก่อนออกมาช้อบต่อทั้งชาแนล กุชชี่ พราด้า ฯลฯ แบบไม่ต้องแคร์ยอดเงินในบัตร เพราะของแบรน์เนมเพียบ มาที่เดียวคือครบ ฟิน

Parisian

เดินผ่านทางเชื่อมจากเวนิชมาได้ไม่ทันไร เราก็มาถึงกันที่ปารีสกับ Parisian นี่คงเป็นการเดินทางระหว่างประเทศที่เร็วที่สุดราวกับมีเวทย์มนต์ ตรงหน้าคือหอไอเฟลสัญลักษณ์ของเมืองปารีส เอาล่ะได้เวลาสะบัดเดรสสีขาวของแกอีกรอบแล้ว คราวนี้ต้องให้ดูสดใสสไตล์สาวปารีเซียงสักหน่อยรับรอบว่าได้รูปกลับมาอัพอีกหลายเดือน แน่นอนว่าที่มันอลังการขนาดนี้เพราะที่นี่คือโรงแรมและแหล่งช้อปปิ้งอีกแห่งของมาเก๊าจ้าาาา เมื่อเดินเข้าไปด้านหน้าจะเป็นโรงแรมแล้วก็มีร้านค้าให้พวกแกได้ช้อปกรุบกริบๆ แบบไม่เห็นใจรายได้ของแกเลย ถ้าอยากช้อปก็ควรมา แต่ถ้าไม่อยากช้อปก็ควรมาถ่ายรูปมาดูความอลังการว่ามันเป็นยังไง เพราะเดี๋ยวจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่องงงงงง

Chan Kong Kei

หลังจากตะลอนเที่ยวถ่ายภาพมาทั้งวัน ในที่สุดมื้อเย็นก่อนเข้าที่พักวันนี้ของเราก็มาถึงเรามาทานที่ร้านเป็ดชื่อดังของมาเก๊า Chan Kong Kei ร้านที่โด่งดังในเรื่อง เป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ ไก่ย่าง นกย่าง เป็นร้านอาหารที่โด่งดังมากกกกกกทั้งในมาเก๊าและในต่างประเทศ ร้านอยู่ไม่ไกลจาก เซนาโดสแควมากนัก เดินแปบเดียวก็ถึงและหาไม่ยากจากกูเกิ้ลด้วยนาจาาา

จัดเป็ดเน้นๆ หนึ่ง ไก่หนึ่ง แล้วผักมาแกล้มอีกหนึ่ง ทานกับข้าวสวยร้อนๆ คือดีงามสมมงเสียงลือเสียงเล่าอ้างมากเว่อร์ บอกเลยว่าปกติเราไม่ทานเป็ดเลยยยยย แต่เมื่อไหร่ไปต่างถิ่นแล้วอะไรที่เค้าว่าเด็ดเราจะลอง และพอเราได้ลองเท่านั้นแหล่ะ อื้อหือ ขุ่นพระ ดีงามพระรามแปดมากเวอร์ เป็ดไม่มีกลิ่นสาป เรากินแบบไม่รู้สึกว่าเป็นเป็ดเลย เนื้อก็นุ่มชุ่มฉำ หนังก็เคี้ยวเพลิน ผักก็ไม่เหม็นเขียว กรอบอร่อย ไก่ก็ดี ซุปก็เด็ด กินกันแบบไม่วางช้อนวางตะเกียบกันเลยทีเดียว อร่อยอิ่มท้องกลับห้องนอนหลับได้สบายตัว

Macau Fisherman’s Wharf

เช้าวันที่สุดท้ายกับอาการที่เป็นทุกทริปคือเที่ยวแล้วไม่อยากกลับบ้าน เราเริ่มต้นความสดในซ่าบซ่าวันนี้ที่ Fisherman’s Wharf ที่นี่เหมือนเป็นสถานที่ที่จำลองสถานที่ต่างๆ ของโลกเอาไว้แบบย่อส่วน สถาปัตยกรรมก็จะออกไปแนวทางโรมัน อีกทั้งยังมีจำลองพวกภูเขาไฟ โคลอสเซียม พระราชวัง โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 โซนใหญ่ ๆ คือ โซนของท่าเรือแห่งราชวงศ์ (Dynasty Wharf), โซนตะวันออกผสมผสานพบแถบตะวันตก (East Meets West), และโซนท่าเรือแห่งตำนาน (Legend Wharf) ภายในโซนต่างๆ ก็จะมีทั้งจุดถ่ายรูปเก๋ ร้านค้า และร้านอาหารมากมาย เป็นอีกที่หนึ่งที่เหมาะแกการมาถ่ายรูปอัพโปรไฟล์ใหม่ที่สุด

และนี่คือเทียเตอร์ที่ให้อารมณ์แบบสาวชาวกรีกโรมัน ผมทอง ตาฟ้า นุ่งผ้าพลีทสีขาว สวมใบมะกอก คล้องแขนมากับหนุ่มกล้ามโต ผมหยิกบรอนซ์ เพื่อมาดูการแสดงยังไงอย่างงั้น คือเดินแล้วมันเพลินมาก มันเหมือนหลุดเข้าไปที่ต่างๆ ที่เค้าจำลองมาให้จริงๆ แล้วแบบมันทำให้เรารู้สึกสนุก ตื่นเต้น ว่าเฮ้ยเดี๋ยวเราจะไปไหนกันต่อดี เราจะข้ามไปประเทศไหน ยุคไหนอีก คือมีความเลิศ

แต่ความแดดแรงคนก็จะน้อยไง คือมันก็ดีกับการถ่ายรูป เพราะมันแสนเกร๋และดูไพรเวท ที่นี่คือให้ยี่สิบดาวเต็มสิบเลยสำหรับโลเคชั่นที่แนะนำว่าควรมาถ่ายรูป แกดูแสง แกดูเงา แกดูโทนสี คือบับ เฮ้ยยยย คนจัดรู้ใช้ป่ะว่าคนยุคนี้บ้าถ่ายรูป คือดี คืออยากเปิดแชมเปญฉลองให้แล้วเอาใบมะกอกสวมหัวให้เลยอ่ะ

Lou Lim Ioc Graden

เหมือนดูซี่รี่เมกาจู่ๆ แม่ก็มากดเปลี่ยนช่องไปดูนางพญาผมขาว กำแพงจีนที่เป็นทางทะลุเข้าไปยังสวนสาธาณะนะภายใต้ร่มเงาของต้นไผ่แห่งนี้คือ Lou Lim Ioc Graden ที่นี่เป็นเหมือนแหล่งรวมของคนแก่ที่มาเดินเล่นพักผ่อนชิวๆ แม่พาลูกมาเล่นหกล้ม หกลุกกันสนุกสนาน แต่หาดูวัยรุ่นได้น้อยมากจีจี แต่เอาจริงๆ เราก็ชอบนะแก คือมีความสงบ ร่มเย็น มาเดินรำลึกอดีตของบรรพบุรุษตัวเองเล่นๆ งี้

Single Origin – pour over and espresso bar

ถัดจากสวนเขียวๆ เราเดินผ่านตึกรามบ้านช่องจนมาถึงร้านกาแฟร้านแรกของทริป ซึ่งเราตั้งใจมากว่าจะต้องมาให้ได้ นั่นก็คือร้าน Single Origin – pour over and espresso bar ร้านคาเฟ่สองชั้นเล็กๆ อยู่ริมหัวมุมถนน ตกแต่งด้วยโทนขาวดำดูดีมีดีเทลน้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ รับรองว่าโดนใจสายขุ่นแม่เกดไฮแฟชึ่นมากเว่อแน่นอน

และเพราะความโก้หรู ไฮแฟชึ่น ของจริงไม่ต้องพูดเยอะ ร้านนี้จึงค่อนข้างมีชื่อเสียงสำหรับหมู่นักท่องเที่ยวเราเห็นฝรั่งแวะเวียนมาตล๊อด คนขายนางก็เม้าท์มอยอังกฤษเก่งมาก ส่วนเมนูที่ขายก็หลากหลายนาจา แต่ใสใสวัยรุ่นชอบแบบเราเราจัดพุ้ดดิ้งมากินคู่กับกาแฟหวานๆ ขมๆ เหมือนรักของวัยกระเตาะ กินไปมองคนในร้านไปเพลินเพราะอากาศดี ขนมดี กาแฟดี และเราน่ารักดี

Wong Kun Sio Kun / 皇冠小馆

ฉีกกฏทุกการกิน ไม่มีกินคาวไม่กินหวานสันดารไพร่ คืออยากกินอะไรก็กินๆ กินไม่ได้ก็กิน ไม่รงไม่เรียงลำดับคาวหวานใดใดทั้งนั้น หลังจากจบจากกาแฟและขนมเราก็จะมากินคาวกันที่ Wong Kun Sio Kun ร้านห้องแถวระดับมิชลินไกด์ ร้านหาไม่ยากเดินไม่กี่นาทีจากเซนาโด้ สแควร์ พอมาถึงหน้าร้านก็จะรู้ทันทีรูปคนดังเซเลปแปะเต็มหน้าร้านอย่างกับร้านอัดรูปแถวเซลทรัลลาดพร้าว บรรยากาศด้านในร้านก็จะบ้านๆ สไตล์ท้องถิ่นสว่างสะอาดเรียบร้อย การบริการดี พนักงานยิ้มเก่ง เหมาะแล้วที่เป็นร้านต้อนรับนักชิมมากมายจากทั่วโลก

ด้วยความที่พุ้ดดิ้งและกาแฟยังจุดอยู่ที่คอเลยตั้งใจว่าจะสั่งแค่โจ๊กปูมาทาน แต่พอเปิดเมนูปุ๊กเห็นติดดาวให้สองเมนูแถมพนักก็ร่ายมนต์เป่าหูให้สั่ง Shrimp Roe Stir Noodles แล้วเราก็เป็นพวกยุขึ้น สรุปเลยจัดไปสองเมนูซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ผิดหวังโจ๊กที่เนื้อข้าวเนียนข้นกำลังดีหอมรสชาติกลมกล่อมชัดเจน ปูก็หวานมากๆ ส่วนอีกเมนูเส้นบะหมี่ไม้ไผ่คลุกไข่กุ้งซดกับน้ำซุปร้อนๆ รสเข้มข้นก็ลงตัวเป็นที่สุด

Terra Coffee House

ถ้าจะพรรณนาวันนี้อ่ะหรอ เราว่ามันเป็นวันที่มีความสุขราวๆ กับปิดเทอมวันแรกหลังการสอบอันแสนน่าเบื่อ วันที่เราจะทำแค่สองสิ่งคือกินและนอน ให้เจริญเพลินพุง มีความสุขกับการตะลอนกิน หลังจากเดินย่อยโจ๊กปูกะเพราะก็เหลือพื้นที่ในการเติมคาเฟอีนเข้าไปอีกสักหนึ่งแก้ว ซึ่งร้านที่เราชอบอีกร้านสำหรับทริปนี้ก็คือ Terra Coffee House ร้านขนาดไม่เล็กจนอึดอัดและไม่ใหญ่จนอ้างวาง ดูอบอุ่น ตกแต่งด้วยไม้โทนน้ำตาลอ่อน และเหล็กพ่นสีดำ ให้ฟีลผู้ชายอังกฤษ สวมแว่นตาหนาๆ ทำผมทรง wet look เนี้ยบๆ และใส่สูทสีน้ำตาลเข้ม รองเท้าหนังสีดำ ในมือถือไอโฟน12 ดูคลาสิคแต่เก๋และมีเสน่ห์หน้าหลงไหล

ที่นี่มีเมล็ดกาแฟจากที่ต่างๆ นำมาคั่วเอง ส่วนเมนูยอดนิยมที่เดี๋ยวนี้มีติดร้านกาแฟแทบจะทุกร้านเช่น Cold Brew หรือ จะเป็นกาแฟ Drip ก็มีให้เลือก แต่สายซอฟๆ น่ารักๆ แบบเราขอลาเต้กับฟองนมนุ่มๆ ขาวๆ จะเข้ากว่า ใครใคร่ไปลองก็ง่ายมากเพราะร้านอยู่ใกล้กับ Senado Square และมีในกูเกิ้ลอีกแล้วจ้าคุณผู้โชมมม

Yee Shun Milk Comany

ยังคงกินกันแบบต่อเนื่องราวกับกระเพาะมีหลุมดำติดอยู่ จากกาแฟหวยก็มาออกที่พุดดิ้งนมของร้าน Yee Shun Milk Comany (Leitaria I Son) เป็นร้านที่ออกจีนจีน สะอาดโล่ง เมนูไหนเด่นก็จะเน้นเมนูนั้นไปเลย เพื่อให้เป็นที่สุดแล้วไม่หยุดที่จะพัฒนาต่อจนตอนนี้มีสาขาทั้งหมด 5 สาขาเปิดตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืนเลยแก

พุดดิ้งนม คือ นมสดที่นำไปตุ๋นจนเซตตัวเป็นพุดดิ้งเนื้อนิ่ม เรียบเนียน ทุกคำหอมนมรสชาติเป็นเอกลักษณ์แบบโฮมเมดที่ผลิตจากนมวัวแท้ ทานพร้อมท็อปปิ้งถั่วแดง เม็ดบัว หรือแล้วแต่ความชอบ ชอบอะไรก็เลือกเอ๊า หรือจะกินเพียวๆ ก็อร่อย กินร้อนก็ได้ กินเย็นก็แซ่บ อร่อยลื่นคอสุด

A-Ma Temple

ก่อนจะกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ รร แล้วเราก็แวะไปขอพรที่วัดอาม่า วัดเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีเมืองมาเก๊าเกิดขึ้นเสียอีก จึงทำให้เป็นวัดที่มีความสำคัญอีกแห่งหนึ่ง เชื่อกันว่าที่มาของชื่อมาเก๊านั้นมาจากบริเวณวัดอาม่าแห่งนี้นี่เอง ในอดีตจะมีอ่าวที่ชื่อว่า A Ma Goa (อาม่าก๊อก) แปลว่า อ่าวของอาม่า และเพี้ยนมาเป็นชื่อ มาเก๊า ในปัจจุบัน ส่วนอีกตำนานเล่าว่ามีเด็กสาวชื่อว่า หลินโม ซึ่งเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดกว่าเด็กทั่วไปในช่วงอายุเดียวกัน สามารถหยั่งรู้ถึงความเจ็บไข้ได้ป่วย และเมื่อเธอเสียชีวิตลงบริเวณอ่าว A Ma เธอก็ยังคอยช่วยเหลือชาวประมงให้พ้นภัยอัตรายและปลอดภัย จึงกลายมาเป็นชื่อของวัดแห่งนี้

วัดอาม่าตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะมาเก๊า ภายในวัดมีจุดกราบไหว้ขอพรอยู่หลายจุด ซึ่งแต่ละจุดจะอยู่บนเนินเขาต้องเดินขึ้นไปบันไดไป โดยในแต่ละชั้นก็จะมีทั้งศาลเจ้า, ศาลา, ประตูโบราณ, สิ่งศักสิทธิ์ต่างๆ ให้เราได้ขอพร สถาปัตยกรรมเป็นแบบจีนโบราณ จึงทำให้คนนิยมเดินทางมากราบไหว้และเที่ยวชมบริเวณต่างของวัดอาม่าแห่งนี้

Happiness Street

ปิดท้ายทริปนี้เราขอพาเพื่อนเพื่อนไปซอกแซกกันที่ Happiness Street เป็นเส้นถนนที่ตั้งของโรงแรมที่เราพัก ถนนสายความสุข หรือ Happiness Street หรือ Rua da Felicidade เมื่อ 300 ปีก่อนที่นี่เคยเป็นศูนย์รวมความบันเทิงยามราตรีหรือย่านโคมแดงของชาวมาเก๊า ปัจจุบันบริเวณนี้ก็ยังเป็นย่านความสุขของชาวมาเก๊าและนักท่องเที่ยวอยู่ดี แต่เป็นคนละแบบกับ 300 ปีก่อนละนะแก๊ ที่นี่มีภัตตาคารร้านค้าร้านขายของฝากอยู่มากมาย แถมยังโดดเด่นด้วยอาคารจีนโบราณสีแดง ที่ปัจจุบันได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้เป็นถนนสายวัฒนธรรมกลางเมืองมาเก๊าอีกด้วย

ข้อมูลที่พัก : 

และก่อนจากกันทริปนี้เราขอเอาข้อมูลที่พักมาแบ่งปันกันสักเล็กน้อย ที่มาเก๊ามีพี่พักหลายหลายราคาตั้งแต่ระดับถูกๆ คุ้มค่าคุ้มราคา พักแล้วมีเงินเหลือเที่ยว ไม่ต้องผ่อนบัตรเครดิตไปอีกสิบเดือน ไปจนถึงแพงเว่อร์วังแบบที่ต้องทำเรื่องผ่อนไป 36 เดือนก็มีให้เลือก แต่สำหรับเรารอบนี้เลือกพักที่ Ole Tai Sam Un Hotel โรงแรมที่ตั้งอยู่บน Happiness Street และอยู่ห่างจากเซนาโดสแควแบบไม่เกินห้าร้อยเก้า ทำเลดีห้องพักก็สะอาดราคาก็ไม่แรงเกินเบอร์มีอาหารเช้ารวมด้วย เรียกว่าคุ้ม รวมๆ แล้วโอเครแนะนำบอกต่อได้

ห้องพักกำลังดีสำหรับสองคนไม่แคบจนต้องผลัดกันเดิน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ปลั๊กไฟไม่ต้องใช้ตัวแปลงใดๆ ทั้งสิ้นเสียบได้เลย ห้องหับก็สะอาดสะอ้านได้รับการดูแลอย่างดี มีห้องน้ำในตัว พร้อมน้ำอุ่น พักได้แบบสบายๆ สไตล์มยุรากันไป

3 วัน 2 คืนในมาเก๊า ที่เราแสนจะแฮปปี้และรู้สึกดีเฟร่อ เป็นการเดินทางต่างประเทศที่ไม่เร่งรีบจนนึกว่ามาชะโงกทัวร์ แถมเต็มอิ่มจนตัวกลม และหลากหลายในอารมณ์ราวกับได้ไปมาหลายประเทศทั่วโลกในเวลาสั้นๆ แถมตามรอยได้ง่ายๆ ไม่เหนื่อยจนมาสคาร่าเยิ้มแบบนี้ก็ขอยกความดีความชอบให้กับเจ้าอีบุ๊คที่เป็นตัวช่วยสำคัญในการหาสถานที่และวางแผนตามจุดต่างๆ ทำให้เราไม่เสียเวลาเดินย้อนไปมา หรือหลงจนออกนอกแผนการ ส่วนใครที่อยากปรับแผนจากที่เราแนะนำหรือเพิ่มนั่นตัดนี่ และอยากมีผู้ช่วยดีๆ ก็สามารถไปดาวโหลดได้ ที่นี่

ตึ๊งดึ่งงงง!! เสียงเทคออฟของเครื่องบินดังขึ้นราวกับระฆังของซินเดอเรร่าตีบอกเวลาให้รีบกลับแม้จะยังไม่อยาก เครื่องบินทะยานขึ้นเหนือท้องฟ้ามาเก๊าแล้ว แต่หัวใจเรายังเดินเล่นอยู่ในแดนมังกรตาน้ำข้าวแห่งนี้อยู่เลย มันคือความอิ่มที่อยากกินอีกอย่างบอกไม่ถูก ดินแดนที่ชวนงงในความขัดแย้งกันของสองวัฒนธรรมช่างแสนดึงดูดใจ เราเต็มอิ่มทั้งกระเพาะที่อัดแน่นไปด้วยอาหารระดับตำนานเบียดเสียดจนแน่นพุง เต็มอิ่มเต็มสองตาด้วยวัฒนธรรมและอารยธรรมชวนแปลกตา เต็มอิ่มกับภาพถ่ายที่ไม่รู้ต้องลงอีกกี่เดือนถึงจะหมด แต่อย่างที่บอกว่ามันเป็นความเต็มอิ่มที่เรายังกินได้อีก แน่นอนว่าเราต้องกลับมาใหม่พร้อมกับแผนการเดินทางเก๋ๆ อีกแน่นอน …