ในแต่ละปีเราต้องมีมิชชั่นในการไปเที่ยวประเทศแปลกหูอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง เพื่อออกไปเพื่อกระตุ้นอะดรีนาลีน หาแรงบันดาลใจใหม่ๆ รวมถึงพักผ่อนให้ร่างกายได้รีสตาร์ท และทริปนี้เราขอกล่าวคำว่า Bula Bula แล้วพาทุกคนบินลัดฟ้าไปเที่ยวประเทศที่อยู่เหนือนิวซีแลนด์ขึ้นไปนิดนึง ประเทศที่จะทำให้เราได้สดชื่นกับธรรมชาติสีเขียวอันอุดมสมบูรณ์และท้องทะเลสีฟ้าครามที่สวยใสราวกับคริสตัล และที่นี่คือ ฟิจิ ประเทศที่เป็นเกาะซึ่งตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ประเทศที่เค้าเล่าว่ามีมลพิษน้อยติดอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งแน่นอนว่าทริปนี้เราคงได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด ชื่นชมความงามของธรรมชาติแบบเต็มอิ่ม และได้ดื่มกินน้ำแร่จากต้นกำเนิดของน้ำแร่ระดับโลกตลอดระยะเวลา 5 วันเต็มๆ จะสวย สดชื่น ฟื้นคืนคุณภาพชีวิตขนาดไหนตามเรามา
สาธารณรัฐฟิจิชื่อนี้อาจจะไม่คุ้นเคยมากนักสำหรับคนไทย ฟิจิเป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ประกอบด้วยหมู่เกาะหินภูเขาไฟมากถึง 322 เกาะ มีเมืองหลวงคือกรุงซูวา ภูมิประเทศโดยมากเป็นภูเขาสลับซับซ้อนและเป็นป่าไม้ ฟิจิจึงค่อนข้างมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ที่สำคัญที่นี่แทบไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมให้เราเห็น ด้วยเหตุนี้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกจึงเลือกมาพักผ่อนเพื่อสัมผัสกับธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์ของที่นี่ และนอกจากการท่องเที่ยวจะโดดเด่นแล้วฟิจิยังมีชื่อเสียงเกี่ยวกับผลิตผลจากธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำแร่ระดับโลกอย่างน้ำแร่ฟิจิ ที่เราเชื่อว่าคนไทยหลายคนน่าจะคุ้นตากันบ้าง
การเตรียมตัวก่อนการเดินทางมาเที่ยวฟิจิก็ถือว่าไม่ยากนัก เพราะที่นี่เป็นหนึ่งในประเทศที่เราไม่ต้องขอวีซ่าในการเดินทาง และแม้คนที่นี่จะมีภาษาฟิจิเป็นของตัวเองแต่เค้าก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ดังนั้นในแง่การสื่อสารจึงไม่มีปัญหาใดๆ แถมผู้คนที่นี่ยังเป็นมิตรมาก มากจนอยากให้ฉายาว่าเป็นเมืองแห่งความเป็นมิตร เพราะไม่ว่าเราจะเดินไปไหนมาไหน รู้จักเค้าหรือไม่ หรือเป็นคนต่างถิ่น ผิวสี ผมขาว ผมดำ เค้าก็จะทักทายกันอย่างเป็นมิตรว่า Bula! ที่แปลว่าแปลว่าสวัสดีในภาษาฟิจิ ในส่วนของเงินตรานั้นที่นี่เค้าก็มีสกุลเงินของตัวเองเรียกว่าดอลลาร์ฟิจิ (FJD) สามารถพกเงินสกลุล USD ไปแลกที่สนามบินได้เลยจ้าา
ส่วนการเดินทางเราบินไปเริ่มต้นกันที่ฮ่องกง เพราะจากฮ่องกงสามารถบินตรงสู่ฟิจิได้ง่ายๆ ด้วยสายการบินประจำชาติของฟิจิอย่าง Fiji Airways ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมงเพื่อไปยัง Nadi International Airport ณ เมือง Nadi เมืองชายทะเลที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของฟิจิ เมืองที่เป็นเสมือน Hub เชื่อมโยงเกาะต่างๆ ไว้ ซึ่งความสะดวกสบายนี้เองทำให้เราตัดสินใจที่จะพักกันที่เมืองนี้ตลอดระยะเวลา 5 วันในฟิจิ ส่วนจะสดชื่น ไร้มลพิษ สวยงามน่าไปเที่ยวขนาดไหนแนะนำว่าให้เลื่อนอ่านตั้งแต่ต้นจนจบเลยจ้าาาา
Day1 — Malamala Beach Club
เมื่อถึงสนามบินเมือง Nadi เรามุ่งหน้าต่อไปยังที่พักเพื่อเก็บข้าวเก็บของและทำตัวให้พร้อมที่จะเดินทางต่อ โดยเราจะเริ่มที่ Port Denarau Marin ท่าเรือที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อไปยังหมู่เกาะต่างๆ ในฟิจิ แม้ว่าที่นี่จะชึ้นชื่อว่าเป็นท่าเรือที่วุ่นวายที่สุดในฟิจิ แต่ที่นี่ก็ยังบริหารจัดการและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างดีจนได้รับรางวัลว่าเป็นท่าเรือที่สะอาดและเป็นมิตรกับสัตว์ทะเลมากที่สุดในแปซิฟิก (ซึ่งทำให้เรารู้ว่าคนทีนี่เค้ารักสิ่งแวดล้อมกันมาก) นอกจากท่าเรือแล้วที่นี่ยังมีคอมมูนิตี้ร้านอาหาร คาเฟ่ สำหรับนักเดินทางที่มารอขึ้นเรืออีกด้วย แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราก็ขอชื่นชมเล็กน้อยก่อนจะเดินทางต่อไปยัง Malamala Beach Club โปรแกรมวันเดย์ทริปที่แรกของเรา
พอถึงเวลา 10 โมงตรง เรือลำใหญ่ที่บรรจุผู้โดยสารเต็มลำก็พาเราล่องลอยไปบน Middle of South Pacific ocean และทันทีที่เรือเริ่มเดินเครื่องความสุขของการเดินทางของเราก็เริ่มต้นขึ้นทันที เพราะท้องทะเลที่เห็นตรงหน้ามันสวยงามเหลือเกิน แถมท้องฟ้าและอากาศวันนี้ก็เป็นใจมากๆ ทำให้เราสามารถนั่งมองฟ้ามองน้ำได้แบบไม่มีเบื่อเหมือนๆ กับคนอื่นๆ บนเรือลำนี้ จน 30 นาทีผ่านไปเราก็มาถึง Malamala Beach Club บีชคลับบนเกาะส่วนตัวแห่งแรกของโลก ที่ซึ่งถูกโอบล้อมไปด้วยน้ำทะเลสีฟ้าบริสุทธิ์ และหาดทรายสีขาว แม้ว่าเกาะแห่งนี้จะไม่มีบริการพักค้างคืน เปิดให้บริการแบบวันเดย์ทริปเท่านั้น แต่เค้าก็มีทุกอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม และกิจกรรมทางทะเลที่หลากหลายคอยให้บริการตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น
แม้ว่าจะเป็นเกาะส่วนตัวที่ไม่ใหญ่มากนักแต่คนก็ไม่ได้แน่นจนล้น ทำให้เราสามารถเลือกมุมพักผ่อนหรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้โดยที่ยังรู้สึกเป็นส่วนตัว จุดนี้คือทุกอย่างดูสวยลงตัวเหมือนหลุดออกมาจากภาพถ่ายจริงๆ ความสวยหมดจดตั้งแต่ท้องฟ้าจนถึงน้ำทะเลบวกกับอากาศที่แสนบริสุทธ์ แดดอุ่นๆ มันคือองค์ประกอบแห่งความสุขที่อยู่ตรงหน้าเรา ไม่ว่าจะนอนอาบแดดพร้อมหนังสือเล่มโปรดสักหนึ่งเล่ม หรือนั่งเล่นบนเตียงชายหาดพร้อมกับเครื่องดื่มค็อกเทลเย็นๆ สูตรพิเศษของที่นี่กับเพลย์ลิสต์ส่วนตัวก็แสนจะชิว
ในระหว่างนั้นถ้าหิวก็สามารถสั่งอาหารมาทานได้ ซึ่งที่นี่เค้ามีเมนูค่อนข้างหลากหลายให้เลือกไม่ว่าจะเป็นอาหารกินเล่น อาหารจานเดียว หรืออาหารจานใหญ่ที่สามารถสั่งมาแชร์กันทานได้ ส่วนเครื่องดื่มนอกจากน้ำผลไม้สดๆ แชมเปญ เบียร์ ค็อกเทลแล้ว ที่นี่เค้าขายน้ำแร่ฟิจิด้วยนาจา ในส่วนรสชาติอาหารนั้นสรุปได้ว่าอร่อยและสด เพราะเค้าปรุงกันแบบสดๆ ใหม่ๆ
หลังจากทานมื้อเที่ยงนอนผึ่งพุงรอให้แดดร่มลมตกสักหน่อยก็ได้เวลาชวนเพื่อนลงไปดำดิ่งในน้ำสีฟ้าเย็นชื่นใจริมชายหาด กับกิจกรรมแบบไม่มีเครื่องยนต์ (เค้ารักธรรมชาติกันมากจริงๆ) ทั้งพายคายัก ดำน้ำตื้น และ Paddle board ด้วยอุปกรณ์ที่เค้าเตรียมไว้ให้ ขอบอกว่าการได้พายเรือไปบนพื้นน้ำสีฟ้า รับลมเย็นๆ ที่ไม่มีกลิ่นเครื่องยนต์และกลิ่นน้ำมันปะปนมันคือความสุขที่ทำให้ทุกลมหายใจมีคุณค่าอย่างมาก ส่วนใครไม่ชอบเล่นน้ำทะเลก็สามารถลงไปว่ายน้ำในสระ หรือถ้าอยากเดินสำรวจให้ทั่วเกาะชมวิวไปถ่ายรูปไปแล้วค่อยกลับมานั่งพักก็สามารถทำได้ เพราะอย่างที่บอกว่าเกาะไม่ได้ใหญ่มากนักเดินแป๊บเดียวก็ทั่วแล้ว
Day2 — Yasawa Islands Day Trip and Sawa-I-Lau Caves
อย่างที่บอกไปแล้วว่าที่ฟิจิมีเกาะเป็นร้อยๆ เกาะ เราจึงสามารถเที่ยวเกาะได้แบบไม่ซ้ำกันเลย และวันนี้เราจะออกไปเที่ยวแบบวันเดย์ทริปกันอีกครั้ง โดยเกาะที่เราจะไปวันนี้ก็คือ Yasawa Islands ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเกาะหลัก การเดินทางแบบไม่ธรรมดาของเราในวันนี้จึงเริ่มขึ้น เราจะล่องนภาไปหาท้องทะเลกันด้วย Seaplane ซึ่งตื่นเต้นมากแก มันคือครั้งแรกในชีวิตของเราจ้าาาาา
เป็นเวลาประมาณ 30 นาทีที่ทั้งตื่นเต้นและมีความสุขจริงๆ เสียงใบพัดที่ดังอยู่บนเครื่องบินที่พาเราบินสูงพอที่จะเห็นความอุดมสมบูรณ์ของเกาะน้อยใหญ่ในประเทศนี้ได้อย่างเต็มตา และเป็นตลอดเวลาที่เต็มไปด้วยสีฟ้าและสีเขียวจากธรรมชาติชวนสบายตาและเพลิดเพลิน ก่อน Seaplane จะร่อนลงจอดเหนือพื้นน้ำทะเลที่ Nanuya Lailai Island
ไม่นานนักหลังจากที่ Seaplane สัมผัสกับผิวน้ำ เรือจาก Nanuya Island Resort ก็มารับเราไปยังเกาะ พร้อมๆ กับเสียงเพลงที่แว่วเข้ามาชวนสนุกสนานและค่อยๆ ชัดมากยิ่งขึ้น เมื่อเราถึงเกาะก็ได้พบกับต้นตอของเสียงเพลงที่น่าประทับใจ ผู้ชายฟิจิตัวใหญ่ทัดดอกชบาสีแดงมือถือกีตาร์ร้องเพลงท้องถิ่นในท่าทางที่สนุกสนานและใบหน้าเปื้อนยิ้มยืนต้อนรับเราอยู่ แต่ถึงเราจะฟังไม่ออกแต่เราก็สามารถรับรู้ผ่านภาษากายและความรู้สึกได้ไม่ยากว่ามันเป็นการกล่าวต้อนรับอันแสนอบอุ่น และเมื่อเราก้าวลงจากเรือพนักงานบนเกาะอีกคนก็ออกมาพร้อมเวลคัมดริ้งค์เป็นน้ำส้มรอต้อนรับพร้อมกับคำกล่าวทักทายที่แสนเป็นมิตร Bula Bula
จิบน้ำให้ชื่นใจและทักทายตอบกลับอย่างเป็นมิตรเราก็ต้องขอตัวไปเปลี่ยนชุดให้พร้อมเล่นน้ำก่อนลงเรือมุ่งจาก Nanuya Lailai Resort ไปยัง Yasawa Islands ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Sawa-I-Lau Caves ต่อทันที ระหว่างที่เรือลำเล็กไม่มีหลังคามุ่งหน้าพาเราไปยังปลายทาง สายลมเย็นๆ ก็พัดมาทักทายเราด้วยความสดชื่น น้ำทะเลสะท้อนแสงแดดเหมือนเชิญชวนเราตลอดเส้นทาง ถึงแม้ไม่ได้ตื่นเต้นเท่าวันแรก แต่เราก็ยังมีความสุขกับทะเลที่นี่อยู่ดี เพราะลมทะเลที่สัมผัสถูกตัวเรามันไม่มีความเหนียวเลย เหมือนกับลมบกธรรมดาๆ แถมน้ำทะเลก็สวยจนเป็นเรื่องปกติของที่นี่ไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน เกาะอะไร หรือแม้แต่ท่าเรือมันก็ยังส่องประกายเชิญชวนได้ทุกเมื่อจริงๆ
พอมาถึงที่ Yasawa Islands เราก็จะพบกับร้านค้าเล็กๆ ที่ชาวบ้านมาตั้งขายของฝากกันแบบเล็กๆน้อยๆ ไม่กี่สิบร้าน ของโดยมากก็สไตล์เกาะต่างๆ ทั่วไป มีทั้งผ้าบาติกสีสันสดใสลายดอกชบาที่บอกถึงวิถีชีวิตของคนบนเกาะ เครื่องประดับที่ทำมือแบบไม่ได้มีการปรุงแต่งด้วยเทคโนโลยีหรืออุตสาหกรรมใดๆ ของแต่ละชิ้นจึงมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน และนี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมแหล่งท่องเที่ยวของที่นี่จึงสวยและยังบริสุทธิ์ไม่แตกต่างกัน เพราะสิ่งที่ทุกคนเห็นร่วมกันก็คือการรักษาธรรมชาติ หวงแหน และช่วยกันดูแลจากใจจริง ซึ่งเราก็ต้องขอบคุณพวกเค้าที่ทำให้เราได้มีโอกาสมาพบกับสถานที่ท่องเที่ยวเช่นนี้
Yasawa Islands ถือเป็นเพชรเม็ดงามของฟิจิ และเพชรเม็ดนี้ยังซ่อนอัญมณีอันมีค่าไว้ภายในอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ Sawa-I-Lau Caves ใจกลางของบลูลากูนภายในถ้ำที่นักท่องเที่ยวต่างจดไว้เป็นจุดหมาย เพราะสายน้ำที่ผสมผสานกันจนออกมามีสีสันสวยงามลึกล้ำ ที่เราสามารถกระโดดพุ่งตัวลงไปด้านล่าง หรือจะเลือกมุดลงใต้น้ำเพื่อชมประการังก็การันตีความสวยงามและความอุดมสมบูรณ์
หลังจากสนุกสนานกับธรรมชาติสุดอันซีนในช่วงเช้าที่ Sawa-I-Lau Caves พอบ่ายเราก็กลับมาผึ่งกายให้แห้งกันที่ Nanuya Island Resort ทานมื้อเที่ยงที่รวมราคาไปในแพ็คเกจเดย์ทัวร์เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนมุมใครมุมมันแบบชิวๆ ไม่เร่งรีบ บนเกาะที่มีแต่เสียงคลื่นและลมจากทะเล ที่เราสามารถหายใจได้ยาวๆ เต็มปอด เพราะครั้งนี้คือการเดินทางพักผ่อนที่จะช่วยฟอกปอดของเราได้อย่างเต็มที่ พอเย็นก็นั่ง Seaplane กลับไปพักที่โรงแรมเดิมใน Nadi ถือเป็นการจบทริปวันที่สองแบบสดชื่น
Day3 — Sleeping Giant Zipline, Orchid Waterfall and Heli-tour Surf to Mountain
นอกจากฟิจิจะมีทะเลเป็นจุดขายแล้วแต่สิ่งที่ฟิจิมีมากที่สุดอีกอย่างก็คือภูเขา วันนี้เราเลยขอเปลี่ยนบรรยากาศสีฟ้าๆ มาเป็นสีเขียวๆ อันแสนชุ่มฉ่ำกันบ้าง ไปรู้จักอีกแง่มุมหนึ่งของฟิจิอย่างทั่วถึง เช้านี้หลังจากทานมื้อเช้าที่โรงแรมเสร็จเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าพากันไปที่ Sleeping Giant Zipline ที่อยู่ห่างจากนาดิประมาณ 25 นาที และเช่นเคยจนเป็นอะไรที่ปกติมากๆ สำหรับฟิจินั่นคือที่นี่เค้าบริหารจัดการพื้นที่กว่า 35 เอเคอร์ของเค้าให้เป็นแอดเวนเจอร์พาร์คที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ โดยมีซิปไลน์ 5 ฐาน น้ำตกและป่าอีก 2 ฐาน วันนี้เราจะได้บินข้ามผ่านทั้งต้นไม้ น้ำตก และลำธาณ ที่ความสูง 80-160 เมตรแบบรัวๆ งานนี้นอกจากจะได้ชื่นชมธรรมชาติ มองดูภูเขาสีเขียวที่อุดมสมบูร์หลายลูกที่เรียงสลับซับซ้อนจนเหมือนยักษ์นอนหลับสมชื่อ Sleeping Giant แล้ว เราก็ยังได้ปลดปล่อยเสียงกรี้ดและลมหายใจหอบๆ เหนือยอดไม้กันอีกด้วย
5 ฐานที่ต้องผ่านไปบนความสูงที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนนกน้อย และความเร็วที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนเหยี่ยวทำให้เราทั้งสนุก ตื่นเต้น และปลดปล่อยจากสิ่งต่างๆ อยากบอกว่ามันโคตรดี โคตรสนุก และโคตรสวยจริงๆ ถ้าใครได้มาเราไม่อยากให้แกพลาด เพราะการจะได้บินไปเหนือยอดไม้ เหนือน้ำตก และเหนือแม่น้ำมันคงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ แน่ๆ
นกยังต้องหยุดพักเวลาบิน เพราะฉะนั้นเมื่อหมดกิจกรรมแรกเราก็ต้องกลับมาเดินเหมือนเดิม แต่ก่อนเริ่มเดินไปไหนก็ขอให้พุงของเราได้รับอาหารพร้อมๆ กับฟังเสียงลำธารเสียก่อนจะดีที่สุด หลังจากอิ่มก็ได้เวลาย่อยกับกิจกรรมเรียกเหงื่อยามบ่าย คือการเดินไปยัง Orchid Waterfall น้ำตกกลางป่าที่ทางเดินก็ถือว่าไม่ได้ลำบากจนเกินกำลังแม้ว่าระยะทางจะค่อนข้างไกลไปสักหน่อยสำหรับสายชิว แต่ตลอดเส้นทางเราก็ได้เจอกับต้นไม้แปลกตาที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนที่คอยมอบร่มเงาให้เราตลอดเส้นทาง กับรากไม้และเถาวัลย์สวยๆ อีกเพียบให้เราแวะเก็บภาพ
เดินเรื่อยๆ ชิวๆ อยู่พักนึงในที่สุดเราก็มาถึง Orchid Waterfall ที่ถ้ามองจากภาพอาจจะรู้สึกว่ามันธรรมดาไปสักหน่อยที่จะเสียเวลาเดินมาไกลขนาดนี้ แต่การได้นั่งลงพักผ่อน เอาน้ำลูบหน้าลูบตัวอยู่สักพักก็ทำให้เราได้รู้ว่าน้ำตกที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น มันทำให้เรารู้สึกชอบอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะต้นไม้ที่คอยให้ร่มเงาอยู่รอบๆ อาจเป็นเพราะน้ำใสๆ ที่เรารู้ว่ามันไร้มลพิษ หรืออาจจะเป็นเพราะกลิ่นดินหอมๆ ที่ลอยเข้ามา
จากน้ำตกพวกเราก็กลับเข้าเมือง Nadi เพื่อมาแวะทำอีกหนึ่งกิจกรรมบนท้องฟ้าก่อนกลับที่พัก Heli-tour Surf to Mountain ซึ่งก็คือการนั่งเฮลิคอปเตอร์ชมความงาม ความลับ และทรัพย์สมบัติของฟิจิ บนเส้นทางภูเขาของ Sleeping Giant ชมกิจกรรมทางน้ำที่ Cloud Break และ Wilkes Passage ที่เล่น Surf ชื่อดังของฟิจิ ก่อนจะปิดจ๊อบที่เขา Evans Range เพื่อชมน้ำตกจากมุมบน สำหรับเรามันคือกิจกรรมที่เราเฝ้ารอ มันรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นเฮลิคอปเตอร์ร่อนลงจอดเพื่อรับเรา
ที่แรกที่เราไปคือภูเขาของฟิจิในแถบ Sleeping Giant Mountain แม่น้ำ และน้ำตกที่อยู่ในบริเวณนี้ โดยระหว่างทางเค้าก็จะเล่าเรื่องราวและให้ความรู้กับเราด้วย ซึ่งเราสังเกตได้เลยว่าที่นี่บ้านเรือนเบาบางมาก ตึกสูงใหญ่ หรือโรงงานอุตสาหกรรมแทบไม่เห็น เราเลยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงมีอากาศบริสุทธิ์ และไร้มลพิษขนาดนี้ ถึงว่านักท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นการพักผ่อนกับธรรมชาติอย่างแท้จริงจึงหลั่งไหลมาที่นี่แบบไม่ขาดสาย
เลยจากภูเขามาไม่นานจากผืนดินสีเขียวก็เปลี่ยนเป็นผืนน้ำสีฟ้าที่ Cloud Break และ Wilkes Passage ที่เล่น Surf ชื่อดังของฟิจิ เกาะน้อยใหญ่ที่ถูกล้อมรอบด้วยน้ำทะเลที่สวยใส และยอดคลื่นเล็กๆ สีทองจากแสงยามเย็นที่ตกกระทบ เรือสีขาวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีส้มๆ อ่อนๆ ตามแสงของดวงอาทิตย์ ทุกอย่างดูสงบ สะอาด และทำให้เราเพลิดเพลินมากเลยทีเดียว
ผ่านจากเกาะเล็กเกาะน้อยของฟิจิ เราก็ได้เห็นเกาะรูปหัวใจกลางมหาสมุทร ที่เค้าบอกว่าเป็นไฮไลท์ที่สุดท่ามกลางหลายร้อยเกาะของฟิจิ เป็นที่ๆ เราได้ชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่สวยที่สุดและเป็นธรรมชาติที่สุด ประทับใจที่สุด แห่งหนึ่งเลยแก
Day4 — Cloud9
ล่วงเลยจนถึงวันที่ 4 สำหรับทริปฟิจิ เราก็ยังสามารถค้นพบสถานที่ใหม่ๆ และกิจกรรมที่จะสร้างความประทับใจได้แบบไม่ซ้ำ วันนี้เราจะไม่เที่ยวเกาะ ไม่เที่ยวภูเขา แต่เราจะไปอยู่กลางน้ำบนเรือสองชั้นที่อัดแน่นทุกอณูไปด้วยความสุขและความชิวที่เราเลือกได้เอง ณ จุดที่สุดสวยและเป็นอิสระกลาง Middle of South Pacific ocean เรือปาร์ตี้กลางมหาสมุทรที่เราต้องนั่งสปีดโบ๊ทไปสัมผัสประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
สลัดผ้าให้เหลือแต่บิกินี่แล้วเลือกได้เลยว่าจะนั่งชิวที่บาร์ หรือนอนเงยหน้าอาบแดดบนเดย์เบด ส่วนเราขอเลือกไปที่บาร์เพื่อสั่งอาหารและเครื่องดื่มก่อนเป็นอันดับแรก ที่นี่เค้ามีอาหารแนวนานาชาติหลากสไตล์ให้เลือกพอสมควร แต่ที่เค้าบอกว่าเด็ดสุดและเมื่อเราได้ลองก็การันตีว่ามันเด็ดจริงก็คืออิตาเลี่ยนพิซซ่าที่อบด้วยฟืนนั่นเอง แป้งบางกรอบกับชีสเยิ้มๆ หอมกลิ่นฟืน ที่เรากินหมดหนึ่งชิ้นแบบรวดเร็วพร้อมยกเครื่องดื่มแสนซ่าตามเข้าไป ก่อนจะเอนกายอาบแดดและถ่ายรูปสลับกับกินและดื่มไปเรื่อยๆ จนหมด แค่นี้ก็เป็นการเริ่มต้นปาร์ตี้แบบแฮปปี้ชิวๆ แล้ว
อิ่มพอควรก็ได้เวลาพุ่งตัวลงน้ำ ที่นี่เค้ามีอุปกรณ์ดำน้ำพวกหน้ากาก ตีนกบให้เช่าด้วย อยากจะดำตรงไหนส่วนไหนก็ลงไปได้เลย และแม้มันจะอยู่กลางมหาสมุทรแต่ก็ไม่ต้องกลัวว่าน้ำทะเลแถวนี้จะมืดมิดลึกลับดูน่ากลัวแต่ประการใด เพราะจุดที่เรือจอดเป็นบริเวณที่ค่อนข้างตื้นแบบลงจากเรือมาช่วงแรกๆ เราสามารถยืนได้เลย และเลยไปอีกหน่อยเราก็สามารถดำน้ำ เล่นน้ำที่สวยมากๆ ได้แบบเพลินๆ แต่ถ้าถามว่าสวยกว่าบ้านเราไหมเราว่าก็สวยกันไปคนละแบบ แต่ที่นี่เราให้คะแนนมากกว่าในเรื่องที่ลมและน้ำไม่ทำให้เหนียวตัวเลย แล้วก็ความสะอาดที่เราให้แบบสิบเต็ม
และวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เราได้ชาร์จพลังความสดชื่นและเพิ่มความบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกายแบบเต็มหัวใจและเต็มปอด เพราะไม่ว่าจะบนบก บนอากาศ หรือใต้น้ำของที่นี่ ทุกอย่างดูลงตัว ดูได้รับการใส่ใจและดูแลให้ยังคงความเป็นธรรมชาติ และทุกๆ กิจกรรมคนที่นี่จะใส่ใจกับธรรมชาติมากๆ ยังคงให้เกียรติธรรมชาติในทุกๆ บริบท และใช้ชีวิตด้วยวิถีที่เรียบง่ายเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
Day5 — FIJI Water factory
และวันสุดท้ายเราก็ขอเปลี่ยนบรรยากาศมาชมผลผลิตจากธรรมชาติของฟิจิกันบ้าง นั่นคือน้ำแร่ฟิจิที่โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่าปกติเราก็ดื่มน้ำเปล่าเป็นหลักในชีวิตประจำวัน ดื่มน้ำแร่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกหรืออินอะไรกับน้ำแร่มากนัก เพราะคิดว่ามันคงไม่ได้ต่างอะไรจากน้ำเปล่าทั่วไป อาจแค่มีแร่ธาตุมากกว่านิดๆ หน่อยๆ ประมาณนี้ แต่พอเราได้มาเที่ยวที่นี่ได้มาสัมผัสกับธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ ป่าไม้ที่ยังเขียวขจี ทำให้เรารู้เลยว่าน้ำแร่ฟิจิต่างจากน้ำดื่มทั่วไปมากๆ เพราะมันมาจากแหล่งน้ำบริสุทธิ์ใต้ชั้นหิน หรือ Artesian Water ที่สภาพแวดล้อมโดยรอบของแหล่งกำเนิดน้ำตัวนี้ไม่มีอุตสาหกรรมหนักมาเจือปน ทำให้ฝนที่กลั่นตัวผ่านธรรมชาติไม่ถูกรบกวนโดยโรงงานหรือมลพิษใดๆ และค่อยๆ ซึมผ่านป่าดงดิบที่ยังเขียวชอุ่มลงไปก่อตัวเป็นแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติบริสุทธิ์ใต้ชั้นหิน ซึ่งน้ำแร่ฟิจิได้เก็บแร่ธาตุและความบริสุทธิ์เหล่านั้นบรรจุลงขวด ทำให้เราเชื่อได้ว่าน้ำทุกขวดที่เราได้ดื่มของฟิจิมันบริสุทธิ์และสดชื่นจากธรรมชาติจริงๆ
นอกจากส่งออกความสะอาดและบริสุทธิ์ไปทั่วโลกแล้วน้ำแร่ฟิจิเค้ายังส่งความสุขกลับมายังประเทศด้วยการสนับสนุนโรงเรียนในชุมชมที่อยู่บริเวณรอบๆ ที่ตั้งโรงน้ำดื่ม รวมถึงโรงเรียนเด็กกำพร้าชายในประเทศ และจัดสรรที่ดินสำหรับการปลูกมะละกอเพื่อให้ชาวบ้านได้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ตลอด 5 วันที่ผ่านมาเราได้รู้จักฟิจิมากขึ้น แต่ก็ยังมีอีกหลายมุมของฟิจิที่เราจะต้องกลับไปสัมผัสอีกให้ได้ เพราะเราเชื่อว่าที่อื่นๆ ยังคงความเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์อีกหลายแห่ง และการเที่ยวที่นี่ก็ทำให้เราได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ได้เห็นว่าแท้จริงแล้วมนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้โดยไม่ทำร้ายกัน และการท่องเที่ยวแบบไม่เป็นพิษกับธรรมชาติก็สามารถทำได้จริงๆ หากเราใส่ใจและมีน้ำใจมากพอ เราก็จะได้รับประโยชน์จากธรรมชาติได้อย่างยั่งยืนไปอีกนาน เพราะฉะนั้นการมาฟิจิในครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ฟิจิถูกลบชื่อออกจากสถานที่ต้องมา เพราะอัญมณีเม็ดนี้ยังมีความงามซ่อนอยู่อีกมากมายแน่ๆ
อ้อสำหรับทริปนี้ เราพักกันที่ The Westin Denarau Island Resort & Spa โรงแรม 5 ดาว บนเกาะ Denarau ที่ผสานระหว่างวัฒนธรรมชั้นสูงและวัฒนธรรมพื้นบ้านของฟิจิ ที่อยู่ติดทะเล ห้องพักแน่นอนว่ามาตรฐานโรงแรมห้าดาวจริงๆ สะอาด บริการดี กว้างขวาง ที่สำคัญเค้ายังเสิร์ฟน้ำแร่ฟิจิให้ลูกค้าได้แฮปปี้ เป็นการบริการที่ดูแลทั้งภายในและภายนอกกันเลยทีเดียว
การเดินทางครั้งนี้นอกจากเราจะรู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามแล้ว เรายังรู้สึกได้ว่าธรรมชาติก็มีความสุขเช่นกันที่ได้รายล้อมมนุษย์ที่ให้เกียรติพวกเค้า การพึ่งพาอาศัยกันจากจิตวิญญาณสร้างผลตอบแทนคือความสวยงามเหมือนสวรรค์บันดาล กลายเป็นที่อยู่อาศัยที่ทำกินที่มีคุณภาพ ท่ามกลางปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมและผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่นี่ทำให้เราเห็นแล้วว่าเวลาที่มีปัญหาเราเลือกได้เสมอว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาหรือเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา แกหล่ะ เลือกอยู่ฝ่ายไหน …