ทริปญี่ปุ่นครั้งที่นับไม่ถ้วนรอบนี้ เราขอบินตรงลง Hokkaido เกาะเหนือสุดแห่งดินแดนพระอาทิตย์อุทัยที่แสนเย็นสบายในช่วงซัมเมอร์ พาทุกคนลัดเลาะเที่ยวสี่เมืองสี่สไตล์ โดยเริ่มจากไปกินอาหารทะเลสดๆ ฟินๆ ที่ฮาโกดาเตะ ไปเดินเล่นริมคลอง ชมมิวเซียมดนตรีที่โอตารุกันแบบชิคๆ ก่อนไปสัมผัสธรรมชาติสะบัดกระโปรงกลางสวนดอกไม้ที่บิเอะ แล้วปิดท้ายแบบชิวๆ สโลไลฟ์ในเมืองกันที่ซัปโปโร งานนี้รับรองว่าแกจะเผลอเปิดปฏิทินดูวันลาก่อนอ่านรีวิวจบแน่นอน
ฮอกไกโดเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น ทำให้โดยมากอากาศค่อนข้างหนาวจัด แต่เมื่อถึงฤดูร้อนอากาศจะอยู่ในช่วงที่กำลังเย็นสบาย มีเมืองซัปโปโรเป็นเมืองหลักทั้งทางด้าน เศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ผู้คนจึงมักเดินทางมาเที่ยวฮอกไกโดในช่วงฤดูร้อน เพราะมีทั้งทัศนียภาพที่สวยงาม อาหารทะเลที่อุดมสมบูรณ์ เรียกได้ว่ามีพร้อมทั้งอาหารตาและอาหารกายเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าเราจะได้เห็นรีวิวหลายๆ รีวิวจากภูมิภาคนี้ในหน้าหนาวกันไปบ่อยแล้ว แต่ทริปนี้เราจะพาไปช่วงฤดูร้อน ที่ไม่ร้อน กันแบบฉ่ำ ฟินส์ๆ ถ้าพร้อมแล้วไปเที่ยวฮอกไกโดกันเลย
One day in Hakodate
เริ่มต้นทริปเราพาไปที่เมือง ฮาโกดาเตะ (Hakodate) เมืองที่ตั้งอยู่ปลายสุด
ที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งสตรีทฟู๊ดชั้นเลิศที่เราสามารถเพลิดเพลินกับอาหารทะเลสดๆ หลากหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หอยเม่น ที่จัดว่าเป็นของขึ้นชื่อของฮาโกดาเตะ ที่นี่เราสามารถหากินได้ง่ายมาก ใครที่เคยกลัวหรือเข็ดขยาดกับความเค็มความคาวขอบอกว่านั่นคือมันไม่สด หรือบางทีก็ปรุงโดยเชฟที่ไม่ชำนาญ แต่ถ้ามานี่แนะนำให้ล้างความทรงจำแย่ๆ ออกไปให้หมด แล้วเรามาเริ่มต้นกันใหม่ กับรสชาติหอม หวาน มัน เข้มข้น สดใหม่ ที่ไม่ว่าจะเป็นแบบซาซิมิ ซูชิก็มีให้เลือกทานกันได้ ส่วนอาหารทะเลอื่นๆ ก็สดไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นพวกหมึก กุ้ง ปู ปลา ที่ซื้อตรงไหนก็กินกันตรงนั้นได้เลย หรือใครใคร่อยากจะนั่งทานในร้านแบบสบายๆ ก็มีให้บริการตลอดเส้นทาง ถ้าแค่นี้ยังไม่จุใจก็สามารถเลือกซื้อของฝากจากท้องทะเล จำพวกของทะเลแปรรูปต่างๆ กลับไปกินที่ไทย หรือเอาไปฝากใครๆ ที่รักได้แบบสบายๆ
หลังจากชิมไปชมไป แต่ก็ยังรู้สึกยังไม่อยู่ท้องเท่าที่ควร เราเลยตัดสินใจหาร้านนั่งทานกันแบบจริงๆ จังๆ โดยเราเลือกร้านเล็กๆ ที่อ่านอะไรไม่ออกเลยแม้แต่ตัวเดียว แต่อาศัยเดินตามคนหมู่มากที่เดินเข้าๆ ออกๆ กันแทบตลอดเวลา โดยภายนอกก็เป็นร้านญี่ปุ่นธรรมดาๆ มีชั้นเดียว เรียบง่าย มีเพียงรูปเมนูของร้านติดตั้งแต่หน้าร้านจนถึงข้างในให้ชวนหิว ดูสะอาดได้มาตราฐาน นั่งปุ๊บก็ชี้โบ๊ชี้เบ๊จากรูป เราเลือกข้าวหน้าหอยเม่นเป็นจานหลัก และเลือกซุปปูมากินกรุบกริบให้ร้อนท้อง ไม่นานนักข้าวหน้าหอยเม่นสีเหลืองนวนพูนๆ รองด้วยสาหร่ายและข้าว ท้อปด้วยวาซาบิก็มาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า แค่คำแรกก็น้ำตาจะไหลเพราะเผ็ดวาซาบิ แต่คำที่สองสติเริ่มมา คีบวาซาบิแต่น้อยๆ กับหอยเม่นหอมๆ อันนี้แหล่ะน้ำตาจะไหลของจริง ฮือ!!! มันอร่อยมาก หวานมาก สมแล้วที่มันเป็นของดีในของดี
พออิ่มท้องก็ไปเดินย่อยที่ Red Brick Warehouses โกดังอิฐแดงริมน้ำสุดเก๋ไก๋ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำของอ่าวฮาโกดาเตะ โดยแต่เดิมที่นี่เป็นที่ค้าขายในช่วงปลายสมัยเอโดะ และต่อมาเมื่อไม่ได้ใช้ทำการค้าแล้ว ก็ได้มีการปรับปรุงจนกลายมาเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่มีทั้งร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ มากมาย อารมณ์ชอปปิ้งมอลล์ แต่เป็นแนวคลาสิค ที่เหมาะแก่การมาเดินเล่น แวะช้อปปิ้งเล็กๆ น้อยๆ ดื่มชาพอชุ่มฉ่ำ แล้วก็เดินถ่ายรูปกันแบบชิวๆ เพราะที่นี่มีมุมดีๆ เยอะแยะมาก
จากนั้นก็ไปต่อกันที่อีกหนึ่งไฮไลท์ของเมืองที่ได้รับคะแนนสามดาวจาก “คู่มือนำเที่ยว มิชลิน กรีน ไกด์ ประเทศญี่ปุ่น” นั่นก็คือ Mt. Hakodate Ropeway กระเช้าสู่ยอดเขาฮาโกดาเตะ ที่มีคนใช้บริการมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่นถึงหนึ่งล้านห้าแสนกว่าคนต่อปีเลยทีเดียว ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 นาที บนกระเช้าที่เราค่อยๆ เห็นวิวเมืองของฮาโกดาเตะปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นทำให้เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนถึงอยากมาชมภาพทะเลที่โอบล้อมสองฝั่งของเมืองไว้นัก ยิ่งในช่วงเย็นการมาชมพระอาทิตย์ตกและดูดาวกับวิวเมืองยามค่ำที่นี่ถือว่าเป็นที่นิยมสุดๆ
หลังจากเดินเล่นนิดๆ หน่อยๆ กระเพาะน้อยๆ จอมหิวก็ร้องบอกเวลาเที่ยงวัน เราจึงไม่รอช้ามุ่งหน้าไปยังร้านชาบูชื่อดังอย่างร้าน Asari Honten ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1901 ที่ขึ้นชื่อในเรื่องสุกียากี้เนื้อมากที่สุด โดยมีให้เลือกทั้งแบบเนื้อวัวเกรดเอ และเกรดธรรมดา รวมถึงเมนูดังที่ได้รับการแนะนำในหนังสือท่องเที่ยวของมิชลินด้วย ด้านหน้าร้านเป็นคล้ายๆ กับบ้านไม้เก่าๆ สองชั้นดูไม่ได้หรูหราอะไรมากนัก แต่เมื่อเข้าไปข้างในเค้าจะมีโซนไพรเวทไว้บริการด้วย ซึ่งก็ให้ความรู้สึก เรียบง่าย แต่อบอุ่น ตามแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมเลยล่ะ
และแม้ว่าจะเป็นร้านดัง มีลูกค้าใช้บริการมากมายแต่ญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่น ความใส่ใจในกระบวนการถือเป็นหัวใจสำคัญของที่นี่ เพราะนอกจากพนักงานจะมาเสิร์ฟอาหารแล้ว เค้ายังมาบรรจงจัดวางวัตถุดิบต่างๆ ลงในหม้อให้เราอย่างปรานีตจนแทบจะป้อนเข้าปากให้ด้วยเลย หลังจากที่คอยเราถ่ายรูปด้วยความรวดเร็วเพราะลายเนื้อช่างยั่วยวนจนเสร็จ ขั้นตอนสุดท้ายที่เราต้องทำเองก็คือการคีบเนื้อนุ่มๆ เข้าไปละลายในปากแค่นั้นเอง
ครึ่งวันผ่านไปไวแต่ไม่เหมือนโกหก ก็ได้เวลามุ่งหน้าเข้าเมืองที่ใหญ่ที่สุดของฮอกไกโด คือซัปโปโรกันแล้ว ซึ่งไม่ได้แปลว่าที่ฮาโกดาเตะไม่มีที่เที่ยวแล้วนะ จริงๆ ยังมีอีกมายมายถ้าแกอยากแพลนเที่ยวต่อจนครบวัน ครบสองวันก็ยังทำได้ แต่สำหรับเรา เรามาเพื่อกินเป็นหลัก จึงขอจบกับเมืองที่นี่ไว้แต่เพียงเท่านี้ โดยระหว่างทางกลับเข้าเมืองก็ขอแวะเช็คอินตามรอยหนังรักอย่างแฟนเดย์ที่แม้จะจบไปนานแล้ว แต่นี่เพิ่งมาครั้งแรกจะไม่แวะก็กลัวกลับบ้านแบบไม่สบายใจ เราเลยแวะกันที่ Jigokudani (Hell Valley) ถ้านรกสวยประมาณนี้เราก็ว่ามันไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วที่นี่ถูกเรียกว่านรก ไม่ได้มาจากความน่ากลัว อัมหิตใดๆ แต่เป็นเพราะควันสีขาวๆ ที่ลอยขึ้นมาจากปล่องลมด้านล่าง พร้อมพัดพาไอร้อนจากบ่อน้ำร้อนข้างใต้ขึ้นมาด้วย ทำให้ที่นี่มีอากาศร้อนแตกต่างจากบริเวณภายนอกอย่างมาก
One day in Biei
ย้ายร่างจากฮาโกดาเตะมาเที่ยวกันต่อที่เมืองบิเอะกับสถานที่แรกสถานที่สุดฮอตที่สวยทุกฤดู Blue Pond หรืออีกชื่อคือ สระอะโออิเคะ ถ้าเมื่อกี๊ที่ไปคือนรกที่นี่ก็คือโลกเมื่อตอนแรกเริ่ม ทิวทัศน์สุดแปลกตานี้จะว่าเกิดจากธรรมชาติมันก็ใช่ แต่แรกเริ่มเลยมันเกิดขึ้นมาจากน้ำมือของมนุษย์นี่ล่ะ ที่ได้สร้างเขื่อนขึ้นเพื่อกั้นไม่ให้โคลนจากภูเขาไฟเข้าท่วมเมือง แล้วบุ๊งก็กลายเป็นโลกใบใหม่ ที่เดินทางแสนง่ายด้วยรถยนต์และเดินต่อเข้ามาอีกประมาณสิบนาทีก็ถึงบ่อน้ำสีฟ้าสดใส ต้นไม้เรียวเล็กที่พุ่งขึ้นหาท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยปุยเมฆ ทุกอย่างดูเรียบง่าย ดูสดชื่น อุดมสมบูรณ์ สมเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต
อิ่มเอมกับความสดใสตรงหน้าก็ได้เวลามุ่งหน้าต่อไปยังสวนดอกไม้ Shikisai No Oka แต่ระหว่างทางไปร่างกายเริ่มเรียกหาคาเฟอีนทันทีที่เห็นร้านคาเฟ่ที่ชื่อว่า Post Card Gallery & Coffee ร้านเล็กๆ ที่ด้านนอกเป็นสีขาว แต่ด้านในเน้นสีของไม้ในโทนสีอบอุ่น มีความมินิมอล ที่ให้ฟีลเหมือนเดินเข้าไปดื่มกาแฟบ้านคุณยายมากกว่าเดินเข้าไปนั่งในร้านคาเฟ่ กลิ่นหอมๆ และเสียงคมแก้วกาแฟที่ดังมาจากแก้วในมือของหญิงสาววัยเกษียนที่กำลังกล่าวต้อนรับด้วยท่าทีเป็นมิตร ผู้คอยดูแลร้านน่ารักๆ แห่งนี้
เราจิบกาแฟอุ่นๆ ที่เสริฟโดยใช้นมถั่วเหลืองแทนนมวัว พร้อมกับเงี่ยหูฟังเพลงบรรเลงที่ชวนให้เพลิดเพลิน หลังจากดื่มเสร็จก่อนออกจากร้าน เราก็ไม่ลืมที่จะเดินดูของฝากกระจุกกระจิกอย่างพวกโปสการ์ดและของแฮนด์เมดต่างๆ ที่ดูแล้วคนทำต้องตั้งใจสุดๆ มันดูปราณีตมีความหมายเหมาะแก่การซื้อเก็บเป็นที่ระลึกมาก
สวนดอกไม้ Shikisai No Oka สวนขนาดกว่า 42 ไร่ ที่บรรจุดอกไม้กว่า 30 สายพันธุ์ เช่น ลาเวนเดอร์ ทิวลิป หรือทานตะวัน ก็สามารถหาชมได้จากที่นี่ โดยดอกไม้แต่ละชนิดก็จะมีช่วงเวลาที่บานแตกต่างกันไป อย่างในช่วงที่เราไปก็จะเป็นช่วงที่มีดอกไม้บานไม่มากนัก แม้จะไม่ได้วิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์ หรือเห็นดอกไม้บานทั่วภูเขาแบบเต็มตา และบางแปลงก็เพิ่งจะลงปลูก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังนะ เพราะดอกไม้ที่ว่าน้อยกว่าปกติมันก็ยังเยอะอยู่ดี แล้วที่สำคัญ อากาศดีมาก เพราะเป็นที่ๆ อยู่ห่างไกล และไม่ค่อยมีรถสัญจรมากนัก แถมทิวทัศน์ภูเขาด้านหลังที่เรียงสลับกันไปมามันทำให้เราสดชื่นมากกว่าผิดหวัง
เราเลือกกลับมาทานมื้อเที่ยงกันที่ในเมืองแถว Biei Station ซึ่งร้านตั้งอยู่ตรงข้ามกับจุดขึ้นรถบัสไป Blue Pond สไตล์ร้านก็จะเป็นแบบญี่ปุ่นทั่วไป ที่เปิดขายสองช่วงเวลาเที่ยงกับเย็น และมื้อนี้พวกเราสั่งข้าวหน้าหมู กุ้งเทมปูระ และโซบะมาทาน และแม้ว่าจะเป็นร้านธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีการแนะนำในรีวิวิวใดๆ หรือพูดง่ายๆ ว่าเดินเจอโดยบังเอิญ แต่ก็ยังอร่อยใช้ได้เลยนะแก
ปิดทริปเมืองบิเอะกับอีกหนึ่งไร่ดอกไม้สุดฮอต Farm Tomita สวนดอกไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องลาเวนเดอร์มากที่สุด พอเราเข้ามาก็จะได้เห็นสีม่วงๆ เล็กๆ อยู่เต็มทุ่ง เต็มตาเลยล่ะ แต่เหมือนว่าเราจะมาเร็วไปหน่อยเจ้าพวกลาเวนเดอร์เลยยังตูมเอียงอายไม่ยอมเผยกลีบดอกออกมาโชว์ ซึ่งเอาจริงๆ แค่นี้มันก็สวยแล้วนะ และเมื่อมาถึงที่นี่อีกหนึ่งอย่างที่ไม่ว่าแกจะมาช่วงไหน ดอกจะตูม ดอกจะบาน ดอกจะร่วงใดๆ ก็ห้ามลืมสิ่งนี้ นั่นคือ การกินไอศกรีมลาเวนเดอร์กลางทุ่งลาเวนเดอร์ แบบกินไปถ่ายรูปไป เดินเล่นไป คือฟินส์ และถ้าแกโชคดีมาตอนที่ดอกลาเวนเดอร์บานเต็มสวน ขอแนะนำให้พาเพื่อน พ่อ แม่ แฟน หรือใครก็ตามที่ถ่ายรูปแบบรู้มุมรู้ใจแกมาด้วยหนึ่งคน แล้วมายืนใส่หมวกปีกกว้าง กับเดรสยาวสีขาว จะวิ่ง จะหมุนตัวเบาๆ หรือสะบัดกระโปรงใดๆ ก็ทำไป ขอเพียงแค่ให้กดชัตเตอร์ตามให้ทันพอ
ถัดจากความหอมหวานสวยละมุนของทุ่งลาเวนเดอร์ ข้างๆ กันก็จะเป็นสวนเมล่อนที่หอมจนต้องเดินตามกลิ่นมา ที่นี่เค้ามีผลิตภัณฑ์หลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นผลสุกทั้งลูก ผลสุกแบบตัดแต่งแล้ว เป็นน้ำดื่มสุดชื่นใจ ไอศกรีมหวานฉ่ำ และจากการที่เราได้ลองกินเท่าที่กระเพาะเราจะกินไหว ก็ขอบอกเลยว่ามันอร่อยควรค่าแก่การลิ้มลองจนบอกได้เลยว่าแกไม่ควรพลาดที่จะแวะที่นี่เป็นที่สุดท้าย เพื่อเป็นการสร้างฉากจบที่เมืองบิเอะได้แบบสวยงามและอิ่มฟินส์มากเว่อร์
One day in Otaru
โอตารุ เมืองท่าที่สำคัญของฮอกไกโดที่เคยไว้ใช้ทำการค้ากับรัสเซียและจีน โดดเด่นในเรื่องเครื่องแก้ว กล่องดนตรี และสาเก ที่นี่จึงมีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำแบบหลากหลายความชอบ มีตึกสวยและแบรคกราวเก๋ๆ ให้ถ่ายรูปอยู่หลายแห่ง มีอควาเรียม และมีคลองโอตารุแหล่งรวมคาเฟ่ไว้ชิวๆ อีกด้วย นักท่องเที่ยวสายสงบ สายชิว สายถ่ายรูป สายวิถีชีวิต รับรองได้ว่าเมื่อมาที่นี่จะต้องตกหลุกรักอย่างแน่นอน
ไฮไลท์ของเมืองท่าอย่างโอตารุแน่นอนว่าต้องเป็นคลองสายหลักที่เนืองแน่นไปด้วยโกดังสินค้าโบราณและคาเฟ่สุดชิคมากมาย ด้วยบรรยากาศเย็นๆ และความชิวสงบร่มรื่น บริเวณนี้จึงมีศิลปินท้องถิ่นมานั่งรังสรรวาดภาพโชว์อยู่หลายคน ใครที่ชื่นชอบจะอุดหนุนเป็นของฝากของที่ระลึกก็ดูมีสไตล์ไม่เบา หรือใครจะนั่งเล่นเดินเล่นริมน้ำ พอเหนื่อยๆ ก็แวะพักที่คาเฟ่ริมน้ำก็ให้ความสโลว์ไลฟ์แบบขีดสุด ส่วนใครอยากได้ประสบการ์ณที่แตกต่างหน่อยก็ควักตังค์กระโดดลงเรือนั่งเล่นในคลองสวยๆ ไปจ้า เพราะความสงบแต่หลากหลายไม่น่าเบื่อของเมืองนี้นี่เองทำให้ที่นี่เป็นที่ชื่นชอบของทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
เดินเล่นจนอาหารมื้อเช้าที่อัดมาจากโรงแรมเริ่มหร่อยหรอ ก็ได้เวลาเติมพลังกันอีกครั้ง คราวนี้เราเลือกซูชิเจ้าดังที่หนึ่งแห่งเมืองโอตารุ เมืองท่าที่มีชื่อเสียงในเรืองของซูชิที่สดใหม่ Masa Zushi ร้านซูซิบนถนนสายซูชิที่เปิดมายาวนานกว่า 75 ปี โดยปัจจุบันมีสาขาในโอตารุอยู่สองสาขา และที่โตเกียวอีกสองสาขา ภายในร้านจะมีทั้งโซนทั่วไปที่เป็นโต๊ะๆ กับโซนหน้าบาร์ คนไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นอย่างเราแน่นอนว่าเลือกนั่งหน้าบาร์ชมเซฟปั้นซูชิทีละคำ ทีละคำตามออเดอร์ด้วยความเอาใจใส่ ได้ฟีลเหมือนกับนั่งดูการแสดงไปด้วยกินไปด้วยยังไงอย่างงั้น
กินอาหารเสร็จก็ได้เวลาแห่งการเดินย่อย เราเลือกออกมาเดินลั๊ลลาต่อที่ถนนช้อปปิ้ง Sakaimachi Street ถนนซาคาอิมาจิโตริแห่งนี้ เป็นถนนสายเศรษฐกิจที่ได้รับการอนุรักษ์ให้คงสภาพเหมือนกับในช่วงปลายยุค 1800 ต้นยุค 1900 ที่มีการติดต่อการค้ากับต่างชาติ ตึกรามบ้านช่องจึงออกแนวตะวันตกเป็นส่วนมาก แต่ก็ยังคงความเป็นญี่ปุ่นให้เราได้ชมกันอีกด้วย โดยถนนสายนี้มีทั้งแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร และพิพิธภัณฑ์อยู่หลายแห่งเลยทีเดียว
ร้านแรกที่เราแวะพักเพราะสะดุดตาในความขาวและความโมเดินร์สไตล์ตะวันตกก็คือร้าน Rokatei Otaru ร้านขนมสุดน่ารักที่มีสองชั้น โดยชั้นแรกจะขายพวกขนมนมเนย เบเกอร์รี่ และของฝากต่างๆจากฮอกไกโด และของฝากของเมืองโอตารุเองอีกด้วย ส่วนใครที่อยากจะลองชิมขนมเลยก็สามารถเดินขึ้นไปชั้นสอง ซื้อครีมพัฟ ไอติมซอฟเสิร์ฟ และขนมปังชีส (Yukikon Cheese) แล้วนั่งกินไปส่องผู้คนไปได้แบบเพลินๆ ได้ทั้งอาหารปากและอาหารตาก็ได้ ที่สำคัญถ้าซื้อขนมของเค้าหนึ่งชิ้น เค้าก็จะแถมชาหรือกาแฟให้เราฟรีเลยจ้าาาา ดีงามพระรามเก้าจริงๆ
อีกหนึ่งฉากที่ลืมไม่ลงของเรื่องแฟนเดย์ ที่ไอ้หัวหน้านางเอกมันแกล้งบอกจะเล่นมายากลให้นาฬิกาหน้าพิพิธภัณฑ์พ่นไอน้ำออกมาแล้วมีเสียงดังนั่นแหละมันคือที่นี่เลย พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ Otaru Music Box Musem มิวเซียมที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1912 ที่เราสามารถเรียนรู้ เดินเล่น และเพลิดเพลินไปในบรรยากาศสุดคลาสิคเคล้าเสียงดนตรีของกล่องดนตรี และหากติดใจยังสามารถเลือกซื้อของฝากเล็กๆ น่ารักที่มีกลไกลซับซ้อนได้จากที่นี่ด้วย
Two days in Sapporo
ซัปโปโรเมืองหลวงของภูมิภาคฮอกไกโด และเป็นเมืองที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของญี่ปุ่น เราขอใช้เวลาอยู่ทีนี่ 2 วันไปเลย โดยขอเริ่มกันที่ Hill of the Buddha หรือเนินพระพุทธเจ้า สถาปัตยกรรมจากระดับเจ้าของรางวัลพริตซ์เกอร์ ที่สุดแห่งรางวัลของสถาปนิก ที่ใช้ธรรมชาติมาเป็นส่วนหนึ่งของผลงาน และความอลังการที่สวยงามไม่ว่าฤดูร้อน ฝน หนาว แสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจและความใส่ใจของผู้รังสรร ทางเดินสู่สวรรค์ที่พวกแกควรไปเห็นกับตา เพราะหลังจากที่เราเห็นรูปจากไอจีของนักท่องเที่ยวชาวใต้หวันคนนึงเราก็ตัดสินใจเพิ่มที่นี่เป็นสถานที่ห้ามพลาดเมื่อยามมาเยือนซัปโปโรทันทีและก็ไม่ผิดหวังในความอลังการงานสร้างเลยด้วย
กินแล้วเดินย่อยแล้วกินวนไปเป็นวัฒจักรของนักเดินทางสายหิวที่แท้ทรู เพราะฉะนั้นเดินเล่นยามเช้าเสร็จก็ได้เวลากลับเข้าเมืองมากินมื้อเที่ยงแบบหอมตั้งแต่หน้าร้านกันที่ Tokachi Butadon Ippin สาขาห้าง Stellar Place ชั้น 6 ร้านข้าวหน้าหมูอันโด่งดังแห่งซัปโปโร เมนูหลักแน่นอนว่าคือข้าวหน้าหมู แต่ระดับญี่ปุ่นแล้ว ข้าวหน้าหมูก็ยังไม่ธรรมดา เพราะที่นี่เราสามารถเลือกได้ว่าอยากให้สไลด์หมูกี่ครั้ง น้ำซอสเยอะแค่ไหน ข้าวกี่ทัพพีกี่กาละมังก็เลือกได้หมด ที่สำคัญเค้าย่างกันแบบชิ้นต่อชิ้นตามออเดอร์เท่านั้น ไม่มีย่างแล้ววางทิ้งไว้แน่นอน พอข้าวมาเสิร์ฟพร้อมหมูซอสเยิ้มๆ สีเข้มๆ โรยด้วยหัวไชเท้ามาอยู่ตรงหน้า ขนาดยังไม่ทันกิน แค่ได้กลิ่นยังน้ำลายสอ ยิ่งพอได้คีบหมูนุ่มๆ ชุ่มซอสเข้าปากด้วยแล้ว บอกได้เลยว่าอร่อยยยยยย(ลากเสียงยาว) จนข้าวเม็ดสุดท้ายเลยล่ะ
กินคาวไม่กินหวานสันดารอะไรก็แล้วแต่ ขอแค่ได้กินจะให้เป็นหมาเป็นแมวก็ยอม ฮ่าๆ เลยขอมาต่อของหวานให้หวานจับใจกันที่ Shiroi Koibito Park โรงงานอันแสนหวานแห่งนี้ นอกจากจะเป็นที่ผลิตช็อกโกแลต ลุกกวาด และคุ๊กกี้ชื่อดังอย่าง langue de chat แล้วยังเป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตก็ว่าได้ เพราะด้านหลังรั้วเหล็กและดงกุหลาบคือเรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของโรงงานแห่งนี้ ที่เราจะได้รับรู้ รับฟัง และรับชม ถ้าหากอลิซมีดินแดนมหัศจรรย์อยู่ในโพรงกระต่าง ที่ญี่ปุ่นก็มีดินแดนมหัศจรรย์เป็นบ้านขนมหวานอยู่ที่ซัปโปโรนี่แหล่ะ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนมันก็ชวนฝันหวาน พร้อมกลิ่นหอมๆ ชวนเคลิบเคลิ้มตลอดทางเดิน และถ้าอยากพาความหอมหวานชวนฝันเหล่านี้กลับบ้านเค้าก็มีของฝากให้เลือกทั้งเค้ก คุ๊กกี้ และช็อกโกแลต ให้เลือกซื้อกันจนเบาหวานขึ้นตาได้ง่ายเต็มไปหมดเลยด้วยนะ และนอกจากเดินดูกับซื้อกลับแล้ว เราก็สามารถดื่มด่ำความหวานกับขนมหลากชนิดได้ที่โซนคาเฟ่เลย ส่วนเมนูที่เราเลือกทานเพื่อเพิ่มน้ำตาลในกระแสเลือดก็คือไอศกรีมช็อกโกแลตที่แสนอร่อย เข้มข้ม และหวานปานความร๊ากกกกก
Former Government Office Building หรือที่ทำการรัฐบาลเก่าฮอกไกโดแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นในปี 1888 สมัยบุกเบิกเกาะฮอกไกโด ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบอเมริกันนีโอบาโรค โดยมีสัญลักษณ์ดาวแดงบนจั่วกลางอาคารเป็นไฮไลท์ และถูกใช้งานกว่า 80 ปี ก่อนเลิกใช้ และเปิดให้เป็นที่สำหรับประชาชนและนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมหลังจากที่ทำการรัฐบาลแห่งใหม่สร้างเสร็จ ซึ่งถ้าดูจากภายนอกไม่บอกก็คงไม่รู้ว่านี่คือญี่ปุ่น ที่นี่จึงเป็นจุดที่มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเดินทางมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกอย่างมากมาย
หลังจากตะลอนถ่ายรูปมาทั้งวันวันนี้ขอเริ่มมื้อเย็นเร็วหน่อยกับ Seafood Buffet NANDA ร้านที่ถามคนไทยที่เพิ่งกลับจากเที่ยวซัปโปโรมาต้องรู้จัก และใครที่กำลังจะไปซัปโปโรต้องปักหมุดไว้ว่าจะไปโดน เพราะที่นี่คือร้านอะหารทะเลในญี่ปุ่นที่มีน้ำจิ้มซีฟู๊ดแบบไทยๆ มีเมนูทุกอย่างเป็นภาษาไทย และมีพนังงานเป็นคนไทยคอยให้บริการ ที่สำคัญคือมันสดใหม่ มีปูให้เลือกหลายพันธุ์ มีอาหารทั้งคาวและหวานหลายชนิด ในราคาบุฟเฟต์สุดคุ้ม จึงฮอตมากเฟร่อ ทั้งกับคนญี่ปุ่นและคนไทย คงไม่ต้องพิมพ์บรรยายไรเยอะแยะ เน้นดูรูปดีกว่า พิมพ์เยอะเดี๋ยวเจ็บนิ้ว ฮ่าาาา
และมื้อค่ำที่แสนเปรมปรีก็จบลงแบบฟินส์ๆ จุกๆ ในบรรยายกาศที่เราคุ้นเคย โดยเริ่มจากฟิลเนื้อข้าใครอย่าเตะ และจบลงที่เพื่อนข้ารักเองหว่ะ เนื้อข้าก็คือเนื้อเอ็ง เนื้อเอ็งก็คือเนื้อเอ็งข้ากินไม่ไหวแล้ว ก็สรวลเสร่เฮฮากันไป
หลังจากเที่ยวหนักหน่วงเหมือนไม่เคยมาญี่ปุ่นมาก่อน วันนี้เลยขอทำตัวเป็นคุณชายตื่นสาย พักผ่อนให้เพียงพอต่อการออกไปตระเวณถ่ายรูปแบบหน้าใสไร้แพนด้า โดยเริ่มที่ภารกิจหลักของเราคือการกิน และร้านที่แถวยาวแต่คุ้มแก่การรอคอยก็คือร้าน Sapporo Junren ร้านราเมงที่เปิด 11 โมง แต่แม้ว่าจะไปคอยตั้งแต่สิบโมงนิดๆ ก็ยังต้องนั่งรอเพื่อให้ได้ราเมงร้อนๆ มาอยู่ในมือ ร้านนี้ฮอตข้ามเวลามาตั้งแต่ 50 ปีที่แล้ว มีจุดขายอยู่ที่มิโสะราเม็งราเม็งห้ามพลาดของฮอกไกโด ด้วยรสชาติเค็มนิดๆ เปรี้ยวหน่อยๆ แบบธรรมชาติ ของน้ำซุปที่หมักถั่วเหลือกให้กลายเป็นมิโสะ ทานคู่กับเนื้อหมูนุ่มๆ ขนาดพอดีคำ โรยข้าวโพดหวานอีกหน่อย เพิ่มหน่อยไม้กรุบๆ กับเต้าหู้นิ่มๆ อีกนิด เพียงเท่านี้ที่นี่ก็กลายเป็นร้านราเม็งขวัญใจลูกค้าจากทั่วสารทิศได้ไม่ยาก
สำหรับสายนักกินราเม็งที่ชอบราเม็งเป็นชีวิตจิตใจ และไม่ว่าไปที่ไหนในญี่ปุ่นก็ต้องแสวงหาราเม็งมกินให้ได้ขั้นต่ำสามชามไม่งั้นไม่ยอมกลับบ้านอย่างเรา ต้องบอกเลยว่าเราชอบน้ำซุปหอมๆ เค็มๆ กับหมูนุ่มๆ ของที่นี่มาก แต่เส้นราเม็งของทีนี่ด้วยความที่เราไม่สามารถเลือกความนิ่มของเส้นได้แบบราเม็งข้อสอบ เลยยังไม่ค่อยโดนใจวัยรุ่นอย่างเราซักเท่าไหร่ แต่เมื่อกินรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกินไม่ต่างกับที่พี่ป้างบอกไว้ ซึ่งเราก็แนะนำว่าใครมาซัปโปโรทั้งทีก็ควรมาลองของเด่นของดังซักชาม ส่วนจะชอบมากชอบน้อยอันนี้ไม่ขอการันตี เพราะลิ้นใครนิยมแบบไหนย่อมต่างกันไป แต่อย่างน้อยการได้มาลองร้านที่เค้าว่าเด็ดสุดก็นับว่าเด็ดแล้วไม่ใช่หรอ เอ๊ะ หรือไม่ใช่
ระหว่างไปมิวเซียมเบียร์ซัปโปโรบังเอิญฝนตก แล้วก็บังเอิญเดินผ่านร้านกาแฟ แล้วบังเอิญว่าขาดคาเฟอีนพอดี แล้วก็เลยต้องแวะที่ร้าน Old City Apartment Cafe’ ร้านที่เรารู้สึกสะดุดตาสะดุดใจตั้งแต่ทางเข้าร้านสีเขียวหัวเป็ดที่ดูแตกต่างจากร้านญี่ปุ่นทั่วๆ ไป ยิ่งพอเข้ามาข้างในก็ยิ่งรู้สึกชอบเข้าไปใหญ่กับความวินเทจเหมือนกับเดินข้ามกระจกทวิภพกลับมาอีกสมัยนึงเลยก็ว่าได้ ไฟส้มๆ สลัวๆ กับโซฟาลายดอกไม้ยิ่งทำให้เรารู้สึกหลุดไปอีกยุคแบบขาดลอย ยิ่งหลงยุคไปกันอีกเมื่อคาปูชิโน่ร้อนๆ ถูกวางลงในขณะที่เพลงของ The Beatles ดังขึ้น
เราเลือกถูกแล้วที่มานั่งหลบฝนกันที่นี่ สั่งกาแฟคนล่ะแก้ว จิ้มมือถือ เม้ามอย ฟังเพลง ซึ่งฟังไปฟังมาเจ้าของร้านคือติ่ง The beatles แน่นอนเพราะทุกเพลงคือเพลงจากวงนี้หมดเลย แถมกวาสายตามองอย่างละเอียดก็มีแต่ภาพโปสเตอร์ของวง The beatles ถือว่าคอเดียวกัน เลยนึกถึงที่เค้าบอกว่าดนตรีนั้นไม่มีเชื้อชาติ ไม่มีศาสนา เป็นศิลปะสากลที่แม้ฟังไม่ออกก็มีความสุขได้ ฮ๋าาา
กาแฟหมดแก้วฝนเริ่มซาเรามุ่งหน้าไปยัง Sapporo Beer Museum สถานที่ๆ ถ้ามาซัปโปโรแล้วไม่มาเยือนแหล่งผลิตเบียร์ระดับโลกที่มีชื่อเดียวกับเมืองที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1877 มาจนถึงปัจจุบัน ก็คงเหมือนมาไม่ถึงซัปโปโรแน่นอน ตึกทรงยุโรปทำจากอิฐสีส้มที่มีสัญลักษณ์ดาวสีแดง เมื่อมองแว๊บเดียวก็เห็นภาพกระป๋องเบียร์อยู่ตรงหน้า ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่านี่ล่ะคือพิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโรอย่างแน่นอน เมื่อเดินเข้าไปเราก็ได้รู้เรื่องราวความเป็นมาของเบียร์ที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นยี่ห้อที่นิยมที่สุดในประเทศญี่ปุ่นกันตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน และแม้ว่าตอนนี้ที่นี่จะไม่ได้เป็นโรงกลั่นแล้ว แต่เมื่อเดินจนสุดปลายทางก็จะมีเบียร์เย็นๆ ให้เราได้ชิมกันอีกด้วยนะ
แต่หากยังไม่สาแก่ใจอีช้อยนัก ก็ให้เดินออกจากมิวเซียมไปยังสวนเบียร์ตรงทางออกก็จะมีร้านอาหาร 2 ร้าน คือ Garden Grill และ Genghis Kan Hall ให้เราได้นั่งทานบาบีคิว และจิบเบียร์เย็นๆ ในบรรยากาศแสนเป็นใจ รื่นรมย์ไปกับรสนุ่มๆ ของเบียร์แบบลืมเวลา ลืมนับแก้ว และลืมนับเงินกันเลยทีเดียว
หลังจากอยู่ในโลกของผู้ใหญ่จนมึนนิดๆ แก้มแดงหน่อยๆ ก็ได้เวลามาสลัดความเวียนหัวเพิ่มเติมความสดใสกันที่ Maruyama Zoo สวนสัตว์ประจำเมืองซัปโปโร ที่ตั้งอยู่เชิงเขามารุยามะ ที่รวบรวมสัตว์ทั้งจากเขตร้อนอย่าง เสือ สิงโต หมี และสัตว์เขตหนาวอย่าง หมีขั้วโลก หมาป่า และเพนกิ้วไว้อย่างหลากหลาย และน่าสนใจ และดูไม่ทรมานสัตว์
ซึ่งระหว่างสัตว์โลกผู้น่ารักกับอาหารอันแสนอร่อยก็ต้องยอมรับว่าเราไม่ค่อยอินกับสัตว์เท่าไหร่นัก แต่การได้มาเดินเล่นที่นี่ก็ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายอยู่ไม่น้อย แล้วยังได้เห็นความใส่ใจของคนญี่ปุ่นในการบริหารจัดการที่ดี ที่เอื้อต่อทั้งการเรียนรู้ของคน และวิถีชีวิตของสัตว์ประเภทต่างๆ และการได้มาเห็นครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่พาลูกจูงหลานมาสวัสดีทักทายสัตว์น้อยใหญ่หลายชนิด ก็เป็นภาพที่น่ารักและน่าชื่นชมมากกว่าเด็กสมัยใหม่ที่บางครั้งติดโทรศัพท์ ติดห้างมากกว่าธรรมชาติ ส่วนใครสายรักสัตว์ก็คงจะถูกจริตแน่นอน เพราะสัตว์ที่นี่ค่อนข้างเยอะ คุ้มค่าที่จะจ่ายเงินเข้ามาแน่นอน
จากสวนสัตว์เรามานั่งกระเช้ากันต่อเพื่อขึ้นไปยัง Mt.Moiwa จุดชมวิวของซัปโปโรที่ตั้งอยู่บนภูเขาโมอิวะ ที่อยู่ในป่าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของใจกลางเมืองซัปโปโร เป็นจุดที่มีชื่อเรื่องของการชมพระอาทิตย์ตกเป็นอย่างมาก แต่ด้วยแต้มบุญเราคงหมดไปกับการหาอาหาร สวรรค์เลยไม่บันดาลอากาศดีๆ มาให้เราในวันนี้ ทางเราก็ได้แต่ก้มหน้าเอามือลูบท้องรับสภาพอากาศที่แสนขมุกขมัว แต่อย่างน้อยก็ยังได้ไปสั่นระฆังสัญลักษณ์ของภูเขาเล็กๆ ลูกนี้ให้เสียงระฆังช่วยปลอบใจ และก็ยังพอได้ภาพมาเก็บไว้เป็นที่จดจำกับเอาไว้จินตนาการว่าถ้ามีแสงสีทองลอดมาจากท้องฟ้า ทาบทับผืนป่าและตูกสูงๆ มันคงจะสวยน่าดู ก่อนจะทำตาละห้อยเอามือเกาะกระเช้าก่อนเลื่อนลงมาสู่ผืนดิน
ตะลอนกันมาแต่เช้าพอลงจากเขามาพร้อมกับความผิดหวังมันก็เลยหิวและอยากได้อาหารเป็นเครื่องปลอบใจเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นเราจะไม่รอช้าไปต่อกันที่ย่าน Susukino ที่นี่นอกจากจะเป็นย่านสายบันเทิงที่โด่งดังที่สุดของซัปโปโรแล้วยังเป็นย่านบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในทางตอนเหนือของญี่ปุ่นอีกด้วย เพราะฉะนั้นถ้ามาซัปโปโรก็อย่าลืมจัดสรรเวลายามเย็นไว้เดินเที่ยวย่านนี้กันด้วยล่ะ เพราะมันคือย่านบันเทิงเริงรมย์สไตล์คนญี่ปุ่นแท้ๆ ที่มีตั้งแต่ร้านอาหารข้างทาง ร้านอาหารสุดหรู ร้านช้อปปิ้ง ไปจนถึงร้านคาราโอเกะ และร้านปาจิงโกะที่ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบแบบที่เราเห็นในหนังในการ์ตูนกันบ่อยๆ นั่นล่ะ
เที่ยวกันมาหลากหลายรสชาติหลากหายแนว พบทั้งความอร่อย ความสุข ความสงบ และความผิดหวังกันมาแบบหลากอารมณ์แล้ว เรามาขอปิดทริปกันแบบสวยๆ และไม่มีผิดหวังกันที่ Sapporo TV Tower ทีวีทาวเวอร์ซัปโปโรที่สูง 150 เมตร อันเป็นจุดชมวิวยามค่ำคืนแบบไม่ต้องง้อแดด ไม่ง้อพระอาทิตย์ เพราะไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกก็ไม่มีผิดหวัง และด้วยความสูงชวนเสียวก็ทำให้เราได้เห็นซัปโปโรยามค่ำที่สวยจับใจ ชวนหลงไหลให้กลับมาบอกต่อพวกแกแบบที่เห็นในรูปนี่ล่ะ ยิ่งวิวด้านที่เห็นสวนสาธารณะและเมืองโดยรอบที่ต่างพร้อมใจกันเปิดไฟไล่ความมืด และเพิ่มสีสันให้กับเมืองเบียร์แห่งนี้แล้วบอกได้เลยว่าที่นี่เป็นสถานที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งเมื่อได้มาเยือนซัปโปโรเลยล่ะ
และการเดินทางสู่ภูมิภาคสุดท้ายของญี่ปุ่นของเราก็จบลงแบบงดงาม ประทับใจเหมือนกับการมาญี่ปุ่นทุกครั้ง และแน่นอนว่าแม้นี่จะเป็นการเดินทางจนทั่วญี่ปุ่นของเราแล้วมันก็จะไม่ใช่การเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งสุดท้ายของเราอย่างแน่นอน เพราะการเดินทางไปญี่ปุ่น มันก็เหมือนกับการเดินทางที่มีเพียงจุดเริ่มต้น แต่ไม่เคยมีจุดจบ เพราะในสายตาของเราญี่ปุ่นยังคงเป็นหญิงสาวที่เราหลงรักและน่าค้นหาอยู่เสมอไม่ว่าจะเจอกันกี่ครั้ง เธอก็เหมือนยิ่งมีเสน่ห์ทำให้เราต้องมนต์ทุกครั้งไป แต่แกอย่าเชื่อทุกอย่างที่เราพูดง่ายๆล่ะ เราอยากให้แกออกเดินทางหาหญิงสาวที่แกอยากชื่นชม หาเพื่อนที่จะทำให้แกนึกถึงทุกครั้งที่เหงา หาเส้นทางที่แกไม่อาจลืมเลือนด้วยตัวแกเอง