หนังสือที่สนุกที่สุดคือหนังสือที่เราได้อ่าน ภาพที่สวยที่สุดคือภาพที่เราได้เห็นด้วยตา การเดินทางที่ดีที่สุดคือเส้นทางที่เราได้ไปสัมผัส ชีวิตที่ดีที่สุดคือชีวิตของเรา … ต่อให้มีหมื่นล้านเรื่องราวที่เราได้อ่าน มีสิบจุดหมายที่อยากจะไป มีอาหารร้อยเมนูที่อยากจะกิน แต่ถ้าไม่ได้ไปทำสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง มันก็ไม่มีค่าอะไร เสียงลือเสียงเล่าอ้างของเมืองจีนมีหลายสิบข้อที่เราเฝ้าถามตัวเองว่าจริงหรอ แต่ก็ปล่อยให้คำถามคาใจมาเนิ่นนาน แต่วันนี้เราจะไม่ปล่อยเรื่องดีๆ ให้อยู่แค่ความสงสัย ไม่ปล่อยอาหารน่าทานให้ได้จินตนาการแค่ในไอจี แต่เราจะเดินทางเหินฟ้าสู่โพ้นทะเลแห่งแดนมังกร เพื่อชมสิ่งสร้างที่มีอายุพันกว่าปีจนถึงสิ่งสร้างของจีนยุคใหม่ที่เก๋ไก๋กว่าที่คิด ชื่นชมวัฒนธรรมที่คุ้นตา กินอาหารทะเลสดๆ และชิมอาหารจีนที่แปลกตา ก่อนกลับไทยมาจดทุกเรื่องราวที่น่าประทับใจเพื่อเป็นแรงบันดาลใจสำหรับนักเดินทางทุกคน!!! มาร่วมหาคำตอบเพื่อสร้างคำถามและบินตรงจาก กรุงเทพฯ หรือ ภูเก็ต ไปเที่ยว Xiamen – Fuzhou กันเถอะ
Xiamen กับ Fuzhou เป็นเมืองที่อยู่ในมณฑลฝูเจี้ยน ถ้ายิ่งฟังก็ยิ่งงงงั้นเอาใหม่ ทั้งสองเมืองอยู่ในมณฑลฮกเกี้ยนมณฑลบ้านใกล้เรือนเคียงของไต้หวัน พอคุ้นขึ้นมั้ย หรือถ้ายังไม่คุ้นให้นึกถึงอาหารท้องถิ่นอันโด่งดังของเมืองภูเก็ตอย่างหมี่ฮกเกี้ยนดู ถ้าพอจะรู้สึกใกล้ชิดขึ้นแต่ยังอยากรู้จักสองเมืองมากกว่านี้ก็ต้องตามอ่านรีวิวนี้นะจ๊ะ เพราะเราจะพาชมสิ่งสร้างและวัฒนธรรมสุดเลอค่าระดับมรดกโลกถึงสองแห่งในทริปเดียว ณ หมู่บ้านดินที่บ้านทุกหลังสร้างจากดิน ทราย และขี้เถ้า ที่ผ่านพายุและสงครามมานานนับพันปีแต่ยังแข็งแรงอยู่ดีราวเพิ่งสร้างใหม่ และไปปล่อยตัวปล่อยใจที่เกาะเปียโนโลกดนตรีในฝันที่เป็นจริง ไปเดินตลาดกลางคืนที่ใหญ่ขนาดหนึ่งล้านตารางเมตรเพื่อชิมอาหารจนพุงเกือบแตก ไปไหว้พระในวัดที่อายุพันกว่าปีที่เมืองเซี่ยเหมิน ก่อนนั่งรถไฟความเร็วสูงมุ่งสู่เมืองฝูโจว ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะกลางเมืองเพื่อเชยชมไข่มุกแห่งเมืองฝูโจว แล้วไปเยี่ยมชมแพนด้าจอมง่วงแบบใกล้ชิ๊ดดดด แวะชมพระอาทิตย์ตกบนสะพานเหนือยอดไม้ และลงมาหาชาบูหมาล่าทานแบบฟินๆ
Day 1 — Go to Xiamen, Zhongshan Road Walking Street
ไปแดนมังกรทั้งที เราขอไปแบบผงาดๆ เชิดๆ เลิศๆ กันสักหน่อย เราเลือกบินกับ Xiamen Airlines ( เซี่ยเหมินแอร์ ) สายการบินฟูลเซอร์วิส หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มสกายทีม (SkyTeam) ที่มีฐานการบินอยู่ที่เมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน ที่ให้แกเลือกได้ว่าจะบินตรงจากกรุงเทพหรือภูเก็ต ไปยังเมืองเซี่ยเหมินหรือฝูโจวถึงสองเที่ยวบินต่อวัน หรือถ้าแกอยากไปเมืองอื่นๆ ใดๆ ในจีนเค้าก็มีให้เลือกอีกกว่า 50 เส้นทาง แต่ถ้าจีนยังใกล้ไปอยากนั่งยาวๆ ไปอเมริกาหรือยุโรปก็สามารถบินกับเซี่ยเหมินแอร์แล้วมาพักต่อเครื่องที่เซี่ยเหมิน (Stop over) หากพักต่อเครื่องแป๊บๆ เค้าก็มีเลาจ์ไว้คอยบริการ หรือถ้ารอต่อยาวหลายชั่วโมงจะออกไปเที่ยวเมืองเซี่ยเหมินเค้าก็มีรถบัสบริการฟรี แต่ถ้าหากอยากนอนพักทางสายการบินก็มีบริการโรงแรมสุดหรูให้พักฟรีให้อีกด้วย โอ้โห เรียกได้ว่า transfer service เค้าครบครันจริงๆ และถ้าถามว่าสายการบินนี้จะไว้ใจได้แค่ไหน ก็บอกได้แค่ว่าเค้าก่อตั้งและให้บริการในด้านธุรกิจการบินมาแล้วกว่า 34 ปีแล้วจ้า เพราะฉะนั้นสบายใจหายห่วงในเรื่องของการบริการและการบินได้เลยจ้า
ปกติเซี่ยเหมินแอร์จะมีบินตรง BKK – XMN 2 เที่ยวบินต่อวัน แต่ทริปนี้เราเลือกบินไฟลท์ MF854 ซึ่งออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เวลา 12:50 ถึงเซี่ยเหมินประมาณ 16:45 โดยใช้เวลาบินราวๆ 3 ชม. 15 นาที ซึ่งถือว่าไม่นานจนเกินงาม จะไปกับเพื่อน กับพ่อแม่ กับลูกเด็กเล็กแดงก็ยังไหวๆ เพราะนอกจากเวลาการเดินทางที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ขนาดของเครื่องและที่นั่งก็กำลังสบายๆ ไม่อึดอัด ส่วนการบริการบนเครื่องก็เรียกว่าครบสมบูรณ์แบบไม่ว่าจะเป็นอาหารเครื่องดื่ม สื่อบันเทิงต่างๆ อันได้แก่ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ นิตยสาร และเกม สมมาตรฐานฟูลเซอร์วิส ที่เพิ่มเติมคือความน่ารักยิ้มง่ายของพี่แอร์และสจ๊วต ที่คอยเอาใจใส่ถามไถ่ความต้องการทุกครั้งที่สบตา แถมแต่ละคนก็ขาวใสวัยกระเตาะ ตัวเล็กสเปคเฮีย จนเกือบจะเผลอนึกไปว่าเค้าแอบชอบเรารึเปล่า โชคดีที่เห็นก่อนว่าเค้าทำแบบนี้กับทุกคนเลยได้แต่ตัดใจ หันมานั่งดูหนังรักต่อคนเดียวแบบเหงาๆ พร้อมตักอาหารอร่อยๆ ให้ช่วยเยียวยาจิตใจแทนต่อไป
เดินทางมาถึงเซี่ยเหมินก็ยามเย็นเวลาอาหารค่ำ เราไม่รีรอที่จะเช็คอินเข้าที่พักเก็บข้าวเก็บของเตรียมออกนอกห้อง มุ่งหน้าสู่ Zhongshan Road Walking Street หรือถนนคนเดินจงซานลู่ ถนนสายเศรษฐกิจของเซี่ยเหมินที่ใหญ่ขนาดหนึ่งล้านตารางเมตรที่เนืองแน่นไปด้วยร้านค้าที่หลากหลายและผู้คนที่มากมายในบรรยากาศที่ชิคเก๋กว่าใคร จนเผลอเอามือทาบอกแล้วอุทานว่า ขุ่นพระ!! ก่อนจะขยี้ตาแรงๆ แล้วลืมตามาดูอีกทีว่าเราอยู่จีนจริงๆ ใช่ไหม เพราะถนนที่เราเดินคือมันเก๋ไก๋สไตล์ยุโรปมากเว่อร์ คือดูสวยงาม ชิคคูล ดูแพง และไม่อึดอัดเวลาเดิน เพราะถนนมันกว้างและแตกแยกย่อยไปอีกมากมายหลายแขนงมากๆ แต่พอเดินจากถนนเส้นหลักแล้วเลี้ยวเข้าซอยก็ให้ความรู้สึกแบบเดินยุโปรอยู่ดีดีโผล่ประเทศจีนเหมือนเดิมเฉยเลย แต่ในความเป็นจีนมันก็คือจีนที่ละเมียดละไม สวยงามนะ สังเกตได้จากร้านทุกร้านเค้าจะใส่ใจในการตกแต่งร้านของตัวเองให้มีเอกลักษณ์ มีความน่ารักอยู่ในทุกๆ ร้าน ไม่ว่าจะขายของอะไรก็ตามจะจีนแค่ไหนก็ขอให้ชิคเก๋ ล้ำยุคล้ำสมัยไว้ก่อน
ด้วยความที่มันใหญ่มาก แต่มันก็สวยมากเราจึงเดินได้เรื่อยๆ เพลินๆ ไม่มีเบื่อ เพราะของมันเยอะจริง เดินดูตาแตกเท้าแตกก็ยังไม่หมด มาเดินถนนสายนี้อย่าเรียกว่าสายเปย์เลยให้เรียกว่าสายเทเถอะ เพราะของมันมากมายหลายสิ่งแถมราคาก็ดีงามอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นร้านขายเสื้อผ้าที่มีทั้งแบรนด์เนมไฮเอนด์ หรือแบรนด์ท้องถิ่น ร้านขายของฝาก ขายของตัวเอง ของที่ระลึก รวมถึงร้านอาหาร รถเข็นอาหาร ก็หนาแน่นมาก ยิ่งเดินเข้าซอยเล็กไปมันคือสวรรค์ของนักกินโดยแท้ เพราะมันจะเป็นเหมือนสตรีทฟู๊ดที่มีของให้เราเลือกกินได้แบบมากมาย ทั้งเต้าหู้เหม็น อาหารทะเลที่สดมาก อาหารเสียบไม้ย่างโรยพริกหม่าล่า ชานม และไอศกรีม ให้แกเลือกเปย์เลือกเทกระเป๋าตังค์กันได้แบบตลอดทางอ่ะ ส่วนรสชาติเราถือว่าอร่อยถูกปากเราเลยนะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมาลองแล้วตัดสินเองนาจา
หลังจากตระเวนกินเราเลยขอทำโพล 5 เมนูอาหารที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนถนนคนเดินจงซานลู่มาให้ (ลำดับไม่ได้เรียงตามคะแนน(คะแนนเป็นความเห็นส่วนตัวล๊วนล้วน ถ้าคิดไม่ตรงกันอย่าว่าเราน้า)) เจลลี่หอย และซีฟู้ด ที่รสชาติเปรี้ยวๆ จากซอสเปรี้ยวได้ความหวานและสดจากอาหารทะเลบวกความเด้งดึ๋งที่อยู่บนลิ้นเป็นสัมผัสใหม่ที่น่าลอง, หอยทอดจงซานลู่ หอยทอดที่อร่อยจนต้องถือชามรอ เพราะร้านเค้าจะแจกชามพลาสติก เราก็ถือไว้และยืนรอต่อคิว คนขายผัด ๆ ผัดเสร็จเราก็เดินแถวตอนเรียงหนึ่งเอาจานยื่นให้คนผัดจ่ายเงินและกินได้ ซึ่งพอชิมก็แบบดีย์อะแก จานต่อมา คือบรรดาซีฟู้ดทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นกุ้งตัวใหญ่ ปูยักษ์ตัวใหญ่ และอีกสารพัดหอยย่างบนเตาถ่านร้อนๆ ที่เนื้อแน่น สด และราคาไม่แพง ถัดมาคือเมนูยอดฮิตที่ติดกินตั้งแต่ที่ไทย นั่นคือเมนูหม่าล่า โดยเฉพาะปลาหมึกปิ้งราดด้วยพริกหมาล่า เผ็ดร้อน อร่อยเหาะ และเมนูสุดท้ายก็คือ หอยนางรมย่างที่ให้ฟีลเหมือนกินอยู่เจแปนแดนซากุระ โดยภาพรวมคืออาหารทะเลดีย์ ดีย์มาก ดีย์ที่สุด ดีย์ที่สด
นอกจากอาหารกระเพาะจะดีแล้ว อาหารตาก็แซ่บไม่แพ้กัน เพราะเหล่าพ่อค้าแม่ขายอาตี๋อาหมวยคือยืนส่งยิ้มหวาน พูดจาดูน่าฟัง (แต่ฟังไม่ออก) เหมือนกำลังแข่งประกวดนางสาวสยามอยู่ยังไงยังงั้น ยิ่งทำให้เรารู้สึกชื่นใจในมิติใหม่ๆ ของพี่จีนที่เราได้พบอีกหลายขุม ก่อนจะเดินลากขาลากพุงพาแก้มยุ้ยๆ ของตัวเองกลับห้องนอนในคืนนี้อย่างสงบสุข เพราะฉะนั้นเราบอกได้เพียงว่าใครมาเที่ยวเซี่ยเหมินก็ควรมาสัมผัสชีวิตยามค่ำคืนที่นี่แล้วแกจะหลงรักจีนมากขึ้นอีกหลายขีด
Day 2 — One day trip in Tulou
เช้าวันที่สองเราเดินทางไปยังเมืองมรดกโลกแห่งที่ 36 ของประเทศจีน นั่นก็คือบ้านดินถู่โหลว แห่งเมืองหนานจิ้ง หมู่บ้านในหุบเขาที่บ้านทุกหลังสร้างมาจากดินเหนียวที่ผสมกับทรายและขี้เถ้า เป็นหมู่บ้านของชาวจีนแคะที่ถูกสร้างมากว่า 700 ปี ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12-20 โดยส่วนมากมีรูปทรงเลขาคณิต ไม่ว่าจะสี่เหลี่ยม วงกลม แปดเหลี่ยม หรือครึ่งวงกลม โดยขึ้นอยู่กับภูมิทัศน์ในบริเวณนั้น รวมถึงความมั่งคั่งของเจ้าของตระกูลด้วย เพราะบ้านแต่ละหลังจะอยู่รวมกันเป็นตระกูล แต่บางหลังที่ใหญ่มากๆ ก็อาจจะอยู่รวมกันมากกว่าหนึ่งตระกูลก็ได้ ทำให้บ้านแต่ละหลังมีความสูงสองถึงสามชั้น มีห้องต่างๆ มากมาย ซึ่งมีการค้นพบว่าหลังที่มีคนอยู่มากที่สุดคือ 800 คนในหลังเดียวกันด้วย และสาเหตุที่ทำให้เมืองแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกก็เพราะภูมิปัญญาอันน่าทึ่งที่สามารถนำดินเหนียวอันเป็นวัตถุดิบธรรมชาติมาสร้างบ้านที่มีขนาดใหญ่และมีความคงทนแข็งแรง แม้ว่าจะเจอภัยภิบัติแผ่นดินไหว รวมถึงสงครามใดๆ แต่บ้านดินเหล่านี้ก็ยังแข็งแรงและอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ รวมถึงการคำนวนลักษณะการสร้างได้อย่างชาญฉลาด ทำให้บ้านดินจะให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว ให้ความเย็นในฤดูร้อนได้อย่างเหมาะสม กอปรกับการที่แข็งแรงอยู่มาอย่างยาวนาน ภายในบ้านดินจึงมีการสร้างที่ประณีต มีวัฒนธรรมและศิลปะที่สืบทอดมาอย่างยาวนานจนกลายเป็นสมบัติของคนรุ่นหลัง ทำให้มีบ้านดินจำนวน 46 หลัง ได้รับการขึ้นทะเบียนและอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกโลกจากบ้านหลายพันหลังคาเรือน
อย่างที่บอกว่าที่นี่คือหมู่บ้านบ้านดินที่มีขนาดใหญ่หลายพันหลังคาเรือน แต่ทีเด็ดที่ควรไปเยือนคือ 1 ใน 4 บ้านดินเหล่านี้
1) Chuxi Tulou Cluster (初溪土樓群) บ้านดินที่อยู่ไกลจากหลังอื่นๆ สักหน่อย แต่โดดเด่นที่วิวจากหน้าต่างของบ้านหลังนี้จะเป็นมุมสูงกว่าเพื่อน เพราะต้องเดินขึ้นเขามาจึงทำให้เราได้ชมทัศนียภาพของหมู่บ้านอย่างชัดเจน
2) Jinqilou (集庆楼) เป็นบ้านดินทรงกลมที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุด ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1628 แต่ก็ยังคงทนแข็งแรงสวยงามและเราสามารถเดินขึ้นไปดูชั้นบนของบ้านได้ด้วย ส่วนด้านล่างเค้าก็จะมีการทำเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับชาวฮักกะให้ได้เดินดู
3) Tianloukeng Tulou Cluster (田螺坑土楼群) บ้านดินที่ป๊อบปูล่ามากที่สุดในหมู่นักท่องเที่ยวและหมู่ทัวร์ เพราะมันคือบ้านดินที่มีทัศนียภาพโดดเด่นต่างจากบ้านอื่นๆ เพราะเมื่อมองจากจุดชมวิวจะเห็นบ้านดินทรงสี่เหลี่ยม 1 หลังตั้งตรงกลาง ล้อมรอบด้วยบ้านดินทรงกลม 4 หลัง เรียกว่า “four dishes and one soup”
4) Gaotou Tulou Cluster (高北土樓群) โดยไฮไลท์ของที่นี่คือ Chengqilou (承啟樓) หรือ King of Tulou เป็นบ้านดินทรงกลมที่ใหญ่ที่สุด ถ้ามองจากด้านบนลงมาจะเห็นว่ามีวงกลมซ้อนกัน 4 วง โดยเป็นบ้านหลังที่เราเบียดเสียดกับคนมากที่สุด เพราะมันดังและเค้าเปิดให้ดูแค่ชั้นล่างชั้นเดียวเลยค่อนข้างจะแออัด ที่สำคัญถ้าอยากได้รูปด้านบนต้องให้คนของ Tulou ถ่ายให้เท่านั้น เพราะด้านบนของที่นี่เค้าไม่ให้ขึ้นไป
นอกจากบ้านดินก็จะมีหมู่บ้านริมน้ำที่น่าสนใจคือหมู่บ้าน ยวินชุ่ยเหยา Yun Shui Yao เส้นทางเดินอันแสนโรแมนติกนี้มีอายุกว่า 600 ปี ตลอดเส้นทางเราจะได้เห็นความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย บ้านเรือนที่เก่าแก่ สายน้ำที่สวยงาม ต้นไทรที่ใหญ่โตแข็งแรง และโปสเตอร์ดารากระจายตัวอยู่หลายแห่ง เพราะที่นี่คือสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ดราม่าเคล้าน้ำตา เรื่อง ยวินชุ่ยเหยา ยิ่งถ้ามาหน้าหนาว หรือหน้าฝนจะยิ่งโรแมนติกกว่านี้อีกหลายเท่าตัว
การมาเที่ยวบ้านดินสามารถเลือกจอยกรุ๊ปทัวร์ตามโปรแกรมที่เค้าจัดมาให้อยู่แล้ว ซึ่งราคาก็จะรวมทุกอย่างทั้งค่ารถ อาหารเที่ยง ค่าเข้าชมบ้านดินบางส่วน (เพราะมันใหญ่มากหนึ่งวันก็ดูไม่ทั่ว) หรือใครอยากเลือกสถานที่ๆ จะไปเองกำหนดเวลาเองก็สามารถเลือกเป็นไพรเวททัวร์ได้เช่นกัน แต่ก็จะมีราคาแพงกว่า โดยทัวร์ทุกแบบสามารถติดต่อได้ที่โรงแรมเลยส่วนใหญ่เค้าก็จะมีคอนแทคไว้ให้เราอยู่แล้ว และสำหรับเราการมาบ้านดินครั้งนี้กับการรับรู้ว่านี่คือมรดกโลกแห่งที่ 36 ของจีน ยิ่งทำให้เราอึ้งและยกย่องในความเป็นจีนมากขึ้นไปมากกว่าเดิมอีกว่ายังมีที่เที่ยวที่ชวนตะลึงรอให้เราไปสัมผัสอีกหลายแห่ง และที่นี่ก็ทำให้เราอึ้งกับความรู้ความสามารถของชาวจีนในสมัยก่อนที่นำเอาของธรรมชาติมาสร้างหมู่บ้านได้ใหญ่โต อลังการ คงทน และสวยงามขนาดที่ว่าคนจีนยังบอกว่าต้องมาที่นี่ให้ได้สักครั้งก่อนตายเลยล่ะ
Day 3 — Zeng Cuo An Village, Nanputuo Temple, Gulangyu Island
เริ่มต้นวันที่สามแบบสดใสซาบซ่ากันที่ Zeng Cuo An Village หมู่บ้านชาวประมงบริเวณทิศใต้ของเซี่ยเหมินแห่งนี้เป็นหมู่บ้านชาวประมงพื้นบ้านที่ได้ก่อตั้งขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง เพื่อทำการประมงและการทหารเพราะเป็นพื้นที่ชายฝั่ง โดยแต่เดิมไม่ได้มีนักท่องเที่ยวมากมายเหมือนอย่างในปัจจุบัน แต่หลังจากที่นักศึกษาของมหาลัยเซี่ยเหมินได้มาเปิดแกลอรี่ ร้านกาแฟ ร้านค้าต่างๆ ที่นี่ จึงเป็นการผสมผสานระหว่างความพื้นบ้านดั้งเดิมที่เรียบง่าย และศิลปะที่จัดจ้านไว้ด้วยกันอย่างลงตัวจนกลายมาเป็นอีกหนึ่งจุดหมายฮอตฮิตของนักเดินทาง ที่สามารถมาเดินเล่นถ่ายรูปกับมุมศิลปะบนผนังและร้านเก๋ๆ หรือมานั่งคาเฟ่ชิวๆ พร้อมทั้งมาเลือกชิมอาหารทะเลสดๆ หลากหลายเมนู เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่ครบเครื่องเลยทีเดียว
อย่างที่บอกว่าที่นี่คือเมืองชายฝั่งที่ทำการประมงดังนั้นนอกจากวิวทะเลสุดชิลแล้ว อาหารทะเลที่เป็นแนวสตรีทฟู๊ด คืออีกหนึ่งความโดดเด่นของที่นี่ คล้ายๆ กับถนนคนเดินที่เราไปในคืนแรก ต่างกันที่ว่าที่นี่คือถนนสายของกินซะส่วนมาก มื้อเช้าของเราในวันนี้จึงตรงกับหลักการกินที่บอกว่าให้ทานมื้อเช้าอย่างราชาเป็นที่สุด เพราะมันครบทั้ง คาว หวาน เครื่องดื่ม ผลไม้ มากมายจนพุงกางเกือบต้องอาศัยการกลิ้งแทนการเดินเที่ยวซะแล้ว
จุกๆ กับมือเช้าแบบราชาก็ได้เวลาเดินย่อยกันเล็กน้อย เพราะที่นี่ยังมีร้านของฝากน่ารักๆ แบบอาร์ตๆ ให้เราเลือกอีกหลายร้าน อย่างร้านที่เราชอบมากร้านนี้คือร้านขายเครื่องปั้นดินเผา ที่เราสามารถเลือกซื้อจากที่เค้าทำสำเร็จไว้แล้วก็ได้ หรือจะเลือกลงมือปั้นแสดงฝีมือสร้างผลงานหนึ่งเดียวในโลกไว้ให้ลูกหลานจดจำด้วยตัวเองก็ได้เช่นกัน ส่วนใครทำไม่เป็นก็ไม่ต้องกลัวนาจา เพราะเค้าก็จะมาช่วยสอนปั้น สอนขึ้นรูป จนสำเร็จออกเป็นชิ้นงานที่ใช้ได้จริง ถ่ายอวดเพื่อนๆ ลงไอจีว่านี่บินมาทำแก้วถึงจีนเลยจ้าาาาา
ถัดจากหมู่บ้านชาวประมงไปไม่ไกลเราก็มาถึง Nanputuo Temple วัดที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานกว่าพันปีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ผ่านการเบียดเบียน กัดกร่อนทั้งจากกระแสลมและสงครามมาในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมมาอย่างนับครั้งไม่ถ้วน แต่สิ่งที่ปกป้องให้วัดนี้ยังคงยืนหยัดสง่างามเผยแผ่ศาสนาและเป็นที่พักใจของเหล่านักเดินทางมีเพียงสิ่งเดียวนั่นคือความศรัทธา ที่ไม่ว่าจะถูกทำลายลงอย่างไรก็จะถูกกอบกู้และสร้างขึ้นใหม่ทุกครั้งไป ด้านหน้าวัดคือทะเลสาปดอกบัวขนาดใหญ่ ภายในตรงทางเข้ามีวิหารจตุโลกบาลเป็นเส้นทางที่จะพาทุกคนทอดไปยังวิหารพระไตรปิฎก และเจ้าแม่กวนอิมปากพันกร พันเนตร ที่มีดวงตาเล็กๆ อยู่บนกรสีทองสง่างาม
ที่นี่เป็นวัดดังที่มีผู้คนมากมายจากทั่วโลกเดินทางมาเพื่อขอพร ทั้งลูกเด็กเล็กแดง วัยรุ่น อากงอาม่าก็มารวมกันอยู่ที่นี่ มันจึงตลบอบอวนไปด้วยความศรัทธา และกลิ่นธูป แต่อย่ามัวขอพรหรือมองคนจนลืมเดินชมสถาปัตยกรรมภายในวัดตั้งแต่พื้นจรดเพดานของที่นี่ล่ะ เพราะมันสวยงาม ประณีต งดงาม และแสดงถึงความเข้มแข็งที่ผ่านกาลเวลามาพันกว่าปีเช่นนี้ได้อย่างสวยงามจริงๆ
ช่วงเช้าจบไปแบบอิ่มท้องอิ่มบุญ บ่ายนี้เราจะพาทุกคนนั่งเรือไปเสพสถาปัตยกรรมแบบชิวชิวกันที่ เกาะเปียโน หรือ เกาะกู่ลั่งหยวี่ (Gulangyu Island) อดีตพื้นที่เขตเช่าร่วมนานาชาติในปี 1902 ที่จีนได้เริ่มทำการเปิดประเทศในช่วงยุคล่าอาณานิคม ทำให้ที่นี่เป็นเมืองท่าที่นานาประเทศเดินทางมาตั้งรกราก จนเกิดการหลอมรวมของวัฒนธรรมของจีนและต่างชาติเข้าทีละนิดๆ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม รวมถึงความนิยมชมชอบในดนตรีสากล โดยเฉพาะเปียโนที่แพร่หลายมากจนบ้านทุกหลังต้องมีเปียโนอย่างน้อยบ้านละหนึ่งหลังจนกลายมาเป็นชื่อเกาะเปียโน ก่อนที่จีนจะเข้ายึดพื้นที่ทวงคืนสิทธิขาดการปกครองเกาะเปียโนกลับคืน และเมื่อปี 2560 เกาะเปียโนได้รับการขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกแห่งใหม่ โดยมีอาคาร 931 หลัง จาก 2,000 หลัง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอาคารประวัติศาสตร์ เพราะที่นี่ได้รับการดูแลอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง ธรรมชาติต่างๆ โดยจีนได้กำหนดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมได้ไม่เกินวันละ 65,000 คนเท่านั้น รวมทั้งไม่ให้มีการใช้รถยนต์บนเกาะแห่งนี้ การท่องเที่ยวที่นี่เราจึงต้องเลือกว่าจะเดินหรือนั่งรถไฟฟ้าชมรอบเกาะเท่านั้น
และด้วยความที่มันคือการผสมผสานกันแบบค่อยเป็นค่อยไปทุกอย่างมันเลยดูลงตัว ดูเหมือนเกิดมาเพื่อกันและกัน ให้เดินเพลินๆ เรื่อยๆ เปื่อยๆ ทั้งวันก็ยังไม่ครบเพราะที่เที่ยวที่น่าสนใจมีเยอะมากมายทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ ตึกโบราณ สถานกงสุล พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ แต่ที่เราแนะนำว่าแกควรไปคือ พิพิธภัณฑ์เปียโนที่มีแห่งเดียวในโลก อาคารสองชั้นบนเนื้อที่กว่า 450 ตารางเมตรคือสถานที่รวบรวมเปียโน 70 หลังที่มีความโดดเด่นต่างกันออกไปที่ต่อให้แกไม่ชอบดนตรีแกก็ควรมาถ่ายรูปเก๋ๆ กับสถานที่ที่มีแห่งเดียวในโลกไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดี และถ้าใครเป็นสายชิลก็แนะนำว่าให้เดินกันต่อที่ชายหาดให้ลมตีหน้าเล่นสักสองสามรอบ ก่อนเดินขึ้นจุดชมวิว Sunlight Rock บนยอดเขาสูง 93 เมตร ที่เป็นจุดสูงสุดของเกาะเปียโนแห่งนี้เพื่อชมวิวให้เต็มตา และถ้าโชคดีก็อาจจะมีเสียงของเปียโนล่องลอยมาตามลมให้ได้ชมวิวเคล้าเสียงเพลงอีกด้วย ส่วนถ้าใครยังมีแรงเหลือๆ ก็สามารถเดินชมอาคารเก่าแก่มากกว่า 2,000 หลัง ให้หน้ามืด ตาลาย หมดเวลา หมดวัน กันได้แบบไม่มีเบื่อ
เดิมไปชมไปถ้าท้องไส้เริ่มร้องเรียนที่นี่ก็สามารถหาร้านเก๋ๆ คาเฟ่เท่ห์ๆ ไว้เติมพลังได้อย่างมากมายทั่วหัวระแหงของเกาะสมกับหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยเสียงดนตรีจริงๆ ยิ่งถ้าใครมีเวลาสามารถค้างคืนบนเกาะแห่งนี้เราก็แนะนำเลย เพราะขนาดแค่เรามองจากบนเรือกลับมายังฝั่งเซี่ยเหมือนเมื่อตอนต้องกลับได้ทันเห็นแสงไฟของตึกเก่าโบราณสะท้อนกับผืนน้ำดูระยิบระยับมันคือฟินส์มาก เหมือนที่นี่เป็นดินแดนในฝันที่แสนจะโรแมนติกที่ทำให้จินตนาการเราล่องลอยไปไกลเลยล่ะ
Day 4 — Trin to Fuzhou, Fuzhou West Lake Park, Fuzhou Panda World, Jinniu Moutain and Shabu Shabu Fashion Hot Pot
สายวันที่สี่เราเช็คเอาท์แล้วออกเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงจากเซี่ยเหมินไปเที่ยวต่อกันไปเมือง Fuzhou พอเช็คอินเข้าโรงแรมทานมื้อเที่ยงกันเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาออกไปเที่ยวชิวชิวยามบ่ายเสมือนเป็นคนจีนวัยทำงานกับวันพักผ่อนสุดสัปดาห์กันที่ Fuzhou West Lake Park ทะเลสาปที่มีอายุกว่า 1700 ปีแห่งนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ทะเลสาปทางตะวันตกของจีน ด้วยพื้นที่สองร้อยกว่าไร่ใจกลางเมือง แต่กว่า 180 ไร่ ภายในสวนแห่งนี้เป็นพื้นที่น้ำทั้งหมด ที่นี่จึงได้รับฉายาว่าไข่มุกในสวนฟูโจว ภายในมีเส้นทางเดินเล่นที่สวยงามและสถานที่อีกหลายแห่ง มันจึงเป็นเสมือนสวนสาธารณะขนาดยักษ์ที่ผู้คนต่างมาใช้พักผ่อนหย่อนใจได้อย่างเต็มที่
ด้วยความมโหฬารของมันที่นี่จึงมีสถานที่แยกย่อยไปอีกหลายแห่งที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น Willow Bank เส้นทางเดินอุโมงค์ต้นหลิวและต้นพีชที่จะบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่ยาว 139 เมตร เป็นประตูแห่งการต้อนรับที่แสนสดชื่นและเชิญชวนให้เดินล่องลอยปล่อยกายปล่อยใจเข้าไปเสียจริงๆ ถัดไปอีกสักหน่อยเราจะเจอตึกที่เก่าแก่ที่สุดในสวนแห่งนี้ นั่นก็คือวัด Kaihua ที่อยู่ใจกลางเกาะ Kaihua ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ราชวงศ์ซ่ง ก่อนจะได้รับการบูรณะในช่วงราชวงศ์หมิงและชิง ที่นี่นอกจากเข้ามาไหว้พระแกก็สามารถเข้ามาเดินเล่นชมต้นลิ้นจี่ และรากไม้โบราณแกะสลักได้ นอกจากนี้บนเกาะ Kaihua ที่อยู่ใจกลางสวนแกยังสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์และอาร์ตแกลอรี่ ไปจนถึงนั่งดูเด็กๆ เล่นกันที่สนามเด็กเล่นได้ด้วย ก่อนออกจากสวนอย่าพลาดที่จะแวะ Gengyi Pavilion หมู่บ้านสถาปัตยกรรมโบราณที่ล้อมรอบไปด้วยผืนน้ำและดอกบัวจนแกสามารถได้กลิ่นหอมๆ ของดอกบัวล่องลอยมากับสายลม และไฮไลท์ที่ถือว่าเด็ดสำหรับเราก็คงเป็นการนั่งเรือรอบทะเลสาบรับชมชมวิวแบบเพลินๆ
ติดๆ กันกับทะเลสาปมีสถานที่หนึ่งที่จะทำให้แกยิ้มตลอดเวลานั้นก็คือ Fuzhou Panda World สถานที่อยู่ของน้องๆ แพนด้าที่เราได้แต่เฝ้าดู เฝ้าชมผ่านทีวีและจอมือถือตลอดมา แต่วันนี้ความฝันกำลังจะเป็นจริง เรากำลังจะได้พับกบ พบกับเจ้าแพนด้าตัวน้อยหลากหลายสายพันธุ์และครอบครัวหมีแบบตัวจริงเสียจริง ที่น่ารักมุ้งมิ้งจนเราต้องพูดเสียงสอง เสียงสามกับแพนด้าตลอดเวลา ที่นี่ตั้งอยู่บนพื้นที่ของภูเขา Dameng ทางตะวันตกของ Fuzhou เป็นทั้งสวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ โรงหนัง แหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับเจ้าแพนด้าในทุกๆ มิติ ที่เราสามารถเฝ้าสังเกตุการ์ณเจ้าแพนด้าน้อยๆ ตัวยักษ์เหล่านี้ในทุกอิริยาบท ทั้งกิน เดิน นอน นั่ง และอีกหลายกิจกรรมที่แพนด้าจะเล่นให้เราดูในบรรยากาศสุดร่มรื่นอีกด้วย
จ่ายเงินซื้อตั๋วก็ได้เวลาที่เรารอคอยกันแล้ว ที่นี่จะแบ่งเป็น 2 โซนหลักๆ โซนแรกเป็นแพนด้าที่เราคุ้นเคยกันดีสีขาวดำจอมดื้อสุดขี้เกียจ แต่น่ารัก และแสนซน แถมดูง่วงตลอดเวลา ส่วนอีกโซนเป็นแพนด้าแดงญาติอันห่างไกลของเจ้าแพนด้าที่ตัวเล็กกว่า หูเล็กกว่า เท้าเล็กกว่า แต่ความน่ารักนั้นยากที่จะเปรียบเทียบกันจริงๆ เพราะจากที่เราหันซ้าย หันขวา มองหน้า หมุนตัวตาม พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตกหลุมรักเจ้าแพนด้าทั้งสองไปแบบไม่ทันรู้ตัวซะแล้ว เพราะมันน่ารักม๊ากกก แถมเรายังได้เห็นมันแบบใกล้ๆ กับตาตัวเองแบบนี้ยิ่งรู้สึกอเมซิ่งเข้าไปใหญ่ ที่นี่เป็นสวนแพนด้าที่เราสามารถเดินเล่นเรื่อยๆ เปื่อยๆ ใช้เวลาไปเรื่อยๆ อย่างมีค่ากับเจ้าสัตว์โลกสุดน่ารักตรงหน้าได้อย่างไม่เร่งรีบ
แดดร่มลมตกพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า แน่นอนว่าคงจะไม่มีที่ไหนเหมาะแก่การไปเดินเล่นรับลมรอดูพระอาทิตย์ตกที่สุดในเมืองนอกจากสะพานไม้ที่เชื่อมระหว่างสวน Zuohai และ Jinniu Moutain ไว้ด้วยกันแถมยังเชื่อมสวนอีกหลายๆ สวนไว้ด้วยอีก เพราะมันมีความยาวถึง 19 กิโลเมตร เรียกว่าถ้ามาซ้อมเดินกับวิ่งครบนี่ลงแข่งมาราธอนได้เลย แต่เราขอแบบชิวๆ เราเลยเลือกเดินแบบเรื่อยๆ พาร่างกายของตัวเองเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ ซึมซับบรรยากาศรอบข้างตามกำลังกายอันบอบบางของเรา เพื่อเดินเล่นชมวิวเมืองจากด้านบนได้อย่างเต็มตา ทำให้เรานึกถึงเส้นทางเดินป่ากลางกรุงของบ้านเราเลยแต่เพียงที่นี่ใหญ่กว่าแบบมากๆ ความฟินส์มันก็เลยคูณสองเท่าเข้าไปอีก
ที่นี่นอกจากจะถูกสร้างมาเพื่อนเป็นแหล่งท่องเที่ยวมันยังเป็นเหมือนสวนสาธารณะของชาวเมืองด้วย ระหว่างทางที่เราเดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย เราก็จะเจอผู้คนที่มาออกกกำลังกาย พาครอบครัวมาเดินเล่น คู่รักมาเดินคุยกันท่ามกลางเหล่าต้นไม้ที่ขึ้นขนาบข้างตลอดระยะทางบนสะพานเหมือนเป็นเพื่อนเดินเล่น เพื่อนคุยกับทุกคนที่ผ่านไปมา คือมันเป็นเส้นทางที่สบายมากแก เหมือนแกเดินเข้าป่าเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์แต่ไม่ต้องออกแรงจนเหงื่อตก เหมือนเดินเล่นชมเมืองแต่ไม่ต้องคอยหลบรถ เหมือนมาเดินเล่นแต่ก็ได้ออกกำลังไปด้วย คือมันบอกยากมากว่าที่นี่เป็นอะไรแบบชัดเจนกันแน่ เพราะมันเป็นการผสมผสานของป่าและเมือง ผสานระหว่างการเดินทางและการพักผ่อน แต่ที่บอกได้แน่ๆ คือมันเป็นเส้นทางที่เดินแล้วแกจะมีความสุขสุดๆ แค่นั้นแหล่ะ
มาจีนทั้งทีก็ต้องขอมาลิ้มชิมรสชาบูหม่าล่าจากเมืองต้นตำหรับกันสักหน่อยว่าทำไมมันถึงได้อร่อยเด็ดส่งความเผ็ดข้ามน้ำข้ามทะเลจนมาดังเป็นพลุแตกถึงบ้านเรา และที่เมืองฟูโจวก็มีร้านชาบูเด็ดอยู่ร้านหนึ่งที่เปิด 24 ชั่วโมง นั่นก็คือ Shabu Shabu Fashion Hot Pot ร้านชาบูที่ตกแต่งสบายๆ โปร่งๆ มีภาพวาดติดอยู่ที่ฝาพนังมองรวมๆ จะว่าเป็นสไตล์จีนแท้ๆ มันก็ไม่ใช่ คือมันมีฟีลแบบญี่ปุ่นๆ เข้ามาด้วย แล้วที่นั่งก็เยอะดีแต่ดูไม่อึดอัดนะ พอเข้ามาถึงหนึ่งหม้อเราสามารถเลือกน้ำซุปได้สองอย่างแน่นอนว่าเราเลือกหม่าล่ากับน้ำซุปจีนๆ มาอย่างนึง เลือกน้ำซุปเสร็จพวกเนื้อสัตว์ ผักไรงี้เราสามารถเดินไปหยิบเองได้เลยเค้าจะมีตู้เรียงอาหารไว้ให้พร้อมราคาแปะที่ถาดแบบชัดเจน แต่ความพิเศษที่เราชอบอีกอย่างนึงก็คือเค้าจะมีพวกเนื้อเสียบไม้ไว้แล้ว แล้วเราก็เอามาจุ่มๆ ลงหม้อทานแบบร้อนๆ ได้ฟีลเหมือนตอนไปต่อแถวกินข้างทางไรงี้ โดยรวมถือว่าแซ่บเด็ดโดนใจ ถูกปากคนไทยอย่างเราๆ จนแทบคลานกลับโรงแรมไปนอนลูบพุงป่องๆ แบบฝันดี
Day 5 — Let’s try local food, Visit Sanfang Qixiang and Back to BKK
จบที่การกินแล้วมาเริ่มที่การกินใหม่อีกรอบ มื้อเช้าของวันสุดท้ายเราเลือกร้านโลคอลฟู๊ดที่บังเอิญเดินผ่านแล้วมันดูน่ากินดี ส่วนชื่อร้านก็ตามป้ายเลยเพราะเราอ่านไม่ออก แปลก็ไม่ถูก รู้แต่อยู่ด้านหน้า Sanfang Qixiang เป็นร้านเล็กๆ มีโต๊ะอยู่เพียงสี่ห้าโต๊ะ ตกแต่งโทนเข้มๆ ดูคลาสสิก อบอุ่นๆ พร้อมป้ายเมนูรูปภาพที่พร้อมให้เราสั่งแม้ไม่รู้ภาษาได้ง่ายๆ เราเลยรู้สึกว่ามันมีความเชิญชวนและเป็นมิตร แม้จะไม่รู้ว่าอาหารจะเป็นยังไงบ้าง แต่เราก็ตัดสินใจที่จะลองดู เพราะการเลือกร้านอาหารด้วยตัวเองบ้าง ไม่ต้องตามรีวิวซะทุกอัน มันก็เป็นสีสันอย่างหนึ่งของการเดินทางเหมือนกันนะ เพราะบางทีเราอาจเจอขุมทรัพย์ที่ดีกว่าคนอื่น หรืออาจจะแจ็กพอตสั่งข้าวแต่ได้โจ๊กมาแทนอะไรแบบนี้ โดยไม่รู้ว่าจะหมู่หรือจ่าแต่รับรองได้ว่าการทำอะไรโดยที่ไม่รู้มาก่อนบ้างมันก็ทำให้ชีวิตมีเรื่องเล่าสนุกเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ
จากการเลือกสุ่มๆ ร้านของเราก็ถือว่าดวงดีมือขึ้น จิ้มๆ อาหารที่ดูแล้วคุ้นตาอย่างพวกติ่มซำ ลูกชิ้นในน้ำซุปที่แบบอารมณ์เกาเหลานั้นล่ะ แล้วก็พวกเมนูแนะนำที่เค้าไฮไลท์สีแดงเอาไว้มาเพิ่มอีกอย่างสองอย่าง แล้วตลอดการรอคอยเราก็เดากันไปจากโต๊ะข้างๆ บ้างว่าของเราจะเป็นไงน้า แต่พออาหารมาแล้วได้ลองกินจริงๆ ก็อร่อยอยู่นะ ก็ตามสไตล์ติ่มซำคนจีนอ่ะแก รสอ่อนๆ หอมๆ นัวๆ กินกับซอสที่เค้าให้มาก็เพิ่มรสชาติได้อย่างดี แต่ที่จัดว่าเด็ดและได้มาแบบงงตอนสั่งมั่วๆ ไปก็คือสาหร่ายสีดำจานตรงกลางนั่นล่ะ เพราะมันช่วยเพิ่มรชาติและตัดเลี่ยนได้เป็นอย่างดี ไม่แปลกใจที่เราได้เห็นคนเดินเข้าๆ ออกๆ ร้านนี้อยู่ตลอด
กินอิ่มเราก็มาเดินเล่นที่ Sanfang Qixiang หรือแปลเป็นไทยตรงตัวก็คือ 3 ตรอก 7 ซอย ที่นี่เป็นบริเวณที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเขตวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของฝูโจว เพราะภายใน 3 ตรอก 7 ซอยนี้ มันมี 3 ตรอก และ 7 ซอยจริงๆ โดยแต่ละตรอกซอกซอยนั้นได้มีการวางผังให้สามารถเดินเชื่อมถึงกันได้หมด และบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างบริเวณนี้จะถูกสร้างอย่างประณีตมากๆ ตามแบบสถาปัตยกรรมของราชวงศ์หมิงและชิง โดยกำแพงมักทาสีขาว และหลังคาเป็นสีเทาเข้ม ที่นี่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีทำให้มีโบราณสถานอยู่กว่า 200 แห่ง บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ โดยแต่ละตรอกแต่ละซอยจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปตั้งแต่ตึกโบราณจริงๆ ไปจนถึงตึกที่ผสมผสานระหว่างความโบราณและความทันสมัยในยุคสมัยนั้นที่เกิดจากการเป็นศูนย์กลางของเส้นทางสายไหม จนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สิ่งก่อสร้างของราชวงศ์หมิงและชิงที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและทั่วโลกให้มาที่นี่
ด้วยความที่ย่านนี้เป็นถนนคนเดินในเขตเมืองเก่าที่ได้รับการอนุรักษ์ เราจึงได้เห็นสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆ ที่เข้ามาปรับเปลี่ยนโฉมตัวเองที่ทันสมัยให้กลมกลืนกับสิ่งสร้างที่มีอยู่เดิมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเคเอฟซี แมคโดนัลล์ หรือสตาร์บัค ที่สลายร่างเดิมมาอยู่ในร่างโบราณดูแปลกตากว่าที่เคยเห็น จนกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของย่านนี้ที่ผู้คนอยากมาสัมผัสด้วย นอกจากนี้ที่นี่ยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านของฝากมากมายหลายแบบให้เราเลือกช้อปก่อนปิดทริป ก่อนกลับไปลากกระเป๋าเช็คเอ้าท์จากโรงแรมเพื่อเตรียมไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน
สำหรับทริปนี้เราบินกลับไทยจากสนามบิน Fuzhou Changle International Airport : FOC ซึ่งบอกเลยว่าการบินกับสายการบินของจีนครั้งแรกอย่าง Xiamen Airlines เราประทับใจมากเคาน์เตอร์เช็กอินที่กรุงเทพฯ ยันเคาน์เตอร์เช็กอินขากลับที่เมืองฝูโจว ทั้งเรื่องเครื่องใหม่ เครื่องใหญ่ไม่อึดอัด และเรื่องของพนักงานคือบริการดีมาก ตั้งแต่หน้าเคาท์เตอร์จนขึ้นเครื่อง คือไม่ว่าเจอพนักงานคนไหนเค้าก็จะยิ้มทักทายส่งสายตาพร้อมบริการให้เราตลอดทั้งขามาขากลับ เราเลยยิ่งประทับใจมากๆ เพราะมันเกินความคาดหมายจากที่เราคิดถึงการบริการแบบจีนๆ ไว้สูงมากทีเดียว
อ่านจบทริปแล้วเราเชื่อว่าทริปนี้คงทำให้ใครหลายคนใจเต้นตูมตาม นึกเปิดใจอยากลองไปเที่ยวจีนสักครั้งในชีวิตขึ้นมาบ้างแล้วใช่มั้ย ถ้าอยากเดินทางก็จงรีบเดินทางในวันที่ร่างกาย จิตใจ การเงินแกยังพร้อมนี่ล่ะจะดีที่สุด หาวันหาเวลาว่างซะอย่าลังเลที่จะได้ไปเห็นอะไรใหม่ๆ และสองเมืองนี้มันก็ดีมากๆ สำหรับนักท่องเที่ยวหลากหลายกลุ่ม แถมถ้าแกจองตั๋วของสายการบินเซี่ยเหมินแอร์ที่บินจากทั้งกรุงเทพฯ หรือภูเก็ตไปเมืองไหนก็ได้ที่เค้ามีบิน รับส่วนลดไปเลยถึง 5% เพียงแกจองตั๋วและเดินทางภายในวันนี้ -31 ธันวาคม 2561 และใส่รหัสโปรโมชั่น “XIAMENAIR” ที่ เว็บไซต์ www.xiamenair.com/en-th/ ก็สามารถบินหรูๆ ในราคาที่ถูกกว่าปกติได้ง่ายๆ แล้ว
ถ้าโลกนี้ถูกกำหนดด้วยชะตาชีวิตจงเปลี่ยนแปลงมันให้ดีขึ้นด้วยการเดินทาง เพราะการเดินทางจะทำให้แกเห็นอะไรใหม่ๆ ได้เรียนรู้ชีวิตในหลายๆ แง่มุม ทั้งความสุข ความทุกข์ ความสมหวังผิดหวัง เรียนรู้จากอดีตและเรื่องราวของสิ่งที่แกไปพบเจอ สุดท้ายแกจะเข้าใจว่าทุกอย่างมีขึ้นมีลง มีการเปลี่ยนแปลงทั้งดีและร้าย แต่สุดท้ายไม่ว่าเรื่องอะไรเราจะผ่านมันไปได้ และเริ่มออกเดินทางใหม่อีกครั้งเพื่อกำหนดชีวิตของเราเอง ออกเดินทางซะถ้าแกอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น