One upon a time : OKAYAMA — HYOGO

ถ้าให้เปรียบญี่ปุ่นเป็นหนังสือก็คงเป็นการ์ตูนมหากาพย์ที่อ่านกี่เล่มกี่ภาคก็ไม่มีตอนจบซักที และคราวนี้เราก็ลองหยิบญี่ปุ่นตอนล่าสุดมาเปิดดูอีกหนึ่งเล่ม เป็นเรื่องราวของคันไซในอีกมุมหนึ่งที่ไม่ใช่นาราโอซาก้าเกียวโต แต่มันคือ เฮียวโงะ (Hyogo) และ โอคายาม่า (Okayama) เมืองที่เราคิดว่าถ้าใครได้มาสัมผัสจะต้องหัวปักหัวปำเหมือนโดนป้ายยาเสน่ห์ และเราจะขอป้ายยาทุกคนต่อด้วยทริป 4 วัน ที่มีทั้งแวะทักทายเด็กชายลูกท้อโมโมตาโร่ ชมปราสาทนกกระสาขาวและปราสาทอีกาสุดขลัง ลัดเลาะเมืองเก่าริมคลองสมัยเอโดะ นั่งเรือข้ามไปเกาะประมงที่มีแมวคุมพวกทาสทั้งเกาะ และปั่นจักรยานชิวๆ เป็นแก็งค์แฟนฉันริมคันนา ถ้าพร้อมแล้วก็เปิดหนังสือแล้วขึ้นรถไฟ JR West แล้วมาทัวร์คันไซกับเราได้เลย

DAY 1 :

• Himeji Castle

สีขาวเด่นสง่าสะอาดตาราวกับใช้โอโม่พลัสนี่คือ ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) ที่มีอายุยาวนานกว่า 400 ปีเลยนะ ทางญี่ปุ่นเค้ารักษาสภาพที่สมบูรณ์คงเดิมไว้ได้เพียบพร้อมมาก ที่นี่เลยได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเป็นที่เรียบร้อย ความสวยงามและตำนานของปราสาทแห่งนี้เป็นที่เลื่องลือจนได้ฉายาว่า “ปราสาทนกกระสาขาว” แถมยังมีเรื่องเล่าที่มีการกระซิบต่อๆ กันมายาวนานเรื่อง “ผีนับจาน” หรือ ซะระยะชิกิที่ทำจานล้ำค่าของซามูไรตกแตก จึงถูกโยนลงบ่อน้ำบริเวณปราสาทนี้ ว่ากันว่าค่ำคืนดึกดื่นจะได้ยินเสียงผู้หญิงคอยนับจานลอดจากจากปากบ่อ สมัยนี้บ่อน้ำแห่งนั้นกลายเป็นแหล่งโยนเหรียญขอพรไปแล้ว หากใครไปก็อย่าลืมขอพรเผื่อเราด้วยนะ

จากการได้ชมปราสาทมากมายตั้งแต่เหนือจรดใต้ของญี่ปุ่นเราขอยกที่นี่ให้เป็นเดอะเบสท์ในใจ ความเก่าของตัวปราสาทไม่ได้ทำให้ความน่าหลงใหลลดลงกลับยิ่งดึงดูดให้เราอยากเข้าไปยลชมโฉมด้านในใจจะขาดแล้ว แน่นอนว่ามาถึงมรดกโลกทั้งทีเราต้องยอมจ่ายค่าตั๋วเข้าไปและใจสู้เดินขึ้นบันไดที่สูงและชันจนถึงชั้นบนสุด แม้เหงื่อจะไหลไปทั้งตัวแต่ก็ถือว่าคุ้มค่ามากที่ครั้งหนึ่งเราได้มีโอกาสยืนอยู่ในปราสาทอายุ 400 ปี แล้วมองไปด้านล่างก็อดมโนไม่ได้เลยว่าตัวเองคือมนุษย์สมัยเอโดะแล้วยืนมองดูอนาคตยุค 2018 จากบนนี้ อ้อ! แอบบอกนิดนึงเจ้ารูปปั้นหัวเสือตัวเป็นปลานี้ เรียกว่า Shachi เชื่อกันว่าคือเครื่องรางสมัยเอะโดะที่ใช้ตกแต่งเป็นผู้พิทักษ์แห่งน้ำป้องกันฟืนไฟ หากสังเกตจะเห็นตรงหลังคาปราสาทของญี่ปุ่นบ่อยๆ ก็จะเห็น

• Tomoni En (Fruit Picking)

ช่วงบ่ายเรานั่ง JR ไปที่สถานี Okayama เพราะเรามีโปรแกรมมาแปลงร่างเป็นชาวไร่องุ่นกันที่ Tomomien Fruit Farm ซึ่งพอมาถึงที่ไร่เค้าจะให้เราชิมองุ่นสดๆ ลูกใหญ่ หอมหวานกรอบแบบลืมไม่ลง แบบไม่ผิดหวังสมกับที่จังหวัด Okayama เป็นจังหวัดที่มีการปลูกองุ่น Muscat of Alexandria มากที่สุดในญี่ปุ่น หากติดอกติดใจในรสชาติเราก็สามารถไปต่อกันที่กิจกรรมเก็บองุ่นสดๆ จากสวน มันเป็นกิจกรรมที่ถูกอกถูกใจเราและเพื่อนๆ กันมาก ทั้งชิม ทั้งสอยใส่กล่องกลับไปเป็นของฝาก บางคนก็อดใจไม่ไหวแกะกินระหว่างทริปจนเกลี้ยง นอกจากองุ่นแล้วก็สามารถมาเก็บมาชิมพีช สตรอเบอรี่ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนวนกันไปตามฤดูกาลได้ด้วยจ้าา

• Ikiyaイキヤ

ในส่วนของมื้อเย็นวันนี้เรามาทานกันที่ Ikiya  ดูจากหน้าร้านแล้วเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วๆ ไป แต่เข้าไปด้านในทำให้เราประทับใจจนต้องมาบอกเพื่อนว่าถ้าได้ไปแถวๆ สถานี JR Okayama ต้องห้ามพลาดร้านนี้เด็ดขาด นอกจากคนท้องถิ่นจะบอกกันปากต่อปากว่าร้านนี้ดีตั้งแต่วัตถุดิบ รสชาติ การจัดแต่งจาน ไปจนถึงองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ที่ร้านสรรหามาเสิร์ฟเรา อีกทั้งคอนเซ็ปของร้านก็ทำให้เราประทับใจและรู้สึกชื่นชอบมากนั่นก็คือ cooking of art  ถ้าอยากลองแวะไปก็เข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ http://ikiya.info/

สามจานเด็ดที่เราขอเรคคอมเมนด์ว่าห้ามพลาดคือเมนูธรรมดาอย่างสลัดผักที่ทำเราอยากขอเบิ้ลสลัดครั้งแรกในชีวิต มะเขือเทศคือขั้นสุดด้วยผักทุกชนิดที่สั่งตรงมากจากไร่ในโอกายาม่า ยอมแล้วจ้า ยอมแล้ว จานต่อมาคือชูชิหน้าเนื้อ เราเคยบอกเพื่อนว่าถ้าเราลองกินเนื้อที่ญี่ปุ่นเราจะลืมเนื้อที่ไทยไปเลย แล้ววันนี้เราก็เจอเหตุการณ์นั้นอีกแล้วมันคือที่สุดจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ น้ำตานองอาบสองแก้มปลื้มปริ่มเว่อร์

ส่วนอีกจานที่ไม่สั่งถือว่าพลาดมากก็คือเซทข้าวปั้นซึ่งเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงของ Okayama ประกอบไปด้วยปลาสองอย่างที่นำไปแช่ในน้ำส้มสายชูก่อนนำมาวางไว้บนข้าว คือ Shimi Saba amakar และ Mamakari เราว่าทีเด็ดก็จะอยู่ที่ปลา Mamakari ที่รวมคำว่า Mama ที่แปลว่าข้าว และ Kari ที่แปลว่ายืม  รวมกันแปลว่า อร่อยมากถึงกับต้องขอข้าวคนอื่นมาเพิ่ม เราเห็นด้วยนะอยากได้เพิ่มทั้งข้าวทั้งปลาเลย นี่แหละจานเด็ดที่เราขอโหวตให้สั่งมา ยิ่งแกล้มไปกับอูเมชูเหล้าบ๊วยซิกเนเจอร์ของร้านด้วยแล้ว ยิ่งทำให้มื้อเย็นเป็นสวรรค์จำลองได้เลย

DAY 2 :

• Riding into the Past in the Kibiji

เช้าวันใหม่เราเลือกไปปั่นจักรยานชิวๆ เพราะช่วงนี้ย่าน KiBiii ของจังหวัด Okayama กำลังมีนาข้าวสีทองเรืองรองไปทั้งโซน เราเลยขอไปรับลม สูดดมอากาศบริสุทธิ์  ทำตัวสดใสน่ารักคาวาอี้ปั่นจั๊กชิวๆ เป็นแก็งค์แฟนฉัน ร้องโอ้เยที่ไทยว่าสนุกแล้วมาปั่นจั๊กที่ญี่ปุ่นในเส้นทางที่เป็น 1 ใน 100 เส้นทางแนะนำ และ Kibi Plain ได้รับหนึ่งดาวจาก “มิชลินกรีนไกด์ เจแปน” เชียวนะ โดยที่ข้างสถานี JR Bizen Ichinomiya มีร้านเช่าจักรยานให้บริการ ราคาอยู่ที่ 1000 เยน/วัน แปลว่า เรานั่งรถไฟไปแล้วเดินขึ้นมาเช่าจักรยานปั่นได้เลย ระยะเส้นทางปั่นจักรยานประมาณ 17 กิโลเมตร โดยจะมีป้ายบอกเป็นสัญลักษณ์รูปจักรยานตลอด ไม่ต้องกลัวหลง

จุดแรกเราแวะเที่ยวกันที่ ศาลเจ้าคิบิทสึ ( Kibitsujinja Shrine) ถ้าคุ้นชื่อ “Momotaro” นิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น ก็จะอินกับศาลเจ้าคิบิตสึแห่งนี้เป็นพิเศษ  เพราะศาลนี้มีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าที่สร้างโมโมตาโร่ขึ้นมา และอีกจุดที่โดดเด่นคือมีทางเดินทอดยาวสวยงามถึง 360 เมตร เดินออกไปจนสุดก็จะชมสวนดอกไม้ได้เลย ที่นี่จะมีดอกไม้สวยงามทุกช่วง แต่พีคสุดคือ มิถุนายน เพราะจะมี Ajisai-en Garden หรือสวนดอกไฮเดรนเยียบานเบ่งถึง 1,500 ต้นเชียวนะ อีกหนึ่งสิ่งที่อยากเล่าคือที่นี่มีพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ นารูกามะ ชินจิ (Narukama Shinji) เป็นพิธีดูดวงดั้งเดิมสืบทอดกันมา เชื่อกันว่าหากใครได้ยินเสียงยักษ์หรือเสียงดังกังวานในระหว่างทำพิธีแปลว่าจะหมดทุกข์หมดโศก ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และจะมีแต่ความโชคดี เสร็จพิธีเราก็จะได้รับข้าวมาทานเพื่อเป็นสิริมงคลต่อชีวิต

จากนั้นเราก็ปั่นต่อมายัง Bitchu-Kokubunji Temple วัดที่มีอาคารเก่าแก่ไม่กี่แห่ง และเจดีย์ 5 ชั้น (Five Story Pagoda) อันโด่งดังหนึ่งเดียวของโอกายาม่าและได้รับยกย่องให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งดอกไม้ ในแต่ละฤดูจะมีดอกไม้ให้เรามาชมวิวเจดีย์แตกต่างกันออกไป ช่วงที่เรามาก็จะอุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยดอกคอสมอสสีพิ๊งค์สดใส จุดนี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของ Kibi Plain เลยนะ

เราทานมื้อเที่ยงกันที่ Sunroad Kibiji ( Motenashi no Yakata ) เป็นร้านที่ตั้งอยู่ด้านหน้าวัด สามารถนั่งกินไปมองวิว Five Story Pagoda และทุ่งดอกไม้ผ่านกระจกสวยๆ ไป เซ็ทเมนูของทางร้านก็จะเป็นเซ็ทโซบะมีให้เลือกทั้งแบบร้อนและแบบเย็น มีเซ็ทอูด้งคู่กับข้าวญี่ปุ่น ซึ่งอร่อยมาก รสชาติมันใช่มาก เป็นมื้อเที่ยงที่มีความสุขสุด

สำหรับสายชิลอยากปั่นไปเรื่อยๆ ก็สามารถปั่นยันเช้าของอีกวันก็ยังได้ เพราะมันชิลจริง สนุกจริง และมีจุดให้แวะชมเยอะมาก แต่ด้วยเวลาที่จำกัดของเรา เราเลยไปคืนจักรยานที่ Soja Station เป็นอันจบรูทนี้ สำหรับเราถ้าถามว่าการมาปั่นจั๊กที่นี่มีความต่างกับที่อื่นยังไง คือก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าอลังการถึงกับต้องว้าวนะ แต่ในความเรียบง่าย ความเนิบๆ และน่ารักคาวาอี้ของญี่ปุ่น มันได้อารมณ์ปั่นจักรยานชานเมืองตอนเด็กๆ ที่ยังไม่รู้จักความเหนื่อย มันแฝงถึงความสนุกแบบไม่ต้องผาดโผนหรือตื่นเต้นอะไรเลย เอางี้ดีกว่า ต้องมาลองเองแล้วจะหลงรัก

• Kinojo Castle

ที่นี่คือซากปราสาทที่ตั้งอยู่บน Mt. Kinojo สร้างขึ้นเมื่อกว่า 1300 ปีมาแล้ว และเชื่อว่าเป็นหนึ่งในปราสาทบนภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น กำแพงดินและหินความยาวเกือบ 3 กิโลเมตรมีการจัดวางหินที่ใช้ทำทางเดินเป็นแบบที่ไม่พบที่อื่นในญี่ปุ่นโบราณ นอกจากจะเดินชมรอบๆ ปราสาท ฟังเรื่องราวในประวัติศาสตร์แล้ว เรายังได้ฟังนิทานพื้นบ้านโมโมต้าโร่ หรือเด็กชายลูกท้อ ผู้มีพละกำลังและความกล้าหาญเกินคนทั่วไปด้วยนะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าการฟังนิทานพร้อมกับการเดินชมสถานที่จริงมันทำให้เราอินได้ขนาดนี้

อย่างที่บอกว่าขณะเดินชมปราสาทเราก็ได้ฟังนิทานโมโมตาโร่ไปด้วย เอาล่ะ เราเล่าให้อ่านสั้นๆ บ้างดีกว่า ว่ากันว่ามีตายายคู่หนึ่งอาศัยอยู่ริมลำธาร วันหนึ่งในขณะที่ยายไปซักผ้าริมลำธาร ก็ได้เจอลูกท้อใหญ่มากลอยมาตามน้ำ ยายเลยเก็บกลับมาที่บ้านกะว่าจะมาผ่าทานกับตา แต่สุดท้ายเมื่อผ่าออกมากลับเจอเด็กชายโมโมตาโร่อยู่ในผลลูกท้อนั้น ตากับยายเชื่อว่าเด็กคนนี้คือของขวัญที่สวรรค์ส่งมาให้ และช่วยกันเลี้ยงดูเด็กชายลูกท้อเป็นอย่างดีจนโมโมตาโร่โตมาเป็นคนดี มีน้ำใจ แข็งแรงและมีพละกำลังมาก เขากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านและกลายเป็นฮีโรปราบเหล่าโอนิหรือยักษ์ที่มารังควานชาวบ้านให้หมดไป โมโมตาโร่จึงเป็นตัวอย่างของเด็กดีในนิทานพื้นบ้านที่ชาวญี่ปุ่นเล่าขานกันมายาวนาน

• Shiraishi Island

ช่วงเย็นเรานั่ง JR ไป Kasaoka station แล้วเดินต่อไปท่าเรือ Kasaoka(Sumiyoshi) เพราะคืนนี้เราจะค้างที่เกาะ Shiraishi เกาะเล็กๆ แสนสงบของจังหวัด Okoyama ถ้ามีเวลาอยากให้เดินทางไปพักตากอากาศและค้างคืน ตื่นมาเดินช้าๆ ริมหาด พายเรือคายัค หรือว่ายน้ำ อาบแดด สัมผัสชีวิตไม่เร่งรีบของชาวเกาะแต่รอบนี้เราแค่แวะมาพักเพื่อจะประหยัดเวลาในการเดินทางในวันพรุ่งนี้ แต่เป็นหนึ่งคืนสั้นๆ ที่ทำให้เราได้ความประทับใจไปเยอะมากเพราะการมาพักที่ Shiraishi Island International Villa เกสเฮ้าส์ที่เราได้นอนแบบคนญี่ปุ่น กินแบบคนญี่ปุ่น ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างข้าวของเครื่องใช้แบบญี่ปุ่น และเราได้รับการต้อนรับอบอุ่นมากเหมือนไปนอนบ้านเพื่อนชาวญี่ปุ่น เราชอบเสมอเวลาได้มาสัมผัสอะไรที่เป็นโลคอลจริงๆ แล้วคืนนี้เราก็นอนหลับฝันดีมากๆ

DAY 3 :

แสงแดดยามเช้าค่อยๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาในห้อง ทำให้เราตื่นเองโดยที่นาฬิกาปลุกยังไม่ทันจะทำงาน ภาพแรกที่เปิดหน้าต่างออกไปเห็นชายหาด ทะเล ลมเย็นๆ พัดเข้าหน้ายิ่งทำให้ตื่นได้เต็มตา เราไม่รอช้ารีบอาบน้ำแต่งตัวให้น่ารัก ปะแป้งให้หอมฟุ้ง แล้วลงไปทานเซ็ทมื้อเช้าแบบฉบับคนญี่ปุ่น ก่อนจะเดินเล่นโปรยยิ้มทักทายสรรพสิ่งบนเกาะเสมือนรับหน้าที่เป็นทูตวัฒนธรรมแม้ว่าความจริงแล้วเราจะมโนไปพลางที่รอเรือมารับข้ามไปอีกเกาะก็ตาม แหมมมม ก็บรรยากาศมันได้อ่ะเนอะ

Manabe Island

เราโบกมือบ๊ายบายเกาะชิราอิชิ แล้วมาทักทายเกาะน้อยๆ ในทะเลเซโตะไนไก (Setonaikai) ของจังหวัด Okayama นั่นก็คือ เกาะมะนะเบะ (Manabe-shima) เรื่องราวของวันนี้เปรียบเสมือนอีกหนึ่งบทของหนังสือที่เดินเรื่องมาถึงจุดไคลแม็กซ์เต็มที่ เกาะนี้เคยเป็นที่ตั้งกองทัพเรือของตระกูลฟูจิวาระ (Fujiwara Clan) สมัยเฮอัน และชื่อเกาะมาจากชื่อตระกูลมานาเบะ (Manabe Clan) ทีนี่ยังมีกลิ่นอายของเมืองในสมัยเอโดะที่ยังคงลักษณะบ้านทรงโบราณแบบญี่ปุ่น

เสน่ห์เหลือล้นของที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่บรรยากาศ ตึกรามบ้านช่อง วิวทิวทัศน์ และความสโลวไลฟ์เท่านั้นนะ เพราะกิมมิกน่ารักๆ ของเกาะแห่งนี้ ก็คือเจ้าเหมียวที่แทบล้นเกาะ จนทำให้เราแทบเชื่อข้อกล่าวหาที่ว่า แมวคือสัตว์ที่คิดจะครองโลก ซะแล้วสิ เพราะเมื่อเราก้าวขาจากเรือเหยียบที่ท่าปุ๊ป เราก็เจอกองทัพแมวเหมียวมารอเราเพียบ ประหนึ่งเราคือราชนิกูลแห่งราชวงศ์เนโกะก็ไม่ปาน และถ้าหากอยากเล่นกับเจ้าหน้าหนวดพวกนี้ ต้องเตรียมอาหารมาไว้หลอกล่อตั้งแต่ที่ท่าเรือเลยนะ เห็นความน่ารักสดใสขี้อ้อนของพวกมันแล้ว อดไม่ได้หรอกที่จะไม่เล่นกับพวกมัน

นอกจากเกาะนี้จะเป็นที่รู้จักของชาวไทยแลนด์แล้ว เกาะนี้ยังเป็นที่เลื่องลือไกลไปถึงฝรั่งเศสด้วยนะ เพราะว่ามีคนได้แรงบันดาลใจจนไปสร้างเป็นหนังสือเกี่ยวกับเกาะแห่งนี้จนแพร่หลายในฝรั่งเศสจนทำให้นักท่องเที่ยวชาวฟร๊านซ์เดินทางมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย ไม่เท่านั้น ยังเป็นโลเคชั่นในการถ่ายทำภาพยนตร์ดังๆ หลายเรื่องอีกตะหาก เจ้าเหมียวพวกนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ

ทั้งความชิว ความน่ารัก จุดขายที่ไม่เหมือนใคร แถมยังมีคาเฟ่ดีๆ มุมสงบๆ ร้านอาหารทะเลสดๆ อร่อยๆ เราว่าที่นี่เพียบพร้อมมากสำหรับการจัดทริปและหาโอกาสมาเยือน จะมาแบบค้างคืนหรือวันเดย์ทริปก็ได้

• Kurashiki Bikan Area

ต่อมาเราพาตัวเองไปยังอีกที่หนึ่งที่ต้องยกนิ้วโป้งให้คะแนนยอดเยี่ยม เชื่อเราเถอะว่าเมื่อก้าวเท้าเข้ามาแกจะต้องวิ่งหาร้านเช่ากิโมโนมาเดินเที่ยวให้เข้ากับบรรยากาศของที่นี่แน่ เพราะเราไปเที่ยวกันที่ Bikan Historical Quarter  ว่ากันว่าที่นี่คือย่านการค้าเก่าริมคลองตั้งแต่สมัยเอโดะที่มีอายุกว่า 300 ปี เราว่ามันคือเมืองเก่าที่สมบูรณ์และสวยมาก เราได้ชมอาคารบ้านเรือนร้านรวงสถาปัตยกรรมที่รวมวัฒนธรรมตะวันตกกับวิถีชีวิตแบบญี่ปุ่นได้อย่างกลมกล่อม พอดิบพอดี ไม่มีขาดไม่มีเกิน

สิ่งที่ดึงดูดสุดๆ ของที่นี่ คือความลงตัวของเมืองทันสมัยกับเมืองเก่าแถมยังมีกลิ่นอายของธรรมชาติยุคนั้นคงอยู่อย่างครบถ้วน เราสามารถเดินชม ชิม ช้อป ริมคลองเรื่อยๆ เพราะบ้านเรือนสมัยนั้นตอนนี้ได้กลายมาเป็นร้านรวงต่างๆ  ทั้งร้านอาหาร ร้านกิโมโน แกลอรี่ มิวเซี่ยม ร้านของฝาก ที่มีแม้แต่ร้านขายเทปกาวน่ารักๆ ยังหาได้ที่นี่ หรือหากอยากลองทำงานฝีมือก็มีบางร้านเปิด workshop ต่างๆ ให้เราลองด้วย หรือถ้าเดินเหนื่อยก็ชมวิวทางเรือได้ เพราะที่นี่มีกิจกรรมนั่งเรือพายชมวิวแทนการเดินได้ด้วย เราแนะนำว่าหากมีเวลาอยากให้ลองมาอยู่ที่นี่นานๆ ช้าๆ ชิวๆ มันมีอะไรเยอะแยะให้เราได้เจอได้ค้นหา อยากทุ่มเวลาทั้งหมดที่มีให้ที่นี่ไปเลยจริงๆ

เดินชม ชิม และลองทำงานคราฟนั่นนี่กันแล้ว อีกหนึ่งที่ที่เป็นทีเด็ดเลยคือ พุดดิ้งแห่งความสุข Shiawase pudding  ของร้าน Yuurin-An ที่กลางวันจะเป็นคาเฟ่และร้านพุดดิ้งแต่อีกหนึ่งบริการก็ยังเป็นเกสเฮาส์ชื่อว่า Kurashiki Guest House Yuurin-An ให้บริการที่พักสไตล์ญี่ปุ่นในบ้านแบบดั้งเดิมซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ร้านนี้มีกฎว่าต้องทานที่ร้านเท่านั้นนะ ห้ามสั่งกลับบ้าน ส่วนชื่อพุดดิ้งแห่งความสุข นอกจากจะรูปหน้ายิ้มบนพุดดิ้งที่เป็นเอกลักษณ์แล้วนั้นเราว่าน่าจะมาจากรสชาติที่หวานนุ่มละมุน กลิ่นหอมและรสของพุดดิ้งนมและไข่ตีขึ้นมาทำให้เราหลับตาเคลิ้มเมื่อได้ลิ้มรสมัน มันคือความสุขที่เกิดขึ้นในชั่วขณะนั้นจริงๆ

สำหรับเรื่องราวของวันนี้เหมือนดำเนินเรื่องมาถึงตอนไคลแม็กซ์ของหนังสืออย่างที่เราบอกใช่ไหมล่ะ ทั้งเกาะมานาเบะและย่านคุราชิกิต่างก็เป็นโมเม้นท์ที่น่าประทับใจของเราทั้งสิ้น ถ้าหนังสือเล่มนี้ของเราจะใกล้มาถึงช่วงจะจบตอนแล้ว เราว่าก็คงจะจบแบบแฮปปี้ นอนหลับฝันดีแน่ๆ

DAY 4 :

• Korakuen Garden

สวนขนาดใหญ่ที่สวยงามติดอันดับ 1 ใน 3 ในญี่ปุ่น นี่คือ สวนโคราคุเอน (Korakuen Garden) ที่อยู่ใกล้ๆ กับปราสาทอีกาหรือปราสาทโอคายาม่าที่เป็นไฮไลท์ของเราวันนี้ สวนนี้มีดอกไม้ บ่อน้ำ เนินเขา ทิวต้นบ๊วย และไร่ชา มีสนามหญ้าขนาดใหญ่โล่งๆ ซึ่งไม่ค่อยพบในสวนญี่ปุ่นทั่วไป เรียกได้ว่าเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสวนนี้ควรค่าอย่างยิ่งที่จะมาชมเป็นบุญตาสักครั้ง ค่าเข้าชมสวนคนละ 400 เยน และสำหรับใครที่อยากชมทั้งสวนและปราสาทโอคายาม่าคู่กันสามารถซื้อตั๋วได้ในราคา 560 เยน

เราว่าที่นี่อาจจะไม่ได้ว้าวมากสำหรับคนไทยที่เจอความเขียวตลอดชีวิตอยู่แล้ว แต่มันพิเศษมากหากได้ไปชมวิวปราสาทโอคายาม่าในห้องที่อยู่กลางสวนเพราะอดีตที่นี่เคยเป็นที่พักผ่อนของเจ้านายราชนิกูลชั้นสูง ฟิลลิ่งเหมือนตัวเองเป็นคนญี่ปุ่นยุคโบราณนั่งเม้ามอยกันกับกลุ่มเพื่อนอะไรทำนองนั้น และภายในสวนยังสามารถแวะชมสินค้าจากร้านค้า ชิมชาเขียวขนมดังโงะ นั่งพัก เติมแรง รับลมก่อนไปเที่ยวต่อ

• Okayama Castle

ท้ายสุดสุดท้ายกับโลเคชั่นที่ขาดไปอาจจะไม่กล้าบอกเพื่อนว่าเพิ่งไปโอกายามะมา เราไปชมปราสาทสีขาวมาแล้ว เราต้องเคารพกฎหยินหยางด้วยการมาชมปราสาทสีดำทั้งหลังกันบ้าง นั่นก็คือ ปราสาทโอคายาม่า Okayama Castle ปราสาทสีดำขลังอย่างอีกาเด่นตระหง่านริมแม่น้ำอาซาฮีกาวะ บวกลบคูณหารแล้วที่นี่ก็สร้างมา 421 ปีดีดัก ตัวปราสาทมีทั้งหมด 6 ชั้น มีชั้นใต้ดินอีก 1 ชั้น ปราสาทหลังเดิมถูกทำลายช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากนั้นประมาณ 20 ปี ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ไฉไลกว่าเดิมและอย่างที่บอกแหละว่าตัวปราสาทเดิมถูกทำลายไปแทบหมดแล้ว ตอนนี้ก็มีการบูรณะเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ ลองเดินเข้าไปชมข้างในมีนิทรรศการต่างๆ ให้ดูเพลินๆ ขึ้นลิฟต์ตัวเก่าๆ ไปข้างบนก็มีหอสังเกตการณ์ที่ค่อนข้างเป็นของเดิมที่สมบูรณ์ ไปชมวิวดูบรรยากาศด้านล่างได้

ทริปญี่ปุ่น Hyogo และ Okayama ครั้งนี้เราเดินทางด้วยรถไฟ JR ที่ซื้อตั้งแต่สนามบินคันไซ  เราแนะนำ JR West Kansai wide Area Pass แบบ 5 วัน นอกจากจะเที่ยว 6 จังหวัด ในคันไซ ได้แก่ ชิงะ (Shiga), นารา (Nara), วากายะมะ (Wakayama), เกียวโต (Kyoto), เฮียวโงะ (Hyogo) และโอซาก้า (Osaka) ได้แล้ว ยังแถมไปเที่ยวที่จังหวัดโอคายาม่า (Okayama) ซึ่งอยู่ในภูมิภาคชูโงะคุ (Chugoku) ต่อได้อีกด้วย ที่เราเลือกใช้เพราะว่าคุ้มค่า ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา เหมาะกับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างพวกเราที่สุด

ถ้าหากโกโช อาโอยามะ ไม่รู้สึกเบื่อที่จะเขียนโคนันฉันท์ใด เราเองก็ไม่รู้สึกเบื่อที่จะต้องเที่ยวญี่ปุ่นแล้วมาเล่าเรื่องให้ทุกคนฟังฉันท์นั้น เราจะยังคงเชื่อว่าหนังสือมหากาพย์เล่มญี่ปุ่นจะยังคงมีตอนต่อๆไปให้ติดตามเล่มแล้วเล่มเล่า ภาคแล้วภาคเล่า ไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับบทนี้ของหนังสือคงจะมาถึงบทที่จะต้องบอกคำว่า โปรดติดตามตอนต่อไป และยังไม่รู้ตอนต่อไปที่ว่าจะอีกนานแค่ไหนและจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ อย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าตอนหน้าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรเราก็ขอให้ทุกคนโปรดตั้งตารอ ส่วนญี่ปุ่นคราวนี้ ในรูทของเฮียวโงะ (Hyogo) และ โอคายาม่า (Okayama) เราอยากบอกทุกคนเลยว่าหากได้เปิดอ่านรีวิวนี้แล้วตามรอยเรามาทุกคนจะไม่ผิดหวังและเก็บหนังสือเล่มนี้ไว้ที่ชั้นวางประสบการณ์ชีวิตในหมวดความน่ารักอิ่มเอมใจของตัวเองอีกหนึ่งเล่ม หนึ่งทริป แน่นอน