Aichi – Shizuoka in 4 Days

นอกจากความสะอาด ความเป็นระเบียบ และความใจดีของผู้คน ก็คงเป็นความแตกต่างของที่เที่ยวแต่ละภูมิภาคที่แต่ละฤดูก็มีความสวยงามต่างกันออกไปนี่แหละ ที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้เราเดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่นได้แบบเรื่อยๆ ถี่ยิบ เที่ยวแล้วเที่ยวอีกเที่ยวยังไงก็ยังไม่ครบจบไม่ลงกับประเทศนี้สักที แล้วครั้งนี้เราก็กลับมาอีกครั้ง ณ ชูบุ ภูมิภาคที่ถือว่าครบเครื่องเรื่องกินเที่ยว เราจะพาทุกคนไปที่ที่ Hidden เหมือนเดิมเพิ่มเติมคือจัดเต็ม เที่ยวแน่น ครบทุกแบบที่เมืองเขามี ทั้งสัมผัสกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ อบอุ่นกับวัฒนธรรมที่หาชมยากขึ้นทุกวัน ปรนเปรอด้วยอาหารและผลไม้รสเลิศ ชาชั้นเยี่ยม ขนมชั้นดีที่กินได้ที่นี่เท่านั้น ได้ใกล้ชิดสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เข้าถึงวิถีชีวิตต่างๆ ที่จะมาเยียวยาจิตใจของเราได้ดีมากเว่อร์ บนเส้นทางจาก Aichi – Shizuoka กับพาสราคาไม่สะเทือนกระเป๋าที่เดินทางได้ครบทั้งรถไฟ รถบัส และเรือ จบได้ในใบเดียว รับลองทริปนี้เที่ยวแบบฟินๆ กลับบ้านกันแบบหัวใจพองโตแน่นอนจ้า …

Day 1

ถ้าใครยังไม่เคยไปญี่ปุ่นบอกเลยการนั่งเครื่องบิน 6 ชั่วโมงถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากสำหรับคนที่ไม่ชอบที่แคบ และอยู่นิ่งไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราอยากแนะนำให้เลือกสายการบินที่นั่งสบาย มีกิจกรรมให้ทำสักหน่อย ครั้งนี้เราเลือกบินของป้าม่วง การบินไทย รักเราเท่าฟ้านี้แหละเหมาะสมที่สุด ด้วยไฟล์ท TG644 จากกรุงเทพฯ – Chubu Centrair แบบตรงดิ่ง เลือกเวลาเที่ยงคืน ถึงตอนเช้าๆ พร้อมเที่ยวแบบลุยๆ ได้ทั้งวัน ได้กินอิ่มกับอาหารอร่อยถูกปากคนไทย นอนหลับเพราะมีหมอน ผ้าห่ม ปิดไฟให้พร้อม อยากดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ หรือจะขอขนมเพิ่มพี่แอร์ก็ใจดีหาให้ได้หมด ถ้าเริ่มต้นดีอะไรก็ดีไปหมดแล้วสำหรับเรา

ลงเครื่องผ่าน ตม. แบบเชิดๆ ก็เริ่มหาตัวช่วยในการเดินทางเลยจ่ะ.. หาที่แลกตั๋ว JR PASS กัน โดยพาสที่เราเลือกใช้ครั้งนี้คือ Mt.Fuji Shizuoka Area Tourist Pass Mini  ที่ซื้อจากไทยไปเลยจะชัวร์กว่า เพราะตัวนี้สำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น ใช้ขึ้นได้ทั้งรถไฟ รถบัส ลงเรือ ตามบริเวณที่ตั๋วกำหนด (ซึ่งส่วนใหญ่คือที่เราจะไปนี่แหละ) ใช้ได้ทั้งหมด 3 วัน ไม่จำกัดรอบ ราคาก็แค่เพียง 4,500 เยน ( แต่ตั๋วอันนี้จะใช้จากสนามบินเข้าเมืองไม่ได้นะจ๊ะ ต้องซื้อตั๋วนั่งรถบัส หรือรถไฟมาลงที่เมืองก่อน ราคาประมาณก็จะประมาณ 1,200 เยน )

• Flight Of Dreams

พอแลกตั๋วเสร็จเราก็มีโอกาสได้เดินสำรวจรอบๆ สนามบิน คือรู้สึกดีมาก นอกจากคนจะไม่พลุกพล่านแล้วยังมีพล่าซ่าให้ชอปปิ้ง ร้านอาหาร และกิจกรรมเยอะแยะให้ทำ แทบจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่ได้เลยแหละ ถึงขนาดว่าได้เป็นที่ 7 ของ World’s Best Airports (By Skytrax) เมื่อปี 2018 เลยทีเดียว และสิ่งที่เราไม่อยากให้พลาด ถ้าได้มาถึงสนามบินนี้ก็คือ Flight Of Dreams ธีมพาร์คเอาใจผู้ที่ชื่นเครื่องบินเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าพลาดแล้วจะต้องเสียดายไปตลอดชีวิตแน่นอนแก๊!!!

เพราะพระเอกของที่นี่เป็นถึงเครื่องบินลำโต Boeing 787 มาจัดวางพร้อมกับการแสดง 3D Mapping ไฟ แสง สี เสียงสวยงาม โดยทีมเชี่ยวชาญด้านการดีไซน์และการจัดไฟอย่าง Team Lab นอกจากนี้ยังมีการจำลองโรงงานผลิตเครื่องบิน เข้าไปดูบรรยากาศห้องกัปตันขับเครื่องบิน ที่เด็ดกว่านั้นคือวาดภาพเครื่องบินของตัวเองให้ไปขึ้นโชว์โปรเจคเตอร์สีสันสวยงามให้เราบังคับเล่นได้ผ่านแท็บเล็ต และอีกมากมายรวม 9 กิจกรรม คุ้มค่าตั๋ว 1,200 เยนแน่นอน ใครอยากมาตามรอยที่นี่เปิดทุกวันเวลา 10:00 น. – 17:00 น. ( วันเสาร์เปิดถึง 19:00 น.) นะฮะ

• Maruha Shokudo

หลังจากเปิดทริปด้วยความล้ำนำสมัยแบบเจแปนนิสสไตล์แล้ว เราก็เดินทางออกจากสนามบินไปหาอาหารลงท้องกันที่ร้าน Maruha Shokudo ร้านอาหารประจำเมืองนาโกย่าที่มีหลายสาขามากจ้า ความเด็ดดวงพวงมาลัยของร้านคือความสดของอาหารทะเลนานาชนิด ทั้งกุ้ง กั้ง ปลา เซตอาหารประจำร้านที่มาถึงต้องลองสั่งคือ JR NAGOYA SET เซตเล็กๆ ที่มีทั้งกุ้งทอดตัวโตซิกเนเจอร์ของเมืองนาโกย่า และปลาดิบสดๆ หนึ่งจาน อิ่มกำลังดี อร่อยกำลังได้ กับราคาสบายๆ 1,460 เยน แล้วร้านสาขาที่เราไปวิวก็จะแกรนด์ๆ หน่อย มีทั้งทะเลตัดกับฟ้าใสๆ พร้อมดูรถที่ขับข้ามไปเกาะแบบเพลินๆ

Gamagori Orange Park

อิ่มแล้วก็ลุยต่อ จากนาโกยะเรานั่งรถไฟไปที่เมืองเล็กๆ น่ารักๆ อย่างกามาโกริ (Gamagori) เพื่อเข้าไปดูสวนส้ม Gamagori Orange Park ที่มีพันธุ์ส้มโดดเด่นอยู่ชนิดนึงคือ “ส้มมิคัง” ( Unshu Mikan ) เป็นตระกูลเดียวกับส้มแมนดารินแต่พัฒนาพันธุ์ที่ญี่ปุ่นนี่แหละ เพราะที่นี่ตั้งอยู่ริมอ่าวมิกาวะ ที่มีทั้งน้ำที่พอดีและสภาพอากาศที่เหมาะสมมากในการปลูกส้ม ทำให้ผลผลิตที่ออกมามีรสชาติดี มีมาตรฐาน และมีชื่อเสียงมาก ถึงแม้จะไม่ได้ปลูกแบบออร์แกนิคแต่เรื่องความปลอดภัยทางสวนการันตีว่าไม่มีสารพิษปนเปื้อนแน่นอน เพราะเป็นสวนที่เด็กๆ ชอบมาเที่ยวเล่น และเด็ดส้มกิน เราคำนึงถึงข้อนี้มากๆ

ความเศร้าคือเรามาหลังฤดูเก็บเกี่ยว เราเก็บส้มกันไม่ทันจ่ะ เลยได้กินแต่น้ำส้มคั้นสด กับผลิตภัณฑ์จากส้มเป็นของฝากแทน แต่!!! นอกจากส้มแล้วความจริงมีผลไม้แนะนำอีก คือ สตรอว์เบอร์รี, เมล่อน และองุ่น เราจึงได้เก็บสตรอว์เบอร์รีมานั่งกินกันแบบไม้อั้นแทน ที่นี่เค้าแพ็คเกจให้เลือกหลากหลายอยู่ จะมาเพื่อกินผลไม้แบบ all you can eat ที่เรามากัน หรืออยากเก็บกลับบ้านก็ได้ ราคาก็จะต่างกันไป แต่อยากบอกว่าบุฟเฟ่ต์ผลไม้ที่นี่ฟินมาก นอกจากจะเด็ดเองจากต้นแล้ว แต่ละลูกที่เราเลือกมันมีรสชาติต่างกัน กินไม่เบื่อเลยบางลูกหวาน บางลูกเปรี้ยว(ตามประสาคนเลือกไม่เป็น) บางทีเจอแจ๊กพ๊อตทั้งหวาน กรอบ ฉ่ำ แบบฟินๆ ไปเลยจ้าาาา สวนนี้เปิดทุกวันเวลา 9.00 – 17.00 น. มาช่วงเช้าๆ ดีนะแดดไม่ร้อนแสงกำลังสวยเลย

• Mikawa

พอกินอิ่มเราขอพาไปเดินย่อยที่ ริมอ่าว Mikawa สถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่เราจะเห็นชาวเมืองระแวกนี้มาเดินเล่น มาทำกิจกรรมกันเต็มไปหมด ฟีลแบบมีแต่คนญี่ปุ่น แล้วเราก็เนียนๆ ไปกับเขา จากตรงนี้สามารถเดินข้ามสะพานไปที่เกาะ Takeshima ได้โดยใช้เวลาเดินแค่ 6 นาทีเท่านั้นแหละ ซึ่งบนเกาะจะมี Yaotomi Temple วัดที่เขานิยมมาขอพรเรื่องความรักและการคลอดลูกอย่างปลอดภัย แล้วเกาะนี้ยังมีความสำคัญถึงขนาดว่าญี่ปุ่นยกเป็นพื้นที่คุ้มครองของประเทศอีกด้วย

ถ้าใครพอมีเวลาเราอยากแนะนำให้ไปที่ Seaside Literary Memorial Museum บ้านโบราณทรงยุโรปผสมผสานที่รวบรวมบทกวีของนักเขียนชื่อดังในอดีต จนถึงปัจจุบันเอาไว้มากมาย หรือจะแวะพักดื่มชาเขียวมัทฉะ พร้อมชื่นชมบรรยากาศของเกาะ Takeshima แบบเพลินๆ ก็ได้ด้วย

• Laguna Ten Bosch

หลังจากที่เราเช็คอินโรงแรมหาข้าวกินเรียบร้อย ก็นั่งรถไฟไปหาอะไรสวยๆ กระแทกตากันที่ Laguna Ten Bosch สวนสนุกชื่อดังประจำเมืองที่มีทั้งเครื่องเล่น สวนน้ำ สวนดอกไม้ โดยไฮไลท์ในช่วงกลางวันเราสามารถเที่ยวชมเรือ  Thousand Sunny จากอนิเมะชื่อดัง ONE PIECE ที่ออกแบบตามขนาดจริงเหมือนในการ์ตูน พร้อมให้ล่องเรือออกไปด้วย แถมยังหาซื้อของ Limited Edition ต่างๆ ได้จากที่นี่ด้วย

และในส่วนของกลางคืนที่เราตั้งตารอคอยก็คือ LAGUNA ILLUMINATION งานประดับไฟ และการแสดง 3D Mapping ธีม Mermaid Lagoon จะมีนางเงือก เจ้าหญิงอะไรออกมาสวยงามเต็มไปหมด ฉายบนม่านน้ำที่มีทั้งไฟ แสง สี น้ำพุ ให้เราตื่นตาตื่นใจตลอดโชว์ มีจุดถ่ายภาพมากมายไม่ว่าจะเป็นผืนน้ำหิมะจากไฟ ที่ปูทั้งพื้นด้วยไฟสีฟ้า โดยมีโดมรูปเกล็ดหิมะตั้งโดดเด่นสวยงามอยู่ตรงกลาง หรือจะเป็น Lucky Rainbow Arch ที่ใช้ไฟประดับเป็นปราสาทสดใสสวยงามถึงล้านดวง งานนี้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม สวยจนติดตาถึงตอนนี้กลับโรงแรมนอนหลับอย่างสงบศพสีชมพู จบอีกหนึ่งวันแบบฟีลกู๊ดดดด

Day 2

• Hamanako Lake

ตื่นเช้ามาแบบสดใสแม้ยังติดตาตรึงใจกับงานไฟเมื่อคืนจนอยากกลับไปซ้ำ แต่วันนี้ต้องไปต่อเพราะมีอีกหลายที่รออยู่ เราเริ่มต้นวันชิวๆ ด้วยการนั่งรถไฟไม่ถึงชั่วโมงมาที่เมือง Shizuoka เพื่อไปที่ Hamanako Lake ทะเลสาบน้ำกร่อยอายุกว่า 500 ปี ที่ใหญ่เป็นอันดับ 10 ของญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นการล่องเรือสำราญในทะเลสาบนี้จึงเป็นความคิดที่ดีที่สุดในการเที่ยวที่นี่ ซึ่งเราสามารถใช้พาสที่ซื้อมาขึ้นรถบัสไปลงที่ป้าย Lake Hamana Pleasure Boat แล้วขึ้นเรือต่อแบบชิวๆ ด้วยบัตรใบเดียวเลยจ้า

กิจกรรมบนเรือนอกจากถ่ายรูป ชมวิว สูดอากาศบริสุทธ์แล้ว ยังสามารถให้อาหารนกได้แบบใกล้ชิด แล้วนกที่นี่ไม่เกี้ยวกราดมาหยิบอาหารจากมือไปแบบนิ่มๆ ญี่ปุ่นม๊ากกก อะไรก็ละมุนไปหมด เป็น 30 นาทีที่โคตรเพลิน หลังจากนั่งเรือเสร็จจะนั่งกระเช้าคันซันจิ ( Kanzanji Ropeway ) ขึ้นไปดูจุดชมวิวทะเลสาบแบบ 360 องศา บนดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีฮามานาโกะก็ได้นะ ความพิเศษอยู่ที่กระเช้าคันซันจิเป็นกระเช้าข้ามทะเลสาบแห่งเดียวในญี่ปุ่นด้วยเด้ออออ แต่เวลาเราน้อยไปหน่อย … เอาเป็นว่ารอบหน้าแล้วกันเนอะ

• Kanzanjien

แกรู้กันมั้ยยยยยยว่าทะเลสาบฮามานาโกะเนี้ย นอกจากจะเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงปลาไหลชั้นดีแล้วเขายังเพาะพันธุ์หอยนางรมชั้นเยี่ยมด้วยเด้อ ถ้าใครมาแล้วไม่ได้ลิ้มลองนี่เหมือนมาไม่ถึงจริงๆ เพราะฉะนั้นมื้อเที่ยงวันนี้เราเลยมาฝากท้องกันที่ร้าน Kanzanjien ซึ่งเลือกร้านจากปริมาณคนเข้าออกเพราะคนมากินเยอะมาก เข้าออกไม่ขาดสาย และเป็นคนญี่ปุ่นทั้งนั้น แสดงว่าเด็ด (คิดเอง)

เมนูที่เราสั่งมาล้วนเป็นผลิตผลจากทะเลสาบฮามานาโกะทั้งสิ้น เพราะงั้นมั่นใจเรื่องความสดได้เลย แต่เนื่องจากเมนูทุกอย่างให้รายละเอียดเป็นภาษาญี่ปุ่น เราเลยไม่มั่นใจว่าที่กินไปคือปลาอะไร แต่ที่แน่ๆ คือชุดปลาสดๆ ตัวเล็กๆ ที่โปะบนข้าวร้อนๆ พร้อมไข่แดงดิบนี่ถือเป็น The must ที่อยากให้ลอง แม้ทุกอย่างในจานจะดิบแต่ไม่มีกลิ่นคาวเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับหวาน กลมกล่อมด้วยซ้ำ ถ้าใครไม่ถนัดดิบจะสั่งพวกปลาทอดก็อร่อยเหมือนกัน และส่วนที่เป็นพระเอกในดวงใจเราเลยคือเมนูหอยนางรมแบบต่างๆ ทั้งอบซอส ทั้งชุบแป้งทอด โอ๊ยๆๆๆ อร่อยแบบต้องครวญครางคือฟินทั้งหมด กินอิ่มก็ปิดท้ายด้วยส้มที่คาดว่าเป็น ส้มมิคัง นี่แหละหวานนำเปรี้ยว ล้างปากได้ดี เป็นมื้อที่เหมือนสวรรค์มาโปรดเลยจริงๆ เลือกร้านไม่ผิดจ้า

• Hamamatsu Flower Park

กินเสร็จแบบฟินๆ ก็ถึงเวลาทำตัวใสๆ สวยๆ เดินชมดอกไม้ในสวนหลังบ้าน เราก็ยังอยู่บริเวณทะเลสาบนี่แหละไม่ไปไหนไกล แค่นั่งบัสไม่กี่นาทีก็ถึง Hamamatsu Flower Park สวนดอกไม้ผืนใหญ่(มาก) ที่มีการจัดสวนให้เข้าชมได้ตลอดทั้งปี มีดอกไม้และพันธุ์ไม้กว่า 3,000 ชนิด ช่วงที่พีคมากๆ คือฤดูใบไม้ผลิ (ช่วงเมษายน) นี่แหละ ในงาน “Lake Hamana Flower Festa” ที่จัดขึ้นทุกปี โดยทั้งสวนจะเต็มไปด้วยต้นซากุระ ดอกทิวลิป และดอกไอริสรวมๆ เป็นล้านต้น นี่ขนาดช่วงที่เรามาไม่ใช่ช่วงพีคยังเจอดอกไม้เยอะขนาดนี้ เห็นทีคราวหน้าต้องจองตั๋วมาดูซากุระอีกรอบแล้ว

แต่ถึงไม่ได้มาช่วงพีคก็ไม่น่าเสียใจแต่อย่างใด เพราะภายในสวนยังแบ่งเป็นโซนพันธุ์ไม้พฤกษศาสตร์ต่างๆอีกเยอะแยะให้เราได้เลือกชม เช่นกลาสเฮ้าท์ที่เต็มไปด้วยตะบองเพชรน่ารัก สามารถถ่ายรูปได้หลายมุม โซนแสดงอีเว้นท์ตามฤดูกาล โดมสีขาวแสดงพันธุ์ไม้ที่มาแวะถ่ายรูปได้ตลอดทั้งปี และท่ามกลางความขาวสะอาดตาก็มีร้านกาแฟน่ารักที่ขายทั้งขนมและไอศกรีมรสชาติสุดโรแมนซ์​อย่างไอศกรีมรสกลีบกุหลาบ ลองชิมท่ามกลางสวนดอกไม้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ที่สำคัญอากาศที่นี่จะเย็นตลอดปี ในหน้าร้อนก็จะไม่ร้อนมากด้วย เห็นมั้ย!!! บอกแล้วไม่ต้องมาช่วงพีคก็ฟินได้ คนไม่เยอะด้วย

• Maramatsu Shouden

Shizuoka เมืองที่เรามาเที่ยวไร่ชาบ่อยจนสามารถเลือกยอดใบชาได้แบบมือโปร ถ้าไม่มาดื่มชาก็เสียเที่ยวแย่ เมืองนี้มีร้านชามากมายเรียงรายกันอยู่ตามท้องถนนทั้งแบบเก่าแก่ จนไปถึงโมเดิร์น ชิคเก๋ ครั้งนี้เราขอมาแวะชิมร้านท้องถิ่นกันที่ร้าน Maramatsu Shouden ซึ่งเรื่องชาเขาไม่เป็นสองรองใครแน่นอน ด้วยการทำชาที่ตกทอดมาสู่รุ่นที่สาม ซึ่งน่าจะยืนยาวจนไปถึงโหลนรุ่นที่สี่ เพราะนี่ยังจูงมือออกมายืนต้อนรับเราด้วยเลย โดยจุดเด่นของร้านคือการทำใบชาเอง ตั้งแต่ปลูก ตาก และคั่วทำเองหมด ทำให้มีกลิ่นและรสที่เป็นเอกลักษณ์ที่คนดื่มชาเก่งๆ น่าจะแยกกันออก

ที่นี่เป็นร้านชาธรรมดาที่สร้างกิมมิคด้วยการนำเกมส์ที่หาเล่นได้ยากมากในปัจจุบันอย่างเกมส์ทายชามาให้นักท่องเที่ยวหรือคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ๆ ได้รู้จัก เกมส์ทายชาหรือที่เรียกภาษาญี่ปุ่นว่า ฉะคาบุกิ เป็นการละเล่นที่มีมาตั้งแต่สมัยคามาคุระหรือเมื่อพันปีก่อน เป็นกิจกรรมของชนชั้นสูง อย่างซามุไร พระ ขุนนาง ซึ่งการดื่มชาตอนนั้นถือเป็นกิจกรรมของชนชั้นสูงเท่านั้น เมื่อมาถึงสมัยเอโดะค่านิยมการดื่มชาเริ่มนิยมในหมู่นักแสดงคาบุกิ(การแสดงดั้งเดิมของญี่ปุ่น) จึงกลายชื่อกิจกรรมเป็น ฉะคาบุกิ 茶歌舞伎 茶(ฉะ) คือ ชา 歌舞伎 คือ คาบุกิ มาถึงในปัจจุบันกลายเป็นกิจกรรมของผู้เชี่ยวชาญด้านการดื่มชาจะเล่นกัน… ซึ่งคิดไว้ในใจแล้วว่าเราไม่รอดแน่นอน (แยกกลิ่นชาเขียวกับชาไทยยังคิดนานเลย)

ก่อนเริ่มเล่นเกมส์เค้าจะให้ความรู้เกี่ยวกับชาทั้ง 5 ชนิดของร้านเขาก่อน ให้เราลองดมและจำกลิ่นเอาไว้ แล้วทุกคนจะมีกระดาษทายชื่อชาอยู่ในมือ จากนั้นเขาจะเริ่มชงชาให้เราชิมทีละแก้ว เราก็แค่ทายว่าเป็นชาตัวไหน พอจบเกมส์ใครชนะก็รับไปเลย!!!! แก้วชาลายพิเศษที่ทางร้านทำขึ้นเอง หายากและดูมีมูลค่ามาก ด้วยการเอนเตอร์เทนของเจ้าของก็ยิ่งทำให้เราสนุกเข้าไปใหญ่ เหมือนอยู่รายการทีวีแชมป์เปียนส์ จนรู้สึกว่ากิจกรรมของผู้ใหญ่ดูเป็นเรื่องสนุกไปเลย สมแล้วที่เป็นประเทศที่ทำทุกเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ไม่ผิดหวังเลยที่ตกหลุมรักประเทศนี้ ออ อีกอย่างคือถ้าใครชื่นชอบชาตัวไหนหรือติดใจอะไร ให้ซื้อเลยนะ!! เพราะร้านนี้ขายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น เผลอๆ ไปเมืองอื่นอาจะไม่เจอยี่ห้อนี้ด้วย

Day3

• Hamamatsu Castle

ปราสาทฮามามัตสึ ปัจจุบันกลายเป็นสวนสาธารณะเหมือนปราสาทอื่นๆ ไปหมดแล้ว แต่ถ้าดูข้อมูลถือเป็นอีกปราสาทของบุคคลที่มีความสำคัญมากทางประวัติศาสตร์ประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว นั่นคือนายพลโทคุกาวะ อิเอยาสึ ผู้วางระบบโครงสร้างการปกครองทั่วประเทศญี่ปุ่น ผู้ปิดฉากสงครามอันยาวนานกว่าร้อยปี และผู้จัดตั้งรัฐบาลเอโดะขึ้นมา แม้เมื่อสงครามโลกครั้งที่2 ตัวปราสาทได้ถูกทำลาย แต่ปัจจุบันก็ได้บูรณะคล้ายเดิมมากที่สุดแล้ว แต่สิ่งที่ยังคงอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนไม่เสื่อมสลายไปไหนก็คือรูปแบบของ Nomenzumi กำแพงหินที่วางอยู่ใต้ปราสาท ว่ากันว่าในบรรดาชั้นหินที่วางทับซ้อนกันอยู่ ถ้าเราหาก้อนหินรูปหัวใจเจอ จะนำความโชคดีมาแก่นักท่องเที่ยวคนนั้นๆ ซึ่งเราเดินวนจนหิวข้าวก็ยังหาไม่เจอ เลยต้องถอดใจไม่ได้ถ่ายมาให้เห็น

ในส่วนตัวปราสาทที่สร้างขึ้นใหม่จะมีทั้งหมด 4 ชั้นรวมถึงชั้นใต้ดินด้วย ภายในนอกจากร้านขายของที่ระลึก แล้วยังแสดงเอกสาร หลักฐานทางประวัติศาสตร์ เครื่องใช้ ชุดเกราะ รูปปั้นต่างๆ ในสมัยก่อนเอาไว้ด้วย จุดไฮไลท์คือชั้นบนสุดของปราสาทถือเป็นจุดชมวิวสุดคลาสสิคที่ให้เราจะได้เห็นทิวทัศน์ของเมือง Hamamatsu แบบเต็มตา หากโชคดีมาวันที่ฟ้าเปิดจากจุดนี้เราจะเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อีกด้วย ส่วนในฤดูใบไม้ผลิที่นี่ถือเป็นอีกที่ในการชมดอกซากุระแบบฟินๆ เพราะรอบปราสาทมีต้นซากุระถึง 400 ต้น บอกเลยชมพูทั้งพื้นที่ สวยจนจินตนาการไปไม่ถึงต้องมาดูเอง

• Teahouse Shointei

แกกำลังคิดในใจกันสินะว่าเอะอะดื่ม แป๊ปๆ เข้าร้านชาอีกแล้ว เอ๊าาา.. ก็มาเมืองแห่งชาจะให้เราไปไหน แต่บอกเลยว่าแต่ละที่ไม่เหมือนกัน ที่นี่ให้ฟีลแตกต่างกับเมื่อวานโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นการเสิร์ฟชารูปแบบประเพณีเป๊ะๆ สวยงามทุกกระบวนท่า ให้เราเข้าถึงความเป็นญี่ปุ่นอีกรูปแบบหนึ่ง นอกจากการเสิร์ฟที่โดดเด่นแล้ว เรื่องการออกแบบดีไซน์ห้องน้ำชายังน่าประทับใจด้วย เน้นแสงธรรมชาติ และสีน้ำตาลอ่อนให้ดูอบอุ่นในบ้านทรงสมัยก่อน จัดสวนที่มีความย้อนยุคสวยงามแบบมินิมอลสบายตายิ่งทำให้เราอยากอยู่ที่นี่นานขึ้นอีก

การชงชาสำหรับญี่ปุ่นถือเป็นประเพณี และศิลปะประจำชาติที่สำคัญอย่างนึง เพราะฉะนั้นการนั่งมองความละเมียดในการชงนั้นถือเป็นอีกหนึ่งอรรถรสที่ทำให้เราอินกับความเป็นญี่ปุ่นมากๆ เรานั่งรอในห้องน้ำชาสักพักก็มีหญิงสูงวัย เกล้าผมเรียบร้อยในชุดกิโมโน ยกชุดน้ำชาและขนมเข้ามาเสิร์ฟ และสาธิตการชงชาอันสวยงามที่ถือเป็นพิธีกรรมชั้นสูงให้เราได้ดู ละเอียดถึงขนาดว่าทุกตำแหน่งของอุปกรณ์ที่วางบนโต๊ะนั้นมีความหมาย ต้องหยิบอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งแบบที่ถูกวิธีแบบนี้หาดูได้ยากมากๆ และวิธีการดื่มที่ถูกต้องคือการทานขนมเพื่อให้ปากเรามีรสหวานก่อน ค่อยจิบชาตามจะได้ลิ้มรสของความหอมและความขมแบบละมุนของชาได้แบบเต็มที่นั่นเอง

• Kakegawa Kachouen

จิ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พญานกแบบข้าบินมาถึงแล้วววววว Kakegawa Kachouen สถานที่ที่เหมาะกับคนนกๆ อย่างเรา ขอบอกก่อนว่าเราเป็นคนที่อินมากกกับสวนสัตว์ที่ญี่ปุ่น เพราะส่วนใหญ่จะเลี้ยงได้ดีมากๆ ทุกตัวดูมีความสุข มีชีวิตชีวา สุขภาพดี และที่นี่ก็เช่นกันทุกอย่างดูมีสีสัน สดใส ด้วยความหลายของพันธุ์นกกว่า 700 สายพันธุ์ทั่วโลก ที่เราสามารถอยู่ใกล้ชิดกับนกได้แบบระบบสัมผัส ทั้งให้อาหาร ลูบหัว เอามาเกาะแขน หรือจะอุ้มนกก็ยังได้ (มีเจ้าหน้าที่อยู่ด้วย)

ตอนแรกไม่คิดว่าสวนนกจะน่าสนุกอะไรจนมาเห็นระบบการจัดสวนของที่นี่ ซึ่งลักษณะของสวนจะเป็นโดมโปร่งแสงติดแอร์ขนาดใหญ่ไม่ใช้กรง เพราะฉะนั้นเชื่อใจเรื่องความสะอาด และอุณหภูมิที่เหมาะสม เที่ยวได้ตลอดทั้งปี นกกับคนอยู่ด้วยกันแบบไม่มีกรงกั้น ให้อาหารจากมือได้โดยไม่ต้องกลัวว่านกจะทำร้าย เพราะมันคุ้นชินกับคนและเรียบร้อยมากๆ นอกจากนี้ยังมีโชว์ให้ดูตลอดทั้งวันด้วย ที่เราชอบมากๆ คือ Bird Show การบินของเหยี่ยวและนกฮูกแสนรู้ที่โฉบไปมาแบบใกล้ๆให้เราตกใจเล่น เชื่องจนงงว่านี่นกหรือหมา บางตัวก็ขี้อ้อนฉอเลาะเหลือเกิน

• Sawayaka

พักเรื่องนกๆ แล้วแวะมาฝากท้องที่ร้านประจำเมืองที่มีเฉพาะใน Shizuoka เท่านั้น ร้านแฮมเบิร์ค Sawayaka มีทั้งหมด 31 สาขาในจังหวัดนี้ ถ้ามาช่วงพีคๆ หรือวันหยุดอาจจะต้องใช้ความอดทนหน่อยเพราะเขาว่ารอคิวกันเป็นชั่วโมงก็มี แต่เราบอกเลยนะ คุ้มค่าการรอมาก!!!! เขาเชี่ยวชาญด้านแฮมเบิร์ค จากการเปิดตั้งแต่ปี 1977 ก่อนเราเกิดอีก แต่เพิ่งมาบูมช่วงสิบปีนี้เองเพราะเริ่มมีคนไปรีวิวเยอะขึ้น พอคนมาตามมันก็อร่อยจริงๆ จนกลายเป็นที่รู้จักและเป็น THE MUST!!! ที่ต้องมากิน

สำหรับคนรักเนื้อเราแนะนำให้สั่ง “Genkotsu Hamburg” เนื้อบดเน้นๆ ที่เสิร์ฟมาบนกระทะร้อนซู่ๆๆๆๆๆๆ เห็นก้อนเนื้อกลมดิ๊กวางกลิ้งไปมาอยู่บนความซู่ซ่านั้น พอพนักงานยกมาวางที่โต๊ะเท่านั้นแหละนางก็เริ่มหันครึ่งแล้วจี่เนื้อลงกระทะให้บานออก กลายเป็นแฮมเบิร์คชิ้นโตเลยทีเดียว เสิร์ฟพร้อมซุป และขนมปังฝรั่งเศส (หรือจะเลือกเป็นข้าวญี่ปุ่นก็ได้) แปปเดียวก็กินหมดเพราะมันไม่เลี่ยนกินได้เรื่อยๆ หนึ่งจานจะได้เนื้อขนาด 250 กรัม ราคา 1,000 เยนนิดๆ ถือว่าไม่แพงเทียบกับคุณภาพเนื้อ คือเราต้องกินเบิ้ลอะ คนเดียวกินเนื้อไปครึ่งโล คิดดู๊ว่าอร่อยขนาดไหน!!!!

• Maruzen Tea Roastery

ร้านชาอีกแล้วครับคุณผู้อ่าน อันนี้สำหรับคอชาเขียวไม่อยากให้พลาด และเหล่าบรรดา Cafe Hopping ที่ชอบถ่ายร้านคาเฟ่ทั้งหลายต้องมาตามรอยกันรัวๆ เพราะร้านน่ารัก แสงสวยมาก และมีการพรีเซ้นท์ชาออกมาในรูปแบบสมัยใหม่หน่อย คือการสร้างเรื่องราวและลูกเล่นให้ลูกค้าได้เลือก และเพิ่มความพิถีพิถันในแบบที่ไม่เหมือนใครขึ้นมา เพราะปัจจุบันคนญี่ปุ่นดื่มชากันน้อยลงมาก ทางร้านจึงพยายามคิดหาวิธีให้คนหันกลับมาบริโภคและรักษาการดื่มชาเขียวให้คงอยู่ต่อไปในญี่ปุ่น ด้วยวิธีคิดแบบนี้แหละทำให้ร้านนี้สเปเชี่ยลสำหรับเรามากๆ

น้ำชาแต่ละแก้วที่นี่เขาให้เราเลือกอุณภูมิคั่วใบชาเอง และดริปด้วยมืออย่าปราณีตแก้วต่อแก้ว พนักงานยังคอยให้ความรู้ถึงอุณหภูมิการคั่วชาด้วยว่าแบบไหนได้เข้ม ได้อ่อน แบบไหนเป็นแบบที่เราต้องการ ส่วนอีกหนึ่งเมนูอร่อยมากๆ จนเราหยุดไม่ได้เลยคือ เจลาโต้ชาเขียว ทั้งตู้มีแต่ไอศกรีมชาเขียวแต่แต่ละถาดระดับอุณหภูมิคั่วต่างกัน (ดูจากสีน่าจะรู้นะ) มีให้เลือกทั้งมัจฉะ และโฮจิฉะ มีคั่วตั้งแต่อุณหภูมิ 0℃ ที่จะให้ความรู้สึกสดชื่น ไปจนถึง 200℃ ที่ให้กลิ่นหอมของชาอย่างเด่นชัด และถ้าใครชอบกลางๆ กลิ่นหอมของชาแบบชัดๆ ไม่มากไป เราแนะนำคั่วที่ 160℃ หรือที่เขาเรียกว่า Brown Roasted จะได้กลิ่นของโฮจิฉะหอมกำลังดีเลย

• Katsuragawa Ryokan

หลังจากที่เดินจนเข่าดังเอี๊ยด เที่ยวจนสมองเบลอ กินจนตัวอวบแน่น ก็ถึงเวลาพักผ่อนร่างกายด้วยออนเซ็นร้อนๆ คลายเส้นกันหน่อย จากสถานีรถไฟ Shuzenji เราใช้พาสนั่งรถบัสเบอร์ 10 ไปยัง Kazurakawa ย่านออนเซ็นในเมือง Shuzenji ถึงปุ๊กก็ตรงดิ่งไปยัง Katsuragawa Ryokan ที่พักหรูหราหมาเห่าระดับสี่ดาว ห้องเสื่อทาทามิขนาดใหญ่ที่นอนแปดคนได้สบายๆ บริการฟูลเซอร์วิส อาหารเช้าและเย็นแบบญี่ปุ่น กินอยู่แบบราชาไปเลยจ้า และที่สำคัญมีออนเซ็นทั้งแบบ indoor และ outdoorให้เราเลือก ที่เราให้ความสำคัญกับการแช่ออนเซ็น เพราะมันมีประโยชน์มาก พิสูจน์มาแล้วกับตัว ทั้งช่วยเรื่องความผ่อนคลาย ปวดกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการเจ็บเส้นประสาท ระบบไหลเวียนเลือด และทำให้ผิวดีขึ้นจริงๆ ไม่เชื่อลองดู!!

Day4

ตื่นเช้ามาแบบไม่อยากจะเชื่อว่านี้เป็นวันสุดท้ายของทริปแล้วเหรอ ทำไมทริปนี้เวลามันผ่านไปเร็วเยี่ยงนี้?? ต้องรีบดื่มด่ำทุกนาทีให้มีค่าที่สุด เริ่มจากมื้อเช้านี้ที่อร่อยสุดจัดปลัดบอก.. ข้าวสวยร้อนๆ โรยด้วยปลาป่นแบบง่ายๆ แต่รสชาติโคตรฟิน กับวาซาบิละเอียดสดๆ ที่ปลูกในเมืองแถบนี้ลงไปเพิ่มอีก อร่อยจนน้ำตาจะไหลแบบกินแต่ข้าวไม่กินกับยังได้เลย แต่ในเมื่อเค้าเตรียมหม้อร้อน และเครื่องเคียงต่างๆ มากมายให้เราทานคู่ครั้นจะไม่กินก็กลัวเสียนำ้ใจ และถึงแม้หน้าตาอาหารจะดูจืด ไม่ค่อยมีโปรตีนเท่าไหร่ แต่บอกเลยนะว่าเด็ดมาก เพราะทุกอย่างที่ปรุงมาเค้าคิดไว้แล้วว่าต้องทานคู่กัน เช่นปลาย่างที่มีรสเค็มของเกลือต้องตัดด้วยความหวานจากผักดอง ความเลี่ยนจากของดองก็ตัดด้วยข้าวโรยปลาป่นวาซาบิ ถือเป็นมื้อทิ้งท้ายกับที่พักแสนวิเศษ แม้จะใช้เวลาไม่นานแต่ก็ รีบูทร่างกายได้มากเลยทีเดียว

• MaChi Nabi Yururi

หลังจากทานอาหารเช็คเอ้าท์แล้ว เราจะพาไปแต่งสวยแปลงโฉมกันที่ MaChi Nabi Yururi ร้านเช่ากิโมโนและยูกาตะ ร้านเล็กๆ หน้าสถานีรถบัส Shuzenji Onsen นี่เอง ร้านเล็กๆ แต่เขามีเสื้อให้เลือกถึง 150 แบบเลยนะแก เลือกกันให้ตาแตกเอาให้สวยจนตะลึง ที่สำคัญราคาย่อมเยามากๆ นะฮะ ประมาณ 4,500 เยนเอง มีทั้งเสื้อ รองเท้า กระเป๋า ผู้หญิงเขาก็ทำผมให้ด้วย ที่เก็บสัมภาระตอนเราไปเดินเล่นด้วย แล้วเจ้าของก็น่ารักมากด้วย ช่วยเหลือ ดูแลเราทุกอย่าง.. คือเดินออกจากร้านมาเหมือนเป็นคนใหม่เลย เสื้อผ้า หน้า ผม เข้ากับบรรยากาศเมืองเก่าในญี่ปุ่นนี้มาก ฟีลแบบ Complete แล้วจ้าทริปนี้

• Shuzenji

เมื่อวานมาถึงก็มัวแต่แช่ออนเซ็นจนยังไม่ได้เดินเล่นในเมือง Shuzenji เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาใจกลางคาบสมุทรอิซุ ถือเป็นเมืองออนเซ็นเก่าแก่ที่มีอายุถึง 1,200 ปี และยังสามารถรักษากลิ่นอายความดั้งเดิมของญี่ปุ่นไว้ได้เป็นอย่างดี แม้จะอยู่ใกล้คาบสมุทรแต่วิวที่ได้ไม่ใช่วิวทะเลนะจ๊ะ เป็นวิวทิวเขาและธรรมชาติที่สวยไม่แพ้กัน และแม้ว่ายังคงความเก่าแก่ของหมู่บ้านเอาไว้แต่ภายในบ้านเขาได้รีโนเวทเป็นคาเฟ่ ร้านขายของน่ารักๆกันไปแล้วจ้า.. บอกเลยเดินไม่มีเบื่อแน่นอน แทบจะละลายทรัพย์ไปกับเหล่าขนมแสนอร่อยไปเกือบหมด ที่มาแล้วต้องลองเลยก็คือ ซอฟครีมน้ำผึ้ง ที่หอมหวานน้ำผึ้งแท้ๆ รู้สึกสดชื่นเหมือนไปยืนรับลมอยู่บนไหล่เขาเลยทีเดียว

ตลอดทางที่เราใส่ชุดกิโมโนมาเดินนี้มีมุมถ่ายรูปเยอะมากจนเมมกล้องแทบเต็ม(เตรียมมาเผื่อกันด้วยนะ) ส่วนไฮไลท์ที่ห้ามพลาดเลยคือสะพานแดงเล็กๆ ที่ให้ฟีลคลาสสิคเหมือนเราย้อนเวลาไปได้จริงๆ และป่าไผ่ที่สูงเสียดฟ้าจนมองแทบไม่เห็นยอดที่ตรงกลางมีม้านั่งให้เรานั่งมองพักสายตา สูดกลิ่นไอธรรมชาติเข้าปอดแบบเต็มๆ ถ้ามาตอนกลางคืนแล้วเรานอนลงตรงนี้แหงนหน้ามองฟ้าที่เป็นรูตรงกลางจากไม้ไผ่ที่ล้อมรอบเราไว้ คงจะเห็นดาวเยอะมากๆ โรแมนติกไปอีกแบบเนอะ

สำหรับสายบุญอยากเข้าวัดเข้าวาไหว้พระบ้าง ที่นี่ก็มีให้จ้า Shuzenji Temple วัดเก่าแก่ที่สร้างชื่อให้เมืองออนเซ็นแห่งนี้ ซึ่งเป็นวัดที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ล้อมรอบด้วยอาคารหลายหลัง มีประวัติเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจกันในตระกูลตั้งแต่ปี 1194 และได้พบจุดจบกันที่นี่ แม้จะมีอดีตที่น่ากลัวและเจ็บปวด แต่ปัจจุบันสถานที่นี่ก็เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวอยู่มากเหมือนกัน คงเป็นเพราะความขลังของสิ่งปลูกสร้าง และต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นเรียงสวยงามเป็นทางยาวน่ามอง กลบความน่ากลัวต่างๆ ในอดีตจนหมดสิ้น และด้วยความที่นี่เป็นเมืองออนเซ็นการล้างหน้า ล้างมือก่อนเข้าวัดจะธรรมดาเหมือนที่อื่นไม่ด๊ายยยยยยย น้ำของวัดนี้เป็นน้ำอุ่นนะจ้าาาาา มาไหว้ฤดูหนาวก็ไม่ต้องกลัวนิ้วแข็งแต่อย่างใด ราดเลยมั่นใจอุ่นสบายมือแน่นอน

• Mishima Skywalk

ทริปนี้ยังไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาหวาดเสียวตื่นเต้นเท่าไหร่ เราเลยขอพาทุกคนไปพับกบพบกับสะพานแขวนสำหรับเดินชมวิวที่ยาววววววที่สุดในญี่ปุ่น  Mishima Skywalk สะพานแขวนทอดยาวกลางหุบเขา ที่มีความยาวถึง 400 เมตร สูงจากพื้นประมาณ 70.6 เมตร ตลอดทางเดินเราจะเห็นวิวทิวเขาและธรรมชาติทั้ง 360 องศา ฟีลเหมือนเดินไต่เชือกแต่ปลอดภัยกว่า ถ้าใครกลัวความสูงก็ต้องใจกล้านิดนึงนะเพื่อน.. และที่ฟินกว่านั้นคือตลอดการเดินเราจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิแบบเต็มตาจังๆ ใหญ่มากๆ ความจริงถ้ามาจากฮาโกเน่ก็ไม่ไกลมากเหมือนกันนะ

นอกจากสะพานแขวนแล้วที่นี่ก็มีอะไรให้ทำเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเดินชมเส้นทางธรรมชาติของป่าคิโคะโระ ซึ่งมีการนำไม้ทรงรีมาสร้างผลงานศิลปะที่น่าสนใจให้เดินดูกันเพลินๆ, ประตูจิ๋วที่คล้ายประตูโดเรมอนที่ติดตามต้นไม้พร้อมข้อความชวนอนุรักษ์ธรรมชาติ, มีกิมมิคเล็กๆ ให้เราปลูกป่ากันด้วย คือ ให้เราซื้อเครื่องราง Wood Charm 200 เยน เครื่องรางที่ทำจากไม้ทรงกลม วาดหน้ายิ้ม 🙂 แล้วตรงกลางเครื่องรางนั้นจะมีเมล็ดพันธุ์อยู่ เมื่อเราไปเดินตรงสะพานให้เราทิ้งเครื่องรางลงไปกลางป่านั่นแหละ.. เราว่าเป็นการปลูกป่าที่น่ารักอีกวิธีนึงเลยทีเดียว และยังมีคาเฟ่เรือนกระจกที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ห้อยลงมาจัดแต่งสวยงาม ขายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ขนม และของที่ระลึกด้วย ทีเด็ดของเขาที่เราลองมาเห็นจะเป็น ซอฟครีมเกร็ดน้ำตาล และน้ำตาลนี้ไม่ใช่น้ำตาลทั่วไปปปปป มันคือน้ำตาลจาก นิกาตะ ถ้าไม่มีสตอรี่ญี่ปุ่นเขาไม่ทำจริงๆ ที่ต้องเป็นน้ำตาลจากนิกาตะเพราะนอกจากสีสันจะสดใส รูปทรงน่ารักพองๆ แล้ว ตรงกลางยังกลวงๆ อีกด้วย ทำให้เราเคี้ยวเล่นได้แบบสบายๆ ประทับใจกันไปอีกหนึ่งดอก

• Izu Fruit Park

สวนผลไม้ที่มีผลิตผลตลอดปีตามฤดูกาลไม่ว่าจะเป็นสตรอว์เบอร์รี ส้ม เมล่อน และตัวชูโรงของที่นี่ก็คือสตรอว์เบอร์รีของโปรดของข้านั่นเองจ้า.. ก็จะคล้ายๆ กับที่อื่นๆ มีบุฟเฟ่ต์ผลไม้ แต่ต่างที่มีสตรอว์เบอร์รีหลากหลายสายพันธุ์กว่า เช่น พันธุ์เบนิฮอปเปะ ที่รสออกเปรี้ยวหวานสดชื่น, อากิฮิเมะ รสหวานเจี๊ยบเปรี้ยวน้อย เป็นต้น แต่วันนี้เราไม่ได้มากินหรอกนะ เรามาแวะซื้อของฝากจากสวนกัน ไม่ว่าจะเป็นขนมที่ทำจากสตรอว์เบอร์รี ส้ม และเมล่อน ป๊อปคอร์นรสสตรอว์เบอร์รี สตรอว์เบอร์รีสดก็มีขายนะ ใครอยากลองก็ซื้อเลยไม่ต้องเข้าไปชมสวนก็ได้ อาหารทะเลแห้งประจำถิ่นต่างๆ ก็มีให้เลือกด้วย

ถ้าจะขายสตรอว์เบอร์รีใส่ถ้วยเหมือนคนๆ อื่นมันก็ครีเช่เกินไป ที่นี่เขาขายแบบแถมวิปครีมมาให้ที่ก้นถ้วยแบบแน่นๆ ให้เราเดินไปคีบสตรอว์เบอร์รีโปะด้านบนเองได้แบบไม่อั้น ในราคาแค่ 580 เยน ถูกกว่ากาแฟอีกอะแกกกก๊ แอบคิดอยุ่ในใจว่าขายแบบนี้อยู่ได้เหรอ คนที่ร้านเลยบอกว่าเพราะเป็นไร่สตรอว์เบอร์รีขายราคานี้ ก็อยู่ได้สบายๆ ถ้าไปขายข้างนอกราคานี้ขาดทุนแน่นอน.. นอกจากความหลากหลายวาไรตี้ของของฝากแล้ว วิวของที่นี่เป็นวิวฟูจิแบบเต็มตาม๊ากกก คือแค่กินสตรอว์เบอร์รีจิ้มวิปครีม พร้อมชมวิวนี้ไปด้วย ก็คุ้มเกินคุ้มแล้วค่ะคุณ

• Kinomiya Jinjya Kinomiya Shrine

หลังจากที่ซื้อของละลายทรัพย์กันเสร็จ เรามาจบที่การขอพรให้ร่ำให้รวย งานเข้าปังๆ กันที่ Kinomiya ศาลเจ้าสีสดใสที่คนนิยมมาไหว้เพื่อเป็นสิริมงคล ความโชคดี และอายุมั่นขวัญยืน เพราะเชื่อกันมาแต่โบราณว่าเป็นที่ประทับของเทพแห่งความสุขและโชคชะตา ใกล้ๆ กันมีต้นโอคุสึ หรือเรียกแบบไทยๆ ว่าต้นการบูรยักษ์อายุมากกว่า 2,000 ปี ความยาวรอบต้นประมาณ 24 เมตร ว่ากันว่าถ้าเราเดินรอบ 1 รอบอายุจะยืนขึ้น 1 ปี และถ้าเดินไปด้วยขอพรในใจโดยไม่บอกใครไปด้วยคำขอนั้นจะเป็นจริง และกิมมิคอย่างหนึ่งคือทุกเช้าเค้าจะกวาดใบไม้หน้าศาลเจ้าแล้วทำเป็นรูปหัวใจซึ่งจะเหมือนกับสัญลักษณ์ที่ติดอยู่ตรงศาล

ที่นี่มีเครื่องรางกว่า 30 ชนิดให้เราได้เช่ากันด้วย แบ่งตามประเภทของพรที่เราอยากได้ การเรียน ความรัก การเดินทาง ฯลฯ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะนิยมเครื่องราง “ปัดเป่า” เรียกว่า “โอคุสึมุชิโยะเคะมาโมริ” ซึ่งมีฤทธิ์ปัดเป่า “แมลงกวนเด็ก” “แมลงนอกใจ” “แมลงพนัน” ฯลฯ คนโบราณมักจะเปรียบเรื่องไม่ดีเป็นแมลง และต้นโอคุสึนั้นมีฤทธิ์ป้องกันแมลงได้นั่นเอง

• Starbucks สาขา Fujikawa

ถ้ามีเวลาเหลือระหว่างทางกลับไปที่สนามบินเราอยากให้ทุกคนลองมานั่ง Starbucks สาขา Fujikawa นี้เพราะเป็นสาขาที่ได้วิวฟินมาก จิบกาแฟพร้อมมองออกนอกหน้าต่างบานใหญ่เจอวิวฟูจิยืนเด่นเป็นสง่าให้เราได้เชยชม นอกจากวิวจะสวยแล้วการตกแต่งดีไซน์ของร้านก็สวยเกินกว่าจะเป็นร้านกาแฟตามจุดพักรถ มองพี่ฟูจิให้พอใจจนตะวันลับขอบฟ้าก็เดินทางกันต่อ

• Ramen Abe’s

มื้อเย็นส่งท้ายทริปนี้ขอแวะซู๊ดดด.. ราเมงก่อนกลับกันที่ร้าน Ramen Abe’s ร้านราเมงเล็กๆ แบบเล็กม๊ากกกก แต่รสชาติอลังการเพราะขนาดเราไปยืนรอก่อนร้านเปิดแล้ว ยังมีคนมาต่อแถวก่อนเราอีก แล้วยิ่งพอถึงเวลาเปิดร้านแถวนี่ยาวกว่าเดิมหลายเท่านัก! นั่นเป็นเพราะราเมงร้านนี้เป็นราเมง No.1 ของจังหวัดชิสุโอกะจ้าาาา เห็นซุปใสๆ หน้าตาเชงๆ แบบนี้นะบอกเลยว่าเข้มข้น และหอมหวานมากๆ

ด้วยความที่เราเป็นคนรักเมนูเส้นแบบแฟนตัวยง ยิ่งราเมงคือกินได้ทุกวันไม่เคยเบื่อ สำหรับร้านนี้เมนูที่เราอยากแนะนำให้มาลิ้มลองคือ โชยุราเมง ที่ไม่ต้องปรุงเพิ่มก็ฟินจนหยดสุดท้าย เส้นที่ลวกกำลังดีไม่แข็งไม่นิ่มเกินไป กินกับไข่ต้มที่ไข่แดงเยิ้มๆ หน่อย คือความดีงามที่อยากจะค่อยๆ เล็มกลัวมันจะหมด ยิ่งถ้าอากาศหนาวๆ ได้ซดซุปร้อนให้อุ่นท้องก็ยิ่งเพิ่มอรรถรส และทำให้จานตรงหน้าดูมีคุณค่ามากขึ้นไปอีก อยากจะกินตุนเอาไว้ถึงพรุ่งนี้เช้าเลยจ้าาาา

• TUBE Sq

และหากใครมาถึงสถานบินแล้วยังเหลือเวลาอีกเยอะ หรือมาดึกบินเช้า อยากนอนสบายๆ ไม่ต้องกลัวใครมาเห็น เราขอแนะนำให้ลองไปนอนโรงแรมแคปซูล  TUBE Sq ในสนามบิน Chubu Centrair นี่แหละฮะ มีราคาทั้งแบบรายชั่วโมง และคิดเป็นคืน เช่น 3 ชม. 2,800 เยน, 9 ชม. 3,800 เยน เกินชั่วโมงที่จองไว้คิด 500 เยน เลือกได้ตามความพอใจของเรา จะได้เดินทางไม่เหนื่อยมากพักเอาแรงกันสักหน่อย

สุดท้ายเราอยากจะบอกว่าทริปนี้ถือเป็นทริปเที่ยวที่คุ้มค่าคุ้มราคา และเวลามากอีกหนึ่งแพลนของเรา การที่เราเตรียมตัวลิสต์สถานที่ท่องเที่ยว หาข้อมูล และซื้อพาสเอาไว้เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด มันทำให้เราเที่ยวได้แบบราบรื่นไม่ติดขัดจริงๆ ถ้าใครต้องทำงานและมีเวลาเที่ยวน้อยมากๆ แต่อยากเที่ยวให้ครบเราแนะนำให้ทำแบบเรานะ แล้วแกจะไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ถึงแม้นี่จะเป็นการมาญี่ปุ่นรอบที่ร้อยของเรา แต่บอกเลยว่า “มันยังไม่พอ!!” เพราะความประทับใจกับประเทศนี้ไม่เคยลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย แล้วเราจะตามหาที่เที่ยวแปลกๆ คนไปน้อยๆ ให้พวกแกได้ตามรอยกันอีก รอติดตามทริปต่อไปของเราด้วยนะ อย่าเพิ่งเบื่อกันละ 🙂