On the Road in Rajasthan, India

บนโลกกลมๆ ที่กึ่งๆ จะแบนใบนี้คือดาวที่เจิดจรัสที่สุดในจักรวาล คือที่ซึ่งมีจุดหมายปลายทางอีกหลายสถานเฝ้ารอให้เราไปเชยชมด้วยตาของตัวเอง และรอบนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เราจะพาพวกแกไปห่มส่าหรี ตะลุยดินแดนเอเชียใต้ผู้รั้งตำแหน่งจำนวนประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก แถมยังมีภาษาหลายร้อยหลายพันภาษา แดนดินถิ่นมหาภารตะที่จะทำให้พวกแกตะลึง ตึง ตึง ตึง ตึง สนุก และทึ่งกับความสวยงามหลากสีสัน เราจะตะลอนทัวร์แบบ Road Trip ในประเทศอินเดีย ณ รัฐราชาสถานที่แสนจะวาบหวามและคัลเลอร์ฟูลแบบ 9 วันเต็ม อะไรที่เค้าว่าดี อะไรที่เค้าว่าเด็ด เราจะไปหาไปเก็บมาให้เชยชม เรากล้าการันตีว่าภาพที่แกจะได้เห็นต่อไปนี้จะทำให้แกหันกลับไปมองอินเดียในมุมใหม่ว่าแท้จริงแล้วคนอินเดียน่ารัก ใจดี เฟรนลี่ แถมเที่ยวง่ายราคาสบายกระเป๋าสุดๆ เอาหล่ะ!!! ลบภาพเก่าที่เคยฝังหัว ทำตัวตามสบายเหมือนเช่นทุกที ผ่อนคลาย วางอคติไว้ข้างกาย แล้วตามเรามาเลยจ้านายจ๋าาาา มาดูกันว่าเมือง photogenic ที่หันกล้องส่องไปถ่ายมุมไหนก็สวยมันเป็นยังไง ….

Rajasthan :: ราชาสถานอดีตเส้นทางสายไหม ดินแดนเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เดิมนางชื่อว่า แคว้นมัจฉะ แต่เดิมที่นี่แบ่งการปกครองแบบแยกจากกันโดยเด็ดขาด 20 แคว้น  ขึ้นตรงต่อมหาราชาของแคว้นนั้นๆ ทำให้ที่นี่เป็นเสมือนดินแดนแห่งพระราชา จึงถูกขนานนามว่า ราชาสถาน มานับแต่นั้น และทำให้แต่ละแว่นแคว้นไม่ว่าจะใหญ่น้อยก็ล้วนมีสถาปัตยกรรมที่ล้ำค่า ยิ่งใหญ่ และสวยงาม ตามความประสงค์ของพระราชาแต่ละแคว้น และความยิ่งใหญ่ของราชาสถานทำให้ที่นี่มีภูมิประเทศที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าอันอุดม ทะเลสาบชุ่มน้ำ ไปจนถึงทะเลทรายสุดแห้งแล้ง จึงเป็นที่แน่นอนว่าตลอดการโร้ดทริปของเราในราชาสถานแห่งนี้จะเต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าตื่นเต้น ความสวยงามที่น่าประหลาดใจ และความงามที่แตกต่างกันสมชื่อราชาสถาน …. จะสวยขนาดไหน เรามาเริ่มต้นออกเดินทางกันเลยเถอะ

การเดินทางครั้งนี้เราเลือกบินไปกลับที่จัยปูรย์เมืองศูนย์กลางของรัฐราชาสถาน ซึ่งแน่นอนจะเป็นสายการบินไหนไปไม่ได้ นอกจากแอร์เอเชียคนดีคนเดิมของเรานั้นเอง รูทนี้นางมีบินตรง 4  เที่ยวบินต่อสัปดาห์ airasia.com ให้เราเลือกบินได้ตามใจ แถมยังมี Value pack ที่สามารถซื้อได้ในระหว่างจองตั๋วเท่านั้น ซึ่งอันนี้เราแนะนำเลยเพราะเป็นแพคที่จะทำให้ทุกการบินของพวกแกสะดวกและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น เพราะนางมาพร้อมกับน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัม จะบินพร้อมกระเป๋าใบโตแค่ไหนก็ไม่หวั่น อาหารร้อนบนเครื่องจะได้ลงเครื่องปุ้บพร้อมเดินทางต่อปั๊บ สิทธิเลือกที่นั่งได้ตามใจมุมไหนแลนด์แล้วเห็นมุมเด็ดจะได้ไม่พลาดดด และที่สำคัญคือประกันการเดินทางจาก Tune Protect ที่ทำให้เราปลอดภัยหายห่วงตลอดการเดินทาง จองครั้งหน้าก็อย่าลืมเพิ่ม Value pack ไปด้วยล้าาา เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน!!!!

เริ่มเด้อ!!! Road trip ของเราครั้งนี้เราเลือกเที่ยวไล่ตั้งแต่ Jaipur – Mandawa – Bikaner – Jaisalmer – Jodhpur – Udaipur – Jaipur ด้วยการเช่ารถพร้อมคนขับซึ่งเราได้ให้โรงแรมที่พักคืนแรกช่วยหา ซึ่งก็ได้มาในราคาเหมาๆ วันละประมาณ 1,500 บาท พอหาร 4 คน ก็ถือว่าคุ้มค่า เลิศอยู่ เช่าสิรออะไร … แล้วออกไปตะลุยชิวๆ กันทีละเมืองๆ เพื่อดื่มด่ำอินเดียกันแบบฉ่ำๆ จนแกอาจสงสัยว่าระหว่างสายรุ้งกับอินเดียอันไหนสีจะเยอะกว่ากัน เพราะแต่ละเมืองของเค้ามีความโดดเด่นและสีสันที่แตกต่างกันออกไป งานนี้การันตีว่าจอยเว่อออออออ อลังเว่อออออ ลองนึกภาพตัวเองใส่ชุดสีขาววันนีง สีแดงวันนึง เหลืองวันนีง โดยมีพระราชวังที่เปลี่ยนสีไปในทุกๆ วันเป็นฉากหลัง พอเหนื่อยก็เข้ามาพักหลบร้อนดื่มชา พ้อยขาถ่ายรูปสวยๆ แบบมหารานี หายเหนื่อยก็เดินขึ้นอูฐไปชมพระอาทิตย์ตกดินถ่ายรูปย้อนแสงแบบชิคๆ จบวันด้วยการเดินมาขึ้นรถพร้อมคนขับ เพื่อกลับที่พักไปอาบน้ำเตรียมชุดของวันต่อไป และแม้ว่าบางทีอาจจะเหนื่อยหน่อย ร้อนหน่อย กินอาหารบางอย่างไม่ได้หน่อยๆ แต่รับรองว่าการเดินทางตลอด 9 วันนี้จะไม่มีอะไรน่าเสียดาย

Day 1 : Jaipur – Mandawa

เมืองแรกของทริปเราเร่ิมกันที่ Mandawa เมืองเล็กๆ ที่อยู่ใน Jhunjhunu อำเภอหนึ่งทางตอนเหนือของรัฐราชสถาน ที่นี่ถูกสร้างขึ้นโดย Mandu Jat จึงถูกเรียกว่า Mandu-ki-dhani ก่อนจะกลายมาเป็น Mandawa อย่างในปัจจุบัน แม้ภายนอกจะเหมือนกับเมืองร้างที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังและฝุ่นควัน แต่หากลองพิจารณาดีๆ แล้วเราจะได้เห็นร่องรอยแห่งความมั่งคั่งในอดีตผ่านจิตรกรรมฝาผนังทั้งภาพเขียน ลายฉลุ รวมถึงสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่บอกเราเรื่องราวอันรุ่งโรจน์ในอดีตของเมืองแห่งนี้ จาก Jaipur ราว 3 ชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึง Mandawa Kothi Hotel โรงแรมที่ข้างนอกดูค่อนข้างเก่าแต่ข้างในยังคงความสวยเหมือนกับภาพวาดที่เราตามหาที่นี่ แม้จะมีอายุมากกว่า 100 ปีแล้ว แต่เค้าก็ได้ปรับปรุงและแต่งเติมให้มันดูใหม่สดอยู่เสมอภายใต้คอนเซ็ป your home away from home โดยทั้งโรงแรมมีเพียงหกห้องเท่านั้นจ้า เรียกว่าหรูหราหมาเห่าทั้งสถานที่และการบริการกันเลยทีเดียว

พอเช็คอินวางกระเป๋าเข้าห้องเสร็จ เราก็ขอพักผ่อนชิวๆ อย่างมหาราชาให้เหมาะสมกับความอลังการของที่พักกันสักหน่อย นอนเล่น เก๊กท่าถ่ายรูปลงโซเชียลให้เพื่อนๆ อิจฉาเล่นสักสองสามรูป ก่อนออกไปขี่อูฐตอน 4 โมงเย็น เพื่อเที่ยวชมเมือง ทักทายชาวบ้าน ก่อนไปจบที่เนินทรายถ่ายรูปคู่กับแสงยามเย็นแบบอาหรับราตรี สำหรับใครที่อยากจะรอชมพระอาทิตย์ตกบนเนินทรายก็สามารถนั่งรอสวยๆ บนทรายได้เลย แต่สำหรับเราเมื่อเทียบระหว่างเนินทรายกับดาดฟ้าโรงแรมสุดเก๋ไก๋ เราขอเลือกกลับมาชมพระอาทิตย์ตกที่ดาดฟ้า จิบเบียร์อินเดียกับถั่วคั่วเพลินๆ ดีกว่า เพราะเป้าหมายหลักทะเลทรายของทริปยังไม่ใช่เมืองนี้จ้า …

พอตะวันลับฟ้าท้องไส้ก็เริ่มร้องหาอาหาร และดินเนอร์วันนี้เราขอทานอาหารท้องถิ่นในโรงแรม ก็จะมีแป้งนานเสิร์ฟพร้อมกับแกงต่างๆ และมันอบสไตล์อินเดีย แม้ตอนแรกจะต้องแอบกลืนน้ำลายเพื่อข่มใจตัวเองว่าจะไหวไหมหนอ แต่เมื่อลองกินดูแล้วก็ต้องบอกว่าผิดจากที่คิดเพราะมันโอเคกว่าที่คาด บางเมนูก็ไม่ได้ฉุนเกินไป ทำให้เราต้องคิดใหม่ว่าอาหารอินเดียก็ไม่ได้แย่ทุกอย่าง ที่เรากินได้ก็ยังพอมีบ้างไม่ถึงขั้นอดตายแน่นอน แต่เอาจริงๆ ถ้าแกเป็นคนกินยากจะพกมาม่ามาซักโหลสองโหลก็ไม่ผิดกติกาเด้อ

Day 2 : Mandawa – Bikaner

หลับเต็มตื่นทอเต็มผืนด้วยชุดเครื่องนอนอินเดีย เช้าวันที่สองอันแสนสดใสก็ได้เวลาที่เราจะออกไปเที่ยวมันดาวากันแบบเต็มที่ซักที อดีตเมืองเก่าแก่ที่เคยรุ่งเรืองแห่งนี้มี ไม่ว่าจะมองไปทางไหนเราก็ยังคงเห็นภาพความมั่งคั่งผ่านฮาเวลี่ หรือคฤหาสน์ของเหล่าเศรษฐีในอดีต ที่ต้องเน้นย้ำว่าในอดีตก็เพราะว่าในปัจจุบันคฤหาสน์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และเปลี่ยนแปลงสถานะไปตามสภาพเศรษฐกิจ บางที่ก็กลายไปเป็นโรงแรม บางที่ก็ถูกยึดโดยคนในพื้นที่ และอีกหลายหลายที่ก็ถูกปิดตาย แต่เอาจริงๆ นะ แม้จะเก่าจะโทรมแต่ความยิ่งใหญ่มันไม่ได้ลดลงเลยนะแก แกยังสามารถนั่งจิบกาแฟบนดาดฟ้าในถ้วยสีขาว และชมภาพนูนต่ำสีทอง เดินชมลายฉลุจากช่างหลวงในอดีตในชุดพร้ิวๆ และหมวกสานแบบอังกฤษ นอนเล่นภายใต้ภาพเขียนสีฟ้าเยี่ยงมหาราชา ถ้าไม่ใช่ที่นี่ก็ยังไม่เห็นจะมีที่ไหนจะให้ประสบการณ์แบบที่นี่ได้เว้ยแก (ที่นี่ก็ให้ประสบการณ์แบบที่อื่นไม่ได้เช่นกันอิอิ)

แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงโดดเด่นท้าทายลมฝนและคงความงดงามแตกต่างจากโครงสร้างที่เริ่มทรุดโทรมก็คือภาพเขียนสีสไตล์เฟรสโก (fresco) ที่แปลว่าสดในภาษาอิตาลี เป็นการใช้เทคนิคการลงสีลงบนปูนตั้งแต่ยังไม่แห้งเพื่อให้สีคงความสดได้นานกว่าการลงสีแบบอื่น ซึ่งเราสามารถเห็นภาพเขียนสีทรายนี้ได้ทั่วทุกแห่งในมันดาวาเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นด้านนอกของคฤหาสน์ หรือในสุดของกำแพง ทางเดินที่นี่จึงเป็นเหมือนสถานที่จัดแกลอรี่กลางแจ้งสุดแจ่มเลยก็ว่าได้

เดินไปเดินมาเราก็วนมาโผล่ในย่านที่คึกคักที่สุดของเมืองนี้นั่นก็คือย่านการค้าชุมชนนั่นเอง ที่นี่คือต่างจากตรงอื่นสุด จากที่เงียบสงบก็กลายเป็นคึกคักจอแจอินเดียสไตล์ขั้นสุด แน่นอนหากใครอยากได้ของฝาก อยากลองกินอาหารพื้นเมือง ชิมขนม ลองทานสารพัดถั่วก็มีหมดจ้า และด้วยความที่นี่คืออินเดีย เมื่อเขาเห็นเราสะพายกล้องก็จะยิ่งได้รับความสนใจ ถ้ายกขึ้นมาถ่ายทีไรทุกคนก็เป็นต้องโพสต์ท่าจิกกล้องแตกแบบไม่มีใครยอมใคร ฆ่าได้ฆ่าแบบนี้เลยเว้ย ซึ่งมันก็น่ารักเฟรนลี่ดีนะแก

ตะวันตรงหัวก็ได้เวลาออกเดินทางจากมันดาวามุ่งหน้าสู่ Bikaner เมืองแห่งทะเลทรายที่ถูกสถาปนาขึ้นโดยเจ้าชาย Rao Bikaji พระญาติของกษัตริย์ผู้สร้างเมือง Jodhpur จึงมีการวางผังเมืองที่คล้ายกันคือล้อมรอบไปด้วยกำแพงเมืองและป้อมปราการจนได้ชื่อว่าเมืองแห่งป้อมสีแดง ด้วยสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้งตลอดทั้งปีทำให้ที่นี่ขึ้นช่ือเรื่องการเลี้ยงอูฐ ทำให้ปัจจุบันมีทั้งสวนสัตว์อูฐ และเทศกาลที่เกี่ยวกับอูฐสุดยิ่งใหญ่ในนช่วงมกราคมของทุกปีด้วย

• Narendra Bhawan

และโลเคชั่นแรกในบิคาเนอร์ เราไปกันที่ Narendra Bhawan เมืองที่เป็นเสมือนเส้นทางการค้าขายที่สำคัญมาตั้งแต่ศตวรรษที่สี่ อาคารบ้านเรือนและถนนหนทางของที่นี่จึงค่อนข้างมีความสมบูรณ์ วิจิตรงดงาม และแปลกตาทางสถาปัตยกรรมที่ค่อนข้างจะต่างจากเมืองอื่นๆ ที่เราได้พบเห็นเป็นอย่างมาก แถมบางส่วนมีตึกมีลักษณะคล้ายกับสถาปัตยกรรมในบอมเบย์ ซึ่งตึกแต่ละตึกที่เราเห็นนี้บางตึกเราก็สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ แต่บางส่วนก็เป็นบ้านเรือนที่พักอาศัยของคนที่นี่ และอีกหลายตึกก็เป็นตึกรกร้างที่ถูกทิ้งไว้ แต่กระนั้นก็ดีมันก็ยังคงความสวยงามเชิดฉายให้เราได้เห็นและเก็บภาพมาฝากพวกแกนี่แหละ

เบื้องหน้าของเราคือตึกสูงสีแดงอมส้ม แต่ละหลังประกอบด้วยหน้าต่างหลาย 10 บานตลอดทั้งแนว มีประตูเรียงรายต่อกันจนเป็นเหมือนกำแพงรูปแบบหนึ่ง และหากสังเกตุดีดีประตูหน้าต่างและระเบียงต่างๆ ล้วนฉลุลายที่มีความละเอียดปราณีตไว้ในทุกๆ จุด แม้จะมองไปแค่ระดับสายตาก็ยังรู้สึกได้ถึงความปราณีต ไม่ต้องพูดถึงเมื่อเราไล่สายตาขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงขอบฟ้าก็ยิ่งได้พบกับความละเอียดละออของช่างในสมัยโบราณมากยิ่งขึ้นไปทุกที กิ๊บเก๋ยูเรก้าขนาดนี้ถ่ายรูปออกมาแต่ละใบดูแล้วถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าเราอยู่กันที่อินเดีย สำหรับสายโซเชียลและสาวๆ เราแนะนำให้ใส่เดรสขาวกระโปรงยาวมายืนหมุนตัวบิดซ้ายบิดขวาเดินซอกแซกตามซอย ทำทีเป็นเผลอบ้างจิกกล้องให้แตกบ้าง รับรองได้เลยว่ายิ่งเดินก็จะยิ่งเจอมุมถ่ายรูปสุดปังอีกเพียบ

Day 3 : Bikaner – Jaisalmer

• Devi Kund Sugar

เช้าตรู่ของวันที่สามพอไก่โห่เราก็ลุกมาล้างหน้า หวีผม พรมเนื้อตัวด้วยน้ำหอมกลิ่นโปรดก่อนออกเดินทางไปชมอีกหนี่งความวะ วะ ว๊าววววที่ Devi Kund Sugar ซึ่งโดมหินอ่อนสีขาวที่เรียงรายตัดกับท้องฟ้าดูคล้ายๆ ทัชมาฮาลที่เราเห็นนี้แท้จริงแล้วคือหลุมพระศพหรือเมรุของเหล่าราชวงศ์สกุล Bikaner ซึ่งในแต่ละเมรุนี้จะประกอบด้วยเสาร์ 16 ต้น หากเป็นหลุมฝังศพของราชวงศ์ผู้ชายก็จะมีแผ่นศิลาจารึกชื่อและพระรูปอยู่บนเมรุ แต่หากเป็นของราชวงศ์ผู้หญิงก็จะเป็นรอยพระบาท ซึ่งบางส่วนเราจะเห็นเมรุที่มีลักษณะแตกต่างออกไปเช่นเมรุที่มีสีแดงอมส้มจะเป็นเมรุที่สร้างขึ้นใหม่ ส่วนเมรุที่ทำด้วยหินอ่อนสีขาวองค์ใหม่สุดเป็นเมรุที่ได้รับการผสมผสานศิลปะระหว่าง Rajput และ Mughal ดังนั้นการโพสท่าใดๆ ก็ไม่ควรจะห้าวเป้งมากนัก เอาแบบพอดีพองามแบบคนที่ได้รับการอบรมเนอะ และหากอยากได้ภาพโล่งๆ คนน้อยก็แนะนำให้มากันแต่ไก่โห่นี่แหล่ะจ้า

• Lalgarh Palace

ออกจากพระเมรุก็ไปต่อที่ป้อมปราการแห่งเมืองบิคาเนอร์ ป้อมนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1478 ภายใต้คำสั่งของมหาราชา Rao Bika ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Mughal ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบ Gujarati และ Raiput ส่วนความสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองบิคาเนอร์หรือป้อม Junagarh มันถูกสร้างขึ้นในปี 1589 โดยราชา Rai Singh และราชา Karan Singh เดินจนเพลินอ่านละก็งงว่ามันศิลปะแนวไหนนี่เอาจริงก็ดูไม่ออกแต่บอกได้คำเดียวว่าแนว “รวย” แน่นอน เพราะมันทั้งใหญ่โตมโหระทึกคึกโครมสมตำแหน่งต้นกำเนิดวัฒนธรรมแห่งเอเชียที่จะทำไรทั้งทีมันต้องเปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง

ต้นไม้ ประตู แจกัน ดิน ทราย ต้นไม้ใหญ่ แก้วน้ำ จาน ชาม บันได โคมไฟที่สวยยยยงามมมมม ไม่ได้ร้องเพลงนาจานายจ๋าแต่จะบอกว่าทั้งหมดทั้งมวลที่เราเจอ โอ้โหสวยแบบแม่เจ้า สวยแบบวัวสิ้นชีพ ควายเป็นลมกันเลยทีเดียว ถือว่าเป็นป้อมที่มีความสมบูรณ์ของห้องต่างๆ ดีมากกกก แถมข้างข้างกันก็ยังมีมิวเซียมให้เราได้เล่นกันอีกสักหน่อยด้วย ดังนั้นใครที่มีเวลาก็สามารถซื้อตั๋วควบแบบเข้าชมทั้งป้อมและมิวเซียมทีเดียวเลยก็คุ้มจ้าาา

เที่ยวแลนด์มาร์คหลักเท่าที่เวลาจะเอื้อ เราก็ต้องโบกมือลามุ่งหน้าสู่ Jaisalmer ที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงกลางทะเลทรายธาร์ ด้วยหินทรายสีเหลืองทำให้ยามเมื่อแสงอาทิตย์ตกต้องบนมหานครแห่งนี้ สิ่งก่อสร้างต่างๆ ก็จะเจิดจรัสเป็นสีทองอร่ามตา จึงเป็นที่มาของสมญานามนครสีทองนั่นเอง เมืองแห่งนี้แม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลาง แต่ก็เป็นเมืองที่ร่ำรวยมากเพราะเป็นเมืองทางผ่านของคาราวานสินค้าทั้งผ้าไหมและเครื่องเทศ ทำให้มีการเก็บภาษีค่าผ่านทางจากเหล่าวานิชย์ และยังคงความคึกคักตั้งแต่อดีตจนถึงจุบัน แต่ตอนนี้ต่อให้ทองแค่ไหนเราก็ยังไม่ได้เห็นจ้าเพราะมันค่อนข้างไกลกว่าจะดั้นด้นมาถึงก็มืดค่ำซะละ แต่ระหว่างทางก็ไม่ได้เสียเวลาไปเปล่าๆ นาจา เพราะมีทั้งน้องอูฐ ทะเลทราย พระอาทิตย์ออกมาเซย์ไฮ เซย์กู๊ดบายกันมันส์ๆ ตลอดทาง

Day 4 : Jaisalmer

• Jaisalmer Fort

เช้าวันใหม่สดใสซ่าบซ่าเราตื่นขึ้นมาบน Jaisalmer Fort ป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ถูกสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1156 จากความสวยงามของตัวป้อมปราการสีทองที่มีหอรบถึง 99 หอ และทะเลสายสีทองยาวสุดลูกหูลูกตาที่รายล้อมป้อม ที่นี่จึงได้รับการจัดอันดับให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักเดินทางประทับใจมากที่สุดใน Jaisalmer และในปัจจุบันที่นี่ได้แปรสภาพจากหอรบที่ใหญ่โตเป็นจุดให้นักท่องเที่ยวได้มาชมวิว และพักผ่อน รวมถึงอยู่อาศัยด้วย และเราก็ได้มีโอกาสมานอนบนนี้เมื่อคืนนี้แหล่ะแก๊ แต่มาถึงก็มืดก็ได้แต่เดินเข้าไปนอนแบบงงๆ แต่พอเช้าเดินเปิดประตูมาเจอวิวเมือง โอ้โห แกเอ้ยยยย แบบตื่นเช้ามาขยี้ตา เสยผม แล้วมายืนชมเมือง เฮ้ยยย ฟีลนี้มันต้องมาลองสัมผัสสักครั้งนึงในชีวิตนะแก

และอย่างที่บอกที่นี่มีป้อมมากถึง 99 ป้อม เพราะฉะนั้นแกสามารถเดินชมเมืองได้แบบรอบทิศและแอ็คท่าได้แบบรอบทาง จะยืนเท่ๆ บนกำแพงก็ดี หรือจะนั่งพ้อยขาปล่อยชายกระโปรงพริ้วๆ ให้ระกำแพงสวมหมวกหนึ่งใบและเอียงหน้าเฉียงๆ มองตึกรามบ้านช่องก็เฉียบไลค์เพียบแน่นอน

• Patwon Ki Haveli

พอได้ภาพสวยสวย ก็ถึงเวลาสวมบททูตวัตนธรรมเดินเล่นทักทายชาวอินเดีย เดินเล่นตลาดซื้อฝากต่างๆ ก่อนจะไปเอากระเป๋าที่ รร แล้วลงมาเที่ยวต่อด้านล่างฟอร์ต ณ แลนด์มาร์คสุดปัง Patwon Ki Haveli คฤหาสน์ที่ใหญ่โตที่สุดและสำคัญที่สุดของเมือง Jaisalmer คฤหาสน์ของคฤหัสถ์นามว่า Guman Chand Patwa นี้ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานกว่า 50 ปี จึงแล้วเสร็จ คฤหาส์ที่สร้างจากหินสีหลืองเพื่อความอะร้าอร่ามแห่งนี้แท้จริงแล้วประกอบด้วย 5 คฤหาส์ย่อย มีระเบียงพร้อมซุ้มหน้าต่างอันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ถึง 66 ระเบียง โดยคฤหาสน์ 5 หลังนั้นสร้างตามจำนวนลูกๆ ของ Guman Chand Patwa นี่แหละ และในแต่ละหลังก็มีดีเทลที่ต่างกันออกไป

ในปัจจุบันรัฐบาลได้เข้ามาเป็นผู้ดูแลคฤหาสน์หลังนี้และเปิดใช้ในวาระต่างๆ ตามความเหมาะสม รวมทั้งเปิดให้เราได้เข้าไปตื่นตาตื่นใจกันอีกด้วย ซึ่งกว่าจะเดินหมดก็เล่นเอาเก๊าท์แทบกำเริบ และหากใครมีเวลาก็สามารถเปลี่ยนจากสายคาเฟ่ฮอฟปิ้ง มาเป็นคฤหาสน์ฮอฟปิ้งแทนได้เช่นกัน เพราะ Haveli เนี่ยคือสิ่งที่ต้องห้ามพลาดในการมาเมืองนี้เลยนะจ้ะนายจ๋า แต่ละหลังก็มีรูปแบบสีสันที่โดดเด้งแตกต่างกันไปตามรสนิยมของอดีตเจ้าของนั่นล่ะ ซึ่งแต่ละหลังก็ยังดูปั๊วะจนทำให้เราเหมือนเดินทางย้อนเวลากลับไปในช่วงที่ตึกกำลังรุ่งเรืองเลยล่ะ แต่เสียดายที่เราถ่ายได้แค่คฤหาสน์ที่ดังที่สุดก็ต้องโบกมือบ๊ายบายซะแล้ว

• Thar Desert

ถ้าเป็นรายการทีวีช็อตนี้ก็คงเป็นช่วงรายการฝันที่เป็นจริง เพราะวันนี้เราจะไปนอนแคมป์กลางทะเลทรายเว้ยแก๊ คือแบบลองนึกถึงเรื่องอาละดินในวัยเด็ก อาหรับราตรีในวัยเยาว์ และเดอะมัมมี่ในวัยรุ่น นึกถึงทะเลทรายสีทองสุดลูกหูลูกตา ฝูงอูฐ พรมเปอร์เซีย ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวจนยากจะจำแนกกลุ่ม น้ำชาร้อนๆ ท่ามกลางความหนาวเหน็บยามค่ำ เสียงของลมและฝุ่นของทราย แน่นอนว่ามันอาจไม่ใช่ความฝันของใครหลายคน แต่หากประโยคที่ผ่านมาทำให้ใจของแกเต้นแรง จดมันลงลิสต์ที่ควรทำก่อนตายและออกเดินทางซะ เพราะนี่ก็เป็นลิสต์กิจกรรมที่ Popular มากที่สุดกิจกรรมหนึ่งของนครสีทองแห่งนี้ และที่นี่ก็เปิดเฉพาะหน้าหนาวเท่านั้นเพราะหากต้องเดินทางในยามบ่ายของฤดูร้อนแล้วแม้แต่อูฐก็คงต้องขอลา ที่พักก็มีให้เลือกหลากหลายจะจองผ่านเว็บหรืออมาซื้อทัวร์จากในเมืองก็ได้เช่นกัน จะเอาหรูหราหมาเห่า หรือพอให้ได้ฟีลกรุบกริบก็มีหลายสไตล์ให้เลือกจ้า

จากตัวเมืองเค้าจะมีรถมารับเรามุ่งหน้าสู่ถนนอันเวิ้งว้างกว่า 1 ชั่วโมง เพื่อมาเก็บข้าวของ ณ ที่พัก ก่อนจะนำเราไปทำความรู้จักมักจีกับอูฐส่วนตัวที่จะเป็นเสมือนรถประจำตำแหน่งที่จะพาเรามุ่งหน้าไปยัง Sand Dunes เพื่อรอชมพระอาทิตย์อัสดง หลังจากเจ้าอูฐเหยีดขาออกเต็มที่ตัวเราก็ถูกยกสูงจนมองเห็นผืนทรายได้ไกลกว่าเดิมแต่ก็ยังไม่อาจเห็นจุดสิ้นสุดอยู่ดี ทุกย่างก้าวที่โยกเยกจนเราสงสัยว่าจะมีใครเกิดอาการเมาอูฐเช่นเมารถเมาเรือได้หรือเปล่า แต่โชคดีว่าไม่เป็น สายลมตีหน้าเบาๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราได้อยู่บนหลังอูฐท่ามกลางทะเลทราย แต่หัวใจของเราก็ยังคงตื่นเต้นทุกครั้งไป

ขอบฟ้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตามจำนวนก้าวของอูฐ ก่อนจะหยุดลงบนเนินทรายที่เราไม่อาจบอกพิกัดได้ อูฐย่อตัวลงเพื่อให้เราได้เดินถ่ายรูปตามอัธยาศัย เราถอดรองเท้าทิ้งตัวนั่งลงบนทรายที่ยังอุ่นอยู่ บทสนทนาเริ่มขึ้นแบบไม่รู้จักชั้นไม่รู้จักเธอกับน้องๆ ไกด์ที่จูงอูฐมาตลอดทาง ภายใต้หนวดเคราและผิวกร้านแดดบทสนทนากลับชวนเรียกรอยยิ้ม เราแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ ไปเรื่อยๆ จนเรารู้แล้วว่าคนอินเดียน่ารักและเป็นมิตรมากๆ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และทัศนคติของเราที่มีต่อชาวอินเดียก็เปลี่ยนไปพร้อมๆ กับแสงสีเหลืองที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม และผืนทรายสีทองก็เปลี่ยนสีไปเช่นกัน เป็นสัญญาณว่าพระอาทิตย์กำลังเริ่มที่จะลาลับจากท้องฟ้า สายลมเบาๆ หอบเม็ดทรายลอยวน เสียงผู้คนเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงชัตเตอร์ก่อนที่ความมืดจะเข้าปกคลุมเราก็ตกหลุมรักทะเลทรายอีกครั้งเสียแล้ว

หลังจากอาบน้ำล้างเนื้อตัวก็ได้เวลาออกมาทานมื้อเย็นท่ามกลางราตรีกาล ตรงหน้ามีเพียงกองไฟหนึ่งกอง และการแสดงที่ชวนให้ปรบมือ หลังจากอิ่มเอมจากอาหารและความรู้สึก ค่ำคืนนี้ของเราก็สุกสกาวเหมือนดาวบนแคมป์ของเรานี่แหล่ะ

Day 5 : Jaisalmer – Jodhpur

หลังจากเที่ยวครบจบภารกิจที่เมืองจัยซัลแมร์เรียบร้อย เราก็ย้ายตัวเองไปยังเมือง Jodhpur มหานครสีฟ้าที่หลายๆ คนคุ้นหูกันนั่นเอง นครสีฟ้าแห่งนี้คือเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของราชาสถาน โดยสีฟ้าที่เราเห็นนี้เป็นสีที่เป็นด่างสัญลักษณ์ของศาสนาพราหมณ์ และด้วยความที่ผู้สร้างเมืองนี้หรือพระเจ้าโยธาได้มาสร้างเมืองหลวงใหม่ไว้ที่นี่ที่เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าพราหมณ์ จนทำให้บริเวณนี้มีชื่อเรียกกันว่าพราหมณ์บุรี แต่เมื่อมีการย้ายเมืองทำให้ชาวบ้านย้ายเข้ามาอยู่อาศัยในบริเวณเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้เราพราหมณ์ทาสีที่พักของตนให้เป็นสีฟ้าเพื่อให้เกิดความแตกต่างจากบ้านเรือนทั่วไปจนกลายมาเป็นจุดกำเนิดของชื่อนครสีฟ้านั่นเอง

Patharia Hill

เรามาถึงที่จ๊อดปูร์ช่วงบ่ายสามและเพื่อไม่ให้เสียเวลาเราก็เติมหน้า ทาปาก แล้วมุ่งตรงไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Patharia Hill ป้อมร้างที่ไม่ห่างรักเพราะปัจจุบันที่นี่คือ Sunset point อันโด่งดังที่แม้จะต้องเดินทางด้วยความยากลำบากกันซะหน่อยแต่เมื่อแกได้ขึ้นไปยืนบนแนวหินแล้วมองออกไปเห็นเมืองสีฟ้าจรดขอบฟ้าอีกฟากฝั่ง การนั่งรอชมแสงของพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลับขอบฟ้าไปกับบรรยากาศรอบตัวที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยน และการได้ถ่ายรูปในมุมสุดปังนี้ก็ถือว่าเป็นความคุ้มค่าอย่างที่สุดแล้ว

Day 6 : Jodhpur – Udaipur

Mehrangarh Fort

เข้าสู่เช้าวันที่หกในราชาสถานบอกเลยว่ายังไม่มีวันไหนที่เรารู้สึกเนือยๆ เบื่อหน่าย หรือรู้สึกว่าเที่ยวแบบธรรมดา ก็เพราะนี่มันอินเดียไงล่ะแก๊ อะไรๆ มันก็เลยไม่เคยจะธรรมดา วันนี้ก็เช่นกันเรากำลังจะไปเที่ยวชมพระราชวังแบบป้อมปราการที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในสี่ของพระราชวังแบบป้อมปราการในประเทศอินเดีย ที่กินพื้นที่บนภูเขาเพียง 125 ลูก บนเนินเขาที่สูง 122 เมตรเท่านั้นเอ๊งแก๊ นั่นก็คือ Mehrangarh Fort ป้อมปราการเมห์รันกาห์ถูกสร้างขึ้นโดยมหาราชาโยธะ (Maharaja Jodha) ในปี ค.ศ. 1459 ภายในประกอบด้วยห้องต่างๆ ถึง 347 ห้อง ตำหนัก และท้องพระโรงอีกหลายตำหนัก ต่อมาในปี 1929 ก็ได้มีการสร้างพิพิธภัณฑ์พระราชวังอุเหมาบาวัน (Umaid Bhavan Palace) เพิ่มขึ้นเป็นหลังสุดท้ายก่อนได้รับอิสรภาพจากอังกฤษด้วย

ด้วยความที่พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่บนความสูงถึง 122 เมตร บนเนินเขาทำให้ที่นี่เป็นจุดชมวิวของมหานครสีฟ้าที่สูงที่สุดและสวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งที่ต้องห้ามพลาด ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็คล้ายกับจุดชมพระอาทิตย์ตกที่เราไปมาเมื่อวานเพียงแต่มันอยู่ในจุดที่สูงกว่า เราก็จะได้เห็นนครสีฟ้าที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนสีฟ้าได้มากขึ้น ได้เก็บภาพในมุมที่สูงขึ้น ได้ยืนมองวิวเมืองแบบแกรนด์มากขึ้น เทียบก็แบบเมื่อวานคือสิ่งที่นายพลชั้นสูงเห็น แต่วันนี้คือวิวที่มหาราชาเห็นอ่ะแก

• Jaswant Thada

เราจะไปกล่าวลาจ๊อดปูร์กันที่ Jaswant thada อนุสรณ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมหาราชาซาดาร์ สิงห์ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระบิดาของพระองค์ โดยใช้สถาปัตยกรรมสไตล์ราชปุตนา ด้านนอกของอนุสรณ์สถานทำจากหินอ่อนสีขาว มีซุ้มประตูโค้งอันเป็นเอกลักษณ์และยอดโดมที่สลักลวดลายอันปราณีต นอกจากตัวอาคารแล้วสวนดอกไม้ และทะเลสาบของที่นี่ก็ยังเป็นความสวยงามที่ขึ้นชื่อจนได้รับการขนานนามว่าเป็นทัชมาฮาลแห่งเมืองมาร์วาร์

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาที่นี่ก็คือจุดชมวิวที่นับได้ว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในมหานครแห่งนี้ที่เราจะเห็นอนุสรณ์สถานจัสวันธาดาเป็นฉากหน้าและป้อมเมรันกาห์เป็นฉากหลัง ถือเป็นจุดที่เราจะได้เก็บ “ที่สุด” ของนครสีฟ้าไว้ในภาพเดียวกัน และต้องขอบอกว่าของจริงมันสวยกว่านี้มากๆ นี่ขนาดเราไปช่วงสายแดดจัดยังได้ภาพปังมาเบอร์นี้ ถ้าได้มาตอนแสงเช้าหรือแสงเย็นรับรองว่ามีปังจนขนลุกแน่นอน แต่ของดีของเด็ดขนาดนี้ก็ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถเดินสุ่มสี่สุ่มห้าก้าวเท้าเข้าไปถ่ายรูปปั๊วๆ แล้วออกมาได้นะจ๊ะ เพราะเราต้องจ่ายค่าจ้างไกด์ในการพาชมอีกกลุ่มละ 200 รูปีด้วยนะจ๊ะนายจ๋า ซึ่งมันก็คุ้มแหละแก

• Hotel Udaigarh Udaipur

หากการเดินทางครั้งนี้เปรียบเสมือนการล่องในแม่น้ำ หลังผ่านทั้งความสวย ความสนุก ตื่นเต้น ร้องว้าว แปลกตามามากมาย ตอนนี้เราก็คงล่องมาถึงหัวโค้งที่โรแมนติกที่สุดจนได้ชื่อว่าเป็นเวนิสแห่งอินเดียอย่าง Udaipur รู้ขนาดนี้แล้วเราเลยต้องขอทำตัวชิวๆ สโลว์ไลฟ์ให้เข้ากับความโรแมนติกของเมืองนี้ด้วยการเช็คอินเข้าพักโรงแรมหรู นอนดูทะเลสาบกันที่ Hotel Udaigarh Udaipur โรงแรมที่ได้นำเอาคฤหาสน์อายุกว่า 150 ปีมาปรับปรุงและตกแต่งให้กลายเป็นที่พักอาศัยสุดเลิศหรูผสมผสานระหว่างความเป็นอินเดียและสไตล์โมเดิร์นได้อย่างลงตัว โดยมีความพิเศษอยู่ที่บนดาดฟ้าโรงแรม และการปรับแต่งห้องพักที่สวยงาม อบอุ่น ในธีม you are home away from home ในราคาที่ไม่แพง เห็นไหมว่าอินเดียมันดีขนาดไหน

Day 7 : Udaipur – Jaipur

Udaipur หรือเวนิซแห่งอินเดียเป็นเมืองที่อยู่ทางใต้ของรัฐราชาสถานที่ถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1568 โดยมหาราชาอุเด สิงห์ที่สอง เป็นเมืองเล็กๆ พร้อมไปด้วยทะเลสาบมากมาย แต่จุดที่โรแมนติกที่สุดก็คือทะเลสาบ Pichola ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์เพื่อเอาไว้ใช้กักเก็บน้ำในการบริโภคของชาวเมือง และอีกชื่อหนึ่งของเมืองนี้ที่ได้รับสมญานามก็คือเมืองสีขาวแห่งราชาสถาน เพราะอาคารบ้านเรือนมักจะทาด้วยสีขาวเป็นส่วนมาก ถือเป็นสองจุดเด่นสำคัญ ที่ทำให้บรรยากาศภายในเมืองเต็มไปด้วยความโรแมนติก

 

• City Palace

City Palace หรือพระราชวังฤดูหนาวถูกสร้างขึ้นในปี 1559 ณ ริมทะเลสาบ Pichola โดยมหาราชาอุเด สิงห์ที่สอง ผู้สถาปนาเมือง โดยนำสถาปัตยกรรมแบบยุโรปผสมผสานกับแบบจีนให้มีความวิจิตรตระการตาและมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นจนกลายเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในราชาสถาน ทำให้ได้รับสมญานามว่าศูนย์กลางความวิจิตรอลังการแห่งเมืองอูไดปู้ร์

แม้แต่กาลเวลาก็มิอาจทำให้พระราชวังแห่งนี้ลดความสวยลงได้ ทำให้แม้ในปัจจุบันก็ยังมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมความวิจิตรตระการตารอย่างเนืองแน่น เราจึงได้เห็นความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ตั้งแต่เพดานจรดพื้น ทั้งภาพวาด การแกะสลักลายภาพนูนต่ำ การลงสี โบราณวัตถุ และการจัดวางดีเทล ที่ไม่ว่าจะเดินผ่านไปห้องไหนมุมใดก็มักจะได้ยินเสียงฮือฮาอยู่เสมอ (จากเราเองก็หลายจุดอยู่)

• Cafe’ Grasswood

หลังจากเดินชมความสวยงามของซิตี้พาเลซ เราก็ไปพักโฆษณาจิบกาแฟเพิ่มความซ่าบซ่าให้ร่างกายกันที่ร้าน Cafe’ Grasswood คาเฟ่เล็กๆ ที่ตกแต่งได้น่ารักน่าเอ็นดู ร้านนี้เราเจอมาจากไอจีเห็นฝรั่งมาเช็คอินกันเพียบเลย เราเลยขอกด Maps ตามมาสักหน่อย ร้านเล็กๆ แต่ดูอบอุ่นที่มีขนาดเพียงชั้นเดียวนี้เป็นร้านอาหารแบบออร์แกนนิคที่เสิร์ฟทั้งเนื้อสัตว์และอาหารแบบวีแกนสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติโดยเฉพาะด้วย โดยเมนูอาหารก็จะเปลี่ยนไปในแต่ละวันแต่โดยภาพรวมที่เราได้ลองทานก็ถือว่ารสชาติใช้ได้แถมยังดูสะอาดอีกด้วย กาแฟก็จัดอยู่ในมาตรฐานที่ดี เหมาะสมในการมาลองดื่มและถ่ายรูปเก๋ๆ ลงไอจีตามฝรั่งสักใบสองใบ

• Ahar Cenotaphs & Museum

Ahar Cenotaphs & Museum สถานที่ถัดมาถ้าแกเป็นสาวกโซเชียลตัวจริงย่อมพลาดไม่ได้เพราะนี่เป็นอีกหนึ่งไอจีสปอร์ตของเมืองอูไดปู้ร์ ที่วันๆ นึงจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเดินขึ้นลงบันไดเพื่อเก็บรูปมุมนี้แทบทั้งวัน ที่นี่คือหลุมพระศพของอดีตเจ้าผู้ครองนคร Mewar ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาเพื่อทำการเคารพพระศพและเหล่านักโบราณคดีที่ได้เข้ามาศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวและสถาปัตยกรรมของสถานที่แห่งนี้ จนทำให้มันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญอีกแห่งของเมือง

จะว่าไปก็แอบรู้สึกเสียดายที่แพลนเวลาให้กับเมืองนี้น้อยไปหน่อย ยังมีอีกหลายที่ที่น่าสนใจ และเมืองชิวมาก กระนั้นก็ได้แต่ทำใจแล้วบอกกับตัวเองว่าค่อยกลับมาใหม่ ก่อนจะจากอูไดปู้ร์ไปอย่างรวดเร็ว แต่เพราะชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอเราจึงขอเปลี่ยนรสชาติจากจากการเดินทางด้วยรถยนต์มาเป็นรถไฟนอน เพื่อนั่งรถไฟไปจัยปูร์เพราะอยากลองสัมผัสอีกหนึ่งรสชาติของอินเดียแบบพอประมาณ เราเลือกแบบเฟิสคลาสซึ่งราคาก็ไม่แพงเลยแถมประหยัดเวลาและค่าห้องพักไปอีกหนึ่งคืนหลับตื่นเดียวก็ถึงจัยปูร์เมืองที่เราบินมาลงและจะบินกลับด้วยแอร์เอเชียแล้วนายจ๋า

Day 8 : Jaipur

เผลอแป๊บเดียวก็เข้าสู่วันที่แปดของทริปแล้วแต่เราก็ยังรู้สึกว่าอินเดียสามารถใช้เวลาได้มากกว่านี้โดยไม่รู้สึกเบื่อเลยด้วยซ้ำ ย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นเมืองจัยปูร์มหานครสีชมพูแห่งนี้ถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐราชาสถาน ซึ่งที่มาของการเป็นมหานครสีชมพูนั้นได้เริ่มมาจากเมื่อ 300 กว่าปีที่แล้ว ในยุคที่อังกฤษมีอินเดียเป็นเมืองขึ้นและพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษต้องการจะเสด็จเยือนประเทศอินเดีย มหาราชาใจ สิงห์ที่สอง จึงทรงมีรับสั่งให้ตกแต่งบ้านเมืองด้วยสีชมพูอันเป็นสีโปรดของพระราชินีวิคตอเรีย เพื่อเป็นการสร้างความประทับใจให้กับแขกผู้มาเยือนจนได้รับการขนานนามว่านครสีชมพูนับแต่นั้นเป็นต้นมา และมันก็กลายเป็นสถานที่ที่นักเดินทางจากทั่วโลกอยากจะมาลองสัมผัสดูสักครั้ง และของจริงมันก็สวยยิ่งตาเห็นเสียอีกจะถ่ายรูปมุมไหนจะโพสต์เบอร์อะไรก็สวยแบบเวิลด์คลาส ดังนั้นคงจะไม่มีคำไหนเหมาะไปกว่าเมือง Photogenic ของอินเดีย มากกว่านี้แล้วล่ะนายจ๋า

• City Palace

เมื่อพระราชวังกลางเมืองที่สวยงามขนาดนี้อยู่ตรงหน้ามีหรือว่าเราจะไม่ขอก้าวขาเข้าไปชมความงดงามในพระราชวังแห่งนี้ City Palace ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 โดยมหาราชาสวาอี ชัยสิงห์ เพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนของราชวงศ์โดยได้นำเอาสถาปัตยกรรมแบบฮินดูมาผสมกับแบบอิสลาม ภายในวังประกอบด้วยห้องต่างๆ หลายห้อง และพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงผ้า งานพิมพ์ ภาพวาด วัตถุโบราณ เครื่องเงิน อาวุธ ฯลฯ เดินไปถ่ายรูปไปนี่ เอาจริงๆ อยู่ได้ทั้งวันเลยนะ เพราะแต่ละจุดมันก็มีความพิเศษที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไป แต่ถ้ามาชิวๆ แบบเราไม่กี่ชั่วโมงก็เดินจนทั่วละ โดยค่าเข้าของพระราชวังที่นี่จะมีหลายราคาให้เราเลือกเช่นถ้าอยากเข้าห้องพิเศษมุมพิเศษก็จะต้องจ่ายค่าเข้าที่แพงมากขึ้น ดังนั้นชาวฉาบฉวยสไตล์แบบเราขอเลือกแบบธรรมดาและจ่ายถูกที่สุด ให้ใด้รูปปังๆ มาลงโซเชียลซักสี่ห้ามุมก็พอแล้ว

แต่ขนาดเป็นชาวฉาบฉวยสไตล์อย่างเรา ก็ยังสามารถสังเกตเห็นสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่วิจิตรบรรจงสวยงามมีความละเอียดลออได้อย่างชัดเจน แต่ไฮไลท์เด็ดสุดที่ไม่ว่าแกจะเป็นสไตล์ไหนก็ไม่ควรพลาดเพราะจะเหมือนมาไม่ถึงที่นี่เลยทีเดียว ประตูนกยูงหรือ peacock gate คือหนึ่งในประตูที่สวยที่สุดของพระราชวังแห่งนี้ที่ได้มีการลงสีสลักลายบนบานประตูเป็นรูปหางนกยูงกำลังลำแพนด้วยสีสันที่สดใส คือมันสวยมากกกกจริงๆ เว้ยแก สวยคุ้มจ่ายค่าเข้าเลย เดินมาถ่ายจุดนี้จุดเดียวยังคุ้มอ่ะ

• Jantar Mantar

ถ่ายรูปจนคุ้มค่าเมมก็ได้เวลาย้ายมาฝั่งตรงข้ามพระราชวังกันที่ Jantar Mantar  จันทาร์ มานทาร์ หอสังเกตการณ์ที่เอาไว้ใช้ในการคำนวณทางดาราศาสตร์ และหอนาฬิกาที่เอาไว้ใช้สำหรับการคำนวณฤกษ์ในการออกรบ รวมถึงคำนวณเวลาต่างๆ ภายในอาณาจักร ที่นี่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1727 โดยมหาราชาไสวจัย สิงห์ ที่ 2 ซึ่งแม้เราจะเป็นคนยุคใหม่จนไม่อาจดูเวลาจากเครื่องมือนี้ได้ถูก แต่การได้เข้ามาเดินถ่ายรูปกับเครื่องมืออันน่าพิศวงศ์นี้ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่ควรมาลองดูสักหน่อย

• Hawa Mahal

อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองจัยปูร์ที่ต้องห้ามพลาดนั่นก็คือ Hawa Mahal พระราชวังสายลมพระราชวังสีชมพูอมส้มที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ราชปุต หรือมงกุฎพระนารายณ์ที่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1799 มีความสูงทั้งสิ้นห้าชั้นและมีหน้าต่างฉลุช่องลมทั้งหมด 953 ช่อง เพื่อให้เป็นที่สำหรับนางในวังได้ใช้มองออกมาที่ด้านนอกโดยที่คนด้านนอกจะไม่สามารถมองเข้าไปด้านในได้ นอกจากนี้แล้วยังไว้ใช้สำหรับเป็นตัวช่วยให้สายลมได้พัดผ่านเข้าไปภายในพระราชวังได้ตลอดเวลาจึงเป็นที่มาของชื่อพระราชวังสายลมนั่นเอง

และแน่นอนว่าการถ่ายพระราชวังสายลมให้สวยงามที่สุดไม่ใช่การยืนอยู่ในพระราชวัง แต่เป็นการยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งฝั่งตรงข้ามของพระราชวังก็จะมีคาเฟ่ให้เลือกอยู่สองร้านคือ tattoo café และ wind view café ดังนั้นใครอยากได้รูปพระราชวังสายลมแบบเก๋ๆ ตามที่เห็นในไอจีต่างๆ ก็แนะนำให้ขึ้นไปบนสองคาเฟ่นี้แหล่ะจ้า แล้วก็เพิ่มความชิคอีกสักนิดด้วยการสั่งอาหารและเครื่องดื่มเก๋เก๋มาทาน จัดพร้อบพอกรุบกริบให้เหมือนชีวิตไม่ต้องพยายามอะไร แค่ตื่นมาก็ดีเลย สวยเลย เก๋เลย ทั้งๆ ที่ต้องหามุมหาพร้อบวุ่นวายมาก แต่เพื่อความชิคเกร๋เราโอเคเว้ยแก

• Nahargarh Fort

เฉกเช่นทุกชีวิตมีขึ้นก็ย่อมมีลงวนไปเป็นวัฐจักร อ่ะ ไม่ต้องเครียดไม่ได้จะมาเทศน์อะไรแค่จะดึงเข้าเรื่องว่าเย็นนี้จะพาไปชมพระอาทิตย์ตกดินสวยๆ เท่านั้นล่ะ แน่นอนว่าสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกที่เหมาะสมที่สุดย่อมต้องเป็นมุมสูง เราเลยจะพาพวกแกขึ้นไปสู่ป้อมปราการที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในเมืองใช้ปุระ Nahargarh Fort ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ป้องกันการรุกรานจากข้าศึก เราจึงยังสามารถเห็นปืนใหญ่ที่เรียงรายกันอยู่นอกกำแพงได้ในปัจจุบัน แต่เมื่อมองออกไปที่ปลายกระบอกปืนเราก็จะเห็นเมืองชัยปุระจากมุมสูง เห็นบ้านเมืองที่เป็นสีชมพูกำลังเปลี่ยนสีไปตามแสงอัสดงของดวงอาทิตย์

Day 9 : Jaipur

• Amber Fort

และแล้ววันสุดท้ายก็มาถึงใจหนึ่งก็อาลัยใจหนึ่งก็โหยหาปลาร้าแบบบอกไม่ถูก เรามาเริ่มต้นตอนจบกันที่ Amber Fort หนึ่งในป้อมปราการที่ได้รับการชื่นชมว่าสง่างามที่สุดในอินเดีย ภายในประกอบด้วยวัด ทะเลสาบ และสวนอีกหลายแห่ง รวมถึงยังมีห้องที่ใช้ในการว่าราชการของกษัตริย์ และห้องส่วนพระองค์ของกษัตริย์ และเหล่าราชวงศ์ โดยค่าเข้าจะอยู่ที่คนละ 500 รูปี ในการเดินเข้าไปชมด้วยตัวเอง แต่สำหรับใครที่ต้องการความเก๋ไก๋มากกว่าก็สามารถจ่าย 1100 รูปี สำหรับสองคนในการขึ้นหลังช้างที่ได้รับการประดับประดาด้วยสีสันสดใสขึ้นไปชมป้อมปราการนี้ได้เช่นกัน

เมื่อเราเดินเข้ามาด้านในเราก็จะได้พบเห็นสถาปัตยกรรมแบบฮินดูผสมกับแบบราชปุต ดังเช่นป้อมปราการที่เราได้เห็นผ่านๆ ตามาแล้วหลายหลายป้อมนั่นแหละ แต่ด้วยความที่นี่เป็นที่ประทับของกษัตริย์และราชวงศ์รวมถึงเป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและทำกิจการทางการเมือง ภายในจึงค่อนข้างมีความโอ่โถง เว่อร์สมเป็นวัง มีมุมให้ถ่ายรูปมากมายหลายมุม และยังมีสวน Agaltai Garden อันหมายถึงสวนสวรรค์

• Panna Meena ka Kund

ไม่ไกลจาก Amber fort จะมีบ่อน้ำโบราณที่เราเห็นได้บ่อยแบบสุดทุกครั้งที่มีคนมาเยือนอินเดีย และเมื่อเห็นปุ๊บก็จะรู้ปั๊ปว่านี่แหละอินเดีย บ่อน้ำแบบนี้ถูกเรียกว่า step well ซึ่งมีอยู่หลายที่ด้วยกัน แต่ที่เรายืนอยู่นี้มีชื่อว่า Penna Meena ka kund แต่เดิมที่นี่ถูกใช้เป็นที่บริโภคน้ำของชาวเมือง และสาเหตุที่ต้องทำบันไดแคบๆ เป็นแนวทแยงจากปากบ่อไปสู่เบื้องล่างก็เป็นเพราะว่าการทำบันไดแบบนี้ทำให้ประหยัดพื้นที่ในการสร้างบ่อน้ำแต่ก็สามารถลงไปใช้บ่อน้ำพร้อมกันได้ทีละหลายคนและยังเป็นการป้องกันการแซงแถวเพราะขนาดทางเดินค่อนข้างแคบ รวมถึงมีชั้นพักไว้สำหรับพักวางทางน้ำหรือพักเหนื่อยในระหว่างการเดินขึ้นลงด้วย

• Patrika Gate

สถานที่ต่อไปที่ต้องห้ามพลาดอีกแล้วนะเออ นั่นก็คือประตูเมืองลำดับที่เก้าแห่งชัยปุระ Patrika Gate ประตูสีชมพูที่ไม่ต้องบอกแค่ดูก็รู้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าอีกสิ่งหนึ่งของเมืองนี้ เสาเก้าเสาและความกว้าง 9 ฟุต คือนัยสำคัญของการสร้างประตูแห่งที่เก้านี้ เพราะเลขเก้าถือเป็นเรื่องมหามงคลตามความเชื่อของชาวชัยปุระ เมื่อเราเดินลอดใต้ซุ้มประตูทั้งเจ็ดของประตูแห่งที่เก้านี้เราก็จะเห็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ของแขว้นราชาสถานบนภาพวาดที่เน้นสีสันสดใสตามสไตล์ภารตะ ซึ่งถ้าถามว่าเราเข้าใจเรื่องราวนั้นไหมก็คงต้องตอบว่าไม่ แต่ถ้าถามว่ามีคนมาเพื่อที่แค่จะถ่ายรูปไหมเราคงตอบได้แค่ว่ามาก

• Café Palladio

เมื่อจำต้องกล่าวคำอำลาเราก็อยากจะหาสถานที่ๆ เหมาะสมที่สุดในการสร้างความทรงจำสำหรับวันสุดท้าย และสถานที่ท้ายสุดในอินเดียโร้ดทริปที่เราเลือกมาในครั้งนี้ก็คือร้านคาเฟ่สุดสดใสที่มาในโทนสีส้มและสีฟ้า จนเกือบลืมไปว่าเรายังอยู่อินเดีย ร้าน Café Palladio สุดน่ารักนี้คือร้านอาหารสไตล์อิตาเลียนที่นำวัตถุดิบท้องถิ่นมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวจนกลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจัยปูร์

ที่นี่ขายทั้งคาว ทั้งหวาน ซึ่งเมนูที่เราแนะนำให้สั่งก็คือ Mezze Platter เป็นเซ็ตอาหารแบบจิ้มซอส ซอสเราเลือกได้ 3 อย่าง ถ้าไม่รู้จักว่าซอสแต่ละอย่างรสชาติจะเป็นยังไง แนะนำว่าให้เอาที่พนักงานแนะนำเลยเราลองมาล่ะคืออร่อย คือรอดจ้านายจ๋า ในถาดนางจะเสิร์ฟพร้อมกับแป้งนาน ชีส และธัญพืชต่างๆ คือดี คือสะอาด คือสำหรับใครที่ติดภาพว่าอาหารอินเดียมีความน่ากลัว กินไม่ได้ คือเราอยากบอกว่ามันไม่ได้แย่แบบที่คิดนะ เพราะตลอดเก้าวันที่ผ่านมาเราก็กินได้สบายดี แต่ถ้าไม่ไหวอยากยกธงขาวเพราะกินยากจริงๆ ตามร้านอาหารเค้าก็มีอาหารจีนและอาหารนานาชาติให้เลือกแซ่บได้อยู่นาาา

จบไปแล้วกับการ Road Trip 9 วันเต็มๆ ในประเทศอินเดีย ที่ใครหลายคนกลัวเหลือเกินกับการมาที่นี่ เราบอกเลยว่าตอนแรกเราก็กลัวเว้ยแก แต่พอเราได้เห็นภาพสถานที่ต่างๆ ของที่นี่เราก็กลัวอีกเว้ย คือกลัวไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองมากที่สุด บนโลกใบนี้กล้องที่ดีที่สุดก็คือตาของเราเอง ความทรงจำที่ดีที่สุดก็เกิดขึ้นได้จากสมองของเราเอง ประสบการณ์จากหนังสือร้อยเล่มก็ไม่เท่ากับการไปสัมผัสมันด้วยตัวเองแน่นอน เราเชื่อว่าเรื่องราวของอินเดียคงทำให้ใครหลายคนใจสั่นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่หลายๆ คนก็ยังไม่กล้าออกเดินทางมายังดินแดนแม่น้ำคงคาแห่งนี้ด้วยความกลัวนั่นกลัวนี่ตามอคติที่เคยเห็นๆ มา เราอยากบอกว่าจงลบล้างความกลัวด้วยการเผชิญหน้า ออกไปเจอกับมัน ออกไปสัมผัสให้รู้ ออกเดินทางไปข้างหน้าแม้ขาจะสั่นและใจเต็มไปด้วยความกลัว สุดท้ายใจและขาของแกนั่นแหล่ะจะตอบแกว่า เฮ้ย กลัวทำไมมาตั้งนาน ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย