“ฮอกไกโด” ถ้าเป็นแก … แกจะเริ่มต้นมันยังไง???
สำหรับเราเราเริ่มต้นมันเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา และกลับมาอีกครั้งเมื่อลมหนาวเข้าปกคลุม ความเขียวชอุ่มและสีสันของดอกไม้บนเกาะที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่เป็นอันดับสองของญี่ปุ่นแห่งนี้ คือจุดเริ่มต้นของภาพความทรงจำที่เราอยากจะบันทึกไว้ให้ครบทุกฤดูกาล และทั้งหมดที่จะเล่านี้ก็คือเรื่องราวระหว่างเรากับฮอกไกโดครั้งล่าสุด ณ ใจกลางฤดูหนาว ณ ความขาวอันเยือกเย็นที่ชวนอบอุ่น ณ รุ่งอรุณที่เต็มไปด้วยเมฆหมอก จะสวยจนสะท้าน หวานจนละลายขนาดไหน ตามมา!!! เราจะพาตะลุย 5 เมืองบนเกาะแห่งนี้ เพื่อให้ทุกช่วงเวลาเต็มไปด้วยเรื่องราวดีๆ ตั้งแต่ตื่นเช้ารับอากาศบริสุทธิ์ท่ามกลางเหล่าเซเลบผู้หยั่งรากยืนยง สายๆ ไปกินอาหารมิชลินสตาร์ ช่วงบ่ายขึ้นกระเช้าลอยฟ้า พอตกเย็นก็ไปเดินเล่นชมพระอาทิตย์ตกข้างโกดังสีอิฐ ใกล้ค่ำอิ่มหนำกับสตรีทฟู๊ดที่คุณภาพระดับภัตตาคาร ก่อนหลับตาลงซุกไออุ่นบนนวมแบบญี่ปุ่น
หนีความร้อนระอุแล้วไปฝ่าลมหนาวพร้อมเรากันดีกว่า …
ฮอกไกโดครั้งนี้เราเลือกจองที่พักผ่าน Booking.com เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งอันนี้บอกกันตามตรงว่าใช้บ่อยมากบ่อยจนมงลงจองจนได้เป็นผู้เดินทางขาประจำ ก็นั่นแหล่ะ Booking.com นางจองง่าย มีตัวเลือกโรงแรมให้เปรียบเทียบเยอะ ทั้งด้านราคา ระยะทาง รวมถึงรีวิวตั่งต่างจากนักท่องเที่ยวที่มาพักจริงแบบไม่จกตา แถมเค้าก็มีพี่พักอัพเดทใหม่เสมอๆ ทำให้เราได้ที่พักดีทำเลเด่น ราคาโดนใจ ในทุกๆ เมืองที่เราไปพักในทริปนี้เลยจ้า ดีงามพระรามแปดพระรามเก้าขนาดนี้ก็คงต้องยกให้เป็นแอปพลิเคชันประจำตัวของเราไปเลยจ้า เออ!!! แล้วก็ไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่นนะ ทุกประเทศทั่วโลกนางมีหมด และถ้าหากใครมีแพลนเดินทางช่วงนี้เราแนะนำให้จองที่พักผ่านลิ้งก์ https://www.booking.com/s/30735bba เพราะเมื่อกดจองที่พักในราคาเกิน 2,000 บาท แกจะได้เงินคืนเข้าบัตรเครดิตหลังจากเข้าพักแล้ว 1,000 บาท (1คน/สิทธิ์) ใช้ได้ตังแต่วันนี้ถึง 31 พฤษภาคมเท่านั้น และอย่าลืม!! ผูกบัตรเครดิตในบัญชี Booking.com เพื่อรับเครดิตเงินคืนด้วยนะ ตามๆ ไปจองได้เลย …
และสำหรับการเดินทางในรอบนี้เราจะขอแบ่งพาร์ทการเดินทางตามเมืองที่เราไป เผื่อแกจะหยิบเอาไปปรับใช้กับทริปของแกได้ง่ายๆ ตามความชอบของแต่ละคน หรือใครอยากเก็บแต่ละเมืองให้ครบแบบเรา เราก็บอกจำนวนวันเอาไว้ให้ด้วยจะได้แพลนกันถูก ลองเลือกเมืองที่ชอบโลเคชั่นที่ใช่แล้วจัดวันกันดีๆ ก็ชิวแบบปั๊วะๆ ตามเราได้เลย
Two days in Sapporo :: สองวันในซัปโปโรเมืองหลวงแห่งฮอกไกโดที่แสนประทับใจ
• Hill of the Buddha
เราขอเริ่มต้นทริปสวยๆ กันที่ Hill of the Buddha หรือเนินพระพุทธเจ้า ผลงานการสร้างจากมนุษย์ผู้ใฝ่หาธรรมะและธรรมชาติ เส้นทางสวรรค์ที่ได้รับการออกแบบและวางแผนการสร้างอย่างปราณีตจากเจ้าของผลงานระดับพระกาฬผู้ได้รับรางวัลพริตซ์เกอร์ สุดยอดรางวัลสำหรับเหล่าสถาปนิค เกล็ดหิมะที่ร่วงโปรยปรายได้เปลี่ยนทัศนียภาพสีเขียวชะอุ่มของฤดูร้อนที่เราเคยมาให้กลายเป็นความเยือกเย็นของฤดูหนาวไปในพริบตา รูปปั้นหินหน้านิ่งที่ยืนไม่สะท้านความหนาวอยู่นั้นก็ยังคงความงดงามท่ามกลางสีขาวโพลน ทำให้เราพอจะการันตีได้ว่าที่นี่มันสวยทุกฤดูอย่างที่เค้าว่าจริงๆ แก
• GyuZen Susukino Sapporo
อาหารญี่ปุ่นนอกจากเหล่าซูชิ ซาซิมิ อุด้ง ราเมนแล้ว ก็ยังมีพวกตัวท็อปอย่างชาบู ชาบู และสุกี้ยากี้ที่เรายกให้เป็นสิ่งที่แกต้องลองมาโดนให้ได้ และครั้งนี้เราเลือก GyuZen Susukino Sapporo ร้านอาหารขนาดกลาง บรรยากาศสบายๆ เดินทางง่ายด้วย Subway แต่มีกิมมิคเด็ดอยู่ที่เนื้อในประเทศลายงามๆ ผักสดๆ และซอสสูตรลับของร้านที่จะทำให้ใจของแกละลายเหมือนกับเนื้อลายหินอ่อนที่ทิ้งตัวลงในน้ำซุปร้อนๆ กิ่นเสร็จก็เหมือนมีเกราะเสริมสร้างพลังต้านความหนาวของเราในก้าวต่อไป
• Shiroi Koibito Park
ฝ่าลมหนาวก้าวเข้ากำแพงเหล็กและเนินหิมะเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ของเหล่าขนมหวานระดับโลกอย่าง langue de chat ที่จะเล่าเรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของตัวเอง สถานที่ผลิตลูกกวาด คุ้กกี้ และช็อกโกแลต ที่สร้างความหวานให้กับเหล่าเด็กๆ ทั่วญี่ปุ่น หลังจากอินกับเรื่องราวสุดพิถีพิถันก็ได้เวลาที่เราจะตามกลิ่นหอมของเนย นม และวนิลาจนออกมาถึงคาเฟ่และร้านขายของฝากที่มีให้เลือกจนเบาหวานขึ้น
และแม้จะหนาวจนมือหงิก แต่เราก็ไม่อาจห้ามใจให้กับช็อกโกแลตซอฟเสิร์ฟในโคนปลายตัดและช็อกโกแลตก้อนกลมนั้นได้ ลมเย็นๆที่ทำให้มือสั่นกับความหวานหอมละมุนที่ทำให้ใจสั่น เกิดเป็นความสุขละลายช้าแต่หมดไวเพราะความอร่อย ถ้าไม่ติดเรื่องแคลลอรี่เราก็อยากจะสั่งขนมในตู้มากินซะให้เรียบ
• Sapporo Clock Tower
หอนาฬิกาสีเขียวอ่อนหน้าตาย้อนยุคที่ยืนอย่างแตกต่างท่ามกลางตึกสูงสุดทันสมัยแห่งนี้ เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์หน้าสำคัญในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาเมืองซัปโปโรเลยทีเดียว มันถูกนำเข้ามาจากเมืองบอสตัน ตั้งแต่ปี 1878 เพื่อเป็นศูนย์กลางของการบอกเวลา ก่อนจะผันตัวเองมาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราว ประวัติศาสตร์ของเมืองซัปโปโรและของตัวมันเอง เอาจริงๆ ที่นี่ไม่ได้มีความหวือหวาน่าตื่นเต้นในการเข้าชมมากมายนัก แต่มันก็มีความรู้สึกพิเศษที่ชวนให้เราอยากมาสัมผัสและมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสัก 1 ใบ
• Former Government Office Building
ตึกสีส้มอิฐหน้าตาประหลาดแสนโดดเด่นและแตกต่างจากมุมอื่นๆ ของญี่ปุ่นแทบจะสิ้นเชิง เอาดีๆ ถ้ามองผ่านๆ เราแทบจะไม่เชื่อเลยว่ามันตั้งอยู่ในญี่ปุ่นเพราะมันคือสถาปัตยกรรมแบบอเมริกันนีโอบาโรคที่ถูกสร้าง เพื่อเป็นที่ทำการรัฐบาลนานถึง 80 ปี ตั้งแต่ในยุคเริ่มบุกเบิกฮอกไกโดในปี 1888 แต่ปัจจุบันได้ถูกยกเลิกใช้และเปลี่ยนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจากทั่วมุมโลก จนกลายเป็นหนึ่งในแลนมาร์คที่คนนิยมมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกอีกแห่งบนเกาะฮอกไกโด
• Sapporo TV Tower
จุดชมวิวที่สูงถึง 150 เมตร เป็นจุดชมวิวสุดเสียว ที่มีความสวยแบบ 360 องศาล้อมรอบอยู่ ไม่ว่าแกจะหันไปทางไหนก็จะได้เห็นวิวเมืองแบบเต็มสองตาจนสุดขอบฟ้า ยิ่งถ้ามาในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน รัตติกาลเข้าปกคลุม ความมืดแผ่ขยาย ตัดกับแสงสีส้มของดวงไฟบนตึกและถนนหนทางยิ่งสวยแบบสองเท่าสามเท่า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่จึงเป็นหนึ่งในจุดชมวิวยอดฮิตของซัปโปโรที่ควรจะมาเยือนสักครั้งหนึ่ง
• Sapporo Beer Museum
ถ้ามาซัปโปโรแล้วไม่มาเยือน Sapporo Beer Museum แหล่งผลิตเบียร์ระดับโลกที่มีชื่อเดียวกับเมืองที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1877 มาจนถึงปัจจุบัน ก็คงเหมือนมาไม่ถึงซัปโปโรแน่นอน ตึกทรงยุโรปทำจากอิฐสีส้มที่มีสัญลักษณ์ดาวสีแดง เมื่อมองแว๊บเดียวก็เห็นภาพกระป๋องเบียร์อยู่ตรงหน้า ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่านี่ล่ะคือพิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโรอย่างแน่นอน เมื่อเดินเข้าไปเราก็ได้รู้เรื่องราวความเป็นมาของเบียร์ที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นยี่ห้อที่นิยมที่สุดในประเทศญี่ปุ่นกันตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน และแม้ว่าตอนนี้ที่นี่จะไม่ได้เป็นโรงกลั่นแล้ว แต่เมื่อเดินจนสุดปลายทางก็จะมีเบียร์เย็นๆ ให้เราได้ชิมกันอีกด้วยนะ
• Cafe Morihiko
ดื่มด่ำกับเบียร์เย็นเจี๊ยบจนชุ่มฉ่ำ เราก็ออกมาหาอะไรหวานๆ ใส่ท้องกันอีกนิดที่ Cafe Morihiko ร้านคาเฟ่ที่มาในคอนเซ็ปท์ “art museum of coffee” บ้านญี่ปุ่นแบบโบราณสองชั้นสีครีมถูกยกเครื่องภายในใหม่ให้กลายเป็นคาเฟ่ ลองนึกภาพกลิ่นหอมที่ลอยผ่านอากาศที่เย็นเฉียบ ความขมและความร้อนของกาแฟดี รสเข้มที่ไหลผ่านลำคอ ในระหว่างที่สายตาก็เฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่างชมวิวขาวโพลน เฮ้ยยยย!!! นอกจากซุปอุ่นๆ ก็กาแฟร้อนๆ นี่ล่ะที่เหมาะกับหน้าหนาวมากที่สุด
จะรอช้าอยู่ทำไมในเมื่อความเย้ายวนใจมันเกินห้าม กาแฟหนึ่ง เค้กหนึ่ง ขนมหวานที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร แต่ที่แน่ๆ ถ้าแกมาควรสั่งเพราะมันอร่อยมากอีกหนึ่ง คือ เบสท์คอมบายที่ทำให้ลมหนาวอบอุ่นขึ้นเป็นเท่าตัว และเป็นพร้อบที่ทำให้วิวดีๆ ดูน่าสนใจขึ้นอีกเป็นกองจ้าาา
• Samurai Senbei
นอกจากจะโด่งดังเรื่องเบียร์แล้ว ฮอกไกโดก็เด่นในเรื่องข้าวไม่แพ้ใครเช่นกัน และที่ซัปโปโรก็มี Samurai Senbei โรงงานผลิตแครกเกอร์ที่ใช้ข้าวฮอกไกโด 100% โดยจุดเริ่มต้นของที่นี่มาจาก Kamada Seika แห่งเมืองเอโดะผู้รักในการทำเครกเกอร์ เพราะเห็นแม่และยายของเค้าทำมาตั้งแต่เด็กๆ จึงออกเดินทางตามหาวัตถุดิบที่จะทำให้แครกเกอร์ของเค้าดี เด็ด จนมาเจอรวงข้าวสาลีของฮอกไกโด จึงเริ่มมาทำไลน์ผลิตจริงจังที่ฮอกไกโดแทน โดยได้หยิบเอาซามูไรมาเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ ที่นี่ผลิตแครกเกอร์ออกมาถึง 3 รูปแบบ โดยมีความต่างกันที่พันธุ์ข้าวที่นำมาใช้ ทำให้ตัวแป้งโดวล์เมื่ออบแล้วจะมีขนาด ความหนา และส่วนผสมที่ต่างกันออกไป โดยการผลิตแคกเกอร์แบบแฮนด์เมคนี้ถ้าต่างกันแค่อากาศ ความชื้น ก็สามารถทำให้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกันอย่างมหาศาล การทำทุกขั้นตอนจึงต้องพิถีพิถันขั้นสุดจริงๆ ก่อนกลับมีหรือเราจะพลาดจัดมาลองรสละห่อกันแบบเพลิดเพลินเกินเบอร์จ้า
• Susukino
ทิ้งท้ายเมืองเบียร์กันที่ศูนย์กลางสายบันเทิงสไตล์คนญี่ปุ่นแท้ๆ ที่โด่งดังที่สุดในซัปโปโร ณ ย่าน Susukino บนถนนสายนี้พวกแกสามารถช้อปปิ้ง เดินเล่น หาของกินได้แบบจุกๆ และอยู่ได้เป็นวันๆ โดยไม่รู้สึกเบื่ออย่างแน่นอน และถ้ายังอยากเดินต่อถนนเส้นนี้ก็ยังสามารถเดินเชื่อมไปยัง Tanukikoji Shopping Street ได้อีกด้วย ต่อให้เดินวันทั้งวันคืนแบบไม่ต้องไปไหนก็สามารถเดินจนขาหมดแรงคาถนนสายนี้ได้ง่ายๆ
One day in Asahikawa :: เมืองที่ความน่ารักมาเป็นอันดับหนึ่ง
• Asahikawa Zoo
ที่แรกในอาซาฮิคาวะที่เราจะพาพวกแกไปตะลุยหิมะกันก็คือ Asahikawa Zoo สถานที่สุดคิวท์จนแกแทบจะพูดเป็นเสียงสองเสียงสามได้ทั้งวัน สวนสัตว์อาซาฮิคาวะแห่งนี้เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1967 หรือกว่า 50 ปีมาแล้ว โดยมีสัตว์ทั้งหมดกว่า 700 ตัว ทั้งสัตว์เมืองร้อน เมืองหนาว สัตว์ป่า สัตว์กลางคืน ให้เราสามารถเข้าไปชมแบบใกล้ชิดติดกรงจนเหมือนได้เดินเล่นกับพวกสัตว์แบบใกล้ชิด ได้ฟีลยิ่งกว่าที่ไหนๆ ยิ่งหน้าหนาวที่เราจะได้เห็นท่าทางสบายของเจ้าสี่ขาผู้รักความเย็นออกมานอนเล่นแผ่หราทำท่าสบายโชว์เรากันแบบเฟียสๆ
และสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนสวนสัตว์แห่งนี้ก็คือการแสดงของสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเจ้าเพนกวิ้นอ้วนกลมทรงปุ๊กลุ๊กที่จะมาเดินโชว์ตัวตามลู่หิมะ ที่แค่เดินก็ยังทำให้ใครต่อใครใจละลายอย่างง่ายดาย ยิ่งเจ้าสองขาพุงกลมล้มกลิ้งบนหิมะคราใดงานนี้ความสงสารก็จะมาพร้อมเสียงหัวเราะในทันที งานนี้บอกได้คำเดียวว่า …เตรียมสปีชชัตเตอร์ให้ไวแล้ว กดรัว รัว รัว ไปเลยจ้า สำหรับพาเหรดเพนกวินจะมีแค่สองรอบต่อวันในช่วงหน้าหนาว คือเวลา 11.00 น. และ 14.30 น. ยังไงดูเวลาให้ดีๆ ด้วยนะ จะได้ไม่พลาดทุกคน
• Asahikawa Ramen Village
ไปเมืองไหนถ้าไม่ได้ลองกินอาหารของเมืองนั้นสำหรับเราคือบาปมหันต์จ้า ที่นี่เราเลยขอแนะนำ Asahikawa Ramen Village หมู่บ้านราเมนอาซาฮิคาว่า โอ้โหแค่ชื่อก็ชวนหิวส่งกลิ่นหอมลอยออกมาในทันที ที่นี่เป็นการรวมตัวกันของร้านราเมนขั้นเทพถึง 8 ร้าน ใต้หลังคาเดียวกัน ตั้งแต่ปี 1996 แต่ละร้านก็มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งถ้าถามเราว่าร้านไหนอร่อยที่สุดเราก็ยังลองไม่ครบอ่ะนะว่าร้านไหนเป็นยังไง แต่แค่ได้น้ำซุปอุ่นๆ เส้นนุ่มๆ เนื้อนิ่มๆ หอมๆ มานั่งละเลียดท่ามกลางความเย็น จะร้านไหนก็อร่อยแล้วแก๊ ดังนั้นจะเลือกร้านไหนแกก็เลือกดูได้ตามความชอบโดยไม่ต้องพึ่งรีวิวเลยล่ะ
One day in Biei :: เมืองบิเอะ…เมื่อสีสันกลายเป็นสีขาว
เมืองบิเอะใจกลางเกาะฮอกไกโดที่เป็นเหมือนสีสันของเกาะแห่งนี้ แต่เมื่อย่างเข้าฤดูหนาวก็มีสีขาวมาแทนที่ แน่นอนว่าหากใครที่อยากเที่ยวญี่ปุ่นในมุมใหม่ๆ สุข สงบ เหมือนย้อนกลับไปในชนบทเดินเล่นป่าเขา ชมวิว ชมดาว นอนหนาวแบบเงียบๆ เราแนะนำให้แกพุ่งเป้ามาที่นี่ได้เลย รับรองว่าโดนใจแน่นอน และวันนี้เราก็มีสองรูท ณ เมืองบิเอะ ที่จะทำให้แกเที่ยวแบบฉ่ำๆ ป๊อบๆ มาให้แกเถลไถลตามเราด้วยน้าาา
• Patchwork Course
เริ่มที่รูทแรกกับเหล่าเซเลบชื่อดังที่อยู่ยงคงกระพันยิ่งกว่าดาวค้างฟ้าดวงไหนๆ เพราะพวกเค้าเหล่านี้คือซุปเปอร์สตาร์ที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์ตาดำๆ อย่างเราๆ ที่เมืองบิเอะเค้าเลยจัดบัสเพื่อพาชมเหล่าเซเลบโดยในรูทเค้าจะพาเราแวะชม 3 ตัวท็อปแห่งบิเอะ ได้แก่ Tree of ken and Mary ต้นไม้คู่ขนาดสูงใหญ่ที่อยู่โดดๆ แต่ไม่เดียวดายเพราะมีคนทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติหมุนเวียนมาดูกันจนต้องทำที่จอดรถไว้รองรับกันเลยทีเดียว โดยสาเหตุความดังก็เนื่องมาจากโฆษณารถยนต์ NISSAN Skyline GT ในปี 1973 ที่มีตัวละครแค่สองตัวชื่อเคนกับแมรี่ และต้นไม้ไร้ชื่อในตอนนั้น แต่เพราะความสวยงามของต้นไม้และความแตกต่างของบรรยากาศทำให้ต้นไม้ได้รับชื่อเดียวกับตัวละครในโฆษณา และถูกจนจำต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเมื่อมาจริงๆ มันก็มีเท่านี้จริงๆ คือต้นไม้ใหญ่ๆ ท่ามกลางความเวิ้งว้างบนเนินหิมะ ถ้าใครจะมองว่าธรรมดามันก็เป็นเช่นนั้นแหล่ะ แต่สำหรับเราเราชอบนะมันดูเป็นความธรรมดาที่พิเศษดี
เคลิบเคลิ้มกับที่แรกเราก็ไปต่อกันที่เซเลบต้นต่อไปที่ได้ชื่อว่า Seven Starts ต้นเซเว่นสตาร์นางคืออดีตเจ้าของพื้นที่บนแพคเกจจิ้งของบุหรี่ยี่ห้อ Seven Starts บุหรี่ยี่ห้อดังของญี่ปุ่น ก่อนจะไปจบลงที่เซเลบอย่าง Parent & Child Tree ต้นไม้ 3 ต้นบนเนินเดียวดาย ที่มีต้นพ่อ ต้นแม่ ต้นลูก ซึ่งจริงๆ ก็คือต้นนึงใหญ่ ต้นนึงกลาง ต้นนึงเล็ก รวมๆ กันแล้วก็ดูเฉยๆ แต่เรียกรอยยิ้มให้กับคนช่างจินตนาการได้ดีอยู่ไม่น้อย โดยในรูทนี้จะไม่ได้รวมพวกต้นคริสต์มาสชื่อดัง(Christmas Tree), เนินไมลด์เซเว่น (Mild Seven Hills) และจุดอื่นๆ ที่ฮอตๆ ซึ่งถ้าไปกันหลายคนก็แนะนำให้เช่ารถขับเก็บเหล่าเซเลบให้ครบๆ ไปเลยจ้า แต่ถ้ามาคนสองคนแบบเรามาแค่นี้ถือว่าเด็ดดวงพวงมาลัยแล้วจ้า
• Winter llumiantion Course
จบรูทแรกกันไปตอนบ่ายสามห้าสิบ เราก็มีเวลานั่งเล่นทานข้าวอีก 1 ชั่วโมง ก่อนรถบัสเที่ยวถัดไปจะพาเราไปเริ่มในรูท Winter llumiantion Course ณ จุดแรกที่ View park เพื่อดูพระอาทิตย์ตกดินที่ปลายขอบฟ้า แต่ช่วงที่เราไปดันเหมือนท้องฟ้าวิปริตแปลปวนทันใด เราจึงไม่ได้เห็นอะไรมากนัก จึงขอสลับภาพแบบไวๆ ไปยังน้ำตกชิราฮิเกะ (Shirahige Waterfall) ที่แปลเป็นไทยว่าน้ำตกหนวดสีขาว เนื่องมาจากบนความสูงกว่า 30 เมตร ของน้ำตกนี้เมื่อน้ำไหลลงมาด้านล่างจะกระทบกับแนวหินแล้วแตกระแหงทำให้สายน้ำกระจายตัวออกไปเหมือนกับหนวดนั่นเองจ้า
จากนั้นเราก็จะไปจบรูทกันที่บ่อน้ำสีฟ้า (Blue Pond) ที่เกิดจากความบังเอิญในตอนสร้างเขื่อนขึ้นเพื่อกันโคลนจากภูเขาไฟไม่ให้เข้าท่วมเมือง แต่ดันไปจับพลัดจับผลูทำให้เกิดเป็นบริเวณน้ำขังและน้ำกลายเป็นสีฟ้าอย่างที่เห็น จนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ฮอตสุดๆ อีกแห่งหนึ่งของเมืองนี้ แต่หน้าหนาวที่นี่จะมีหิมะปลุกคุมทำให้เราไม่สามารถมองเห็นสีฟ้าได้แบบที่มันเป็นแต่เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นเค้าก็ใจดีอ่ะเนาะ เค้าเลยมีการจัด illumination ยิงไฟสีฟ้าลงไปบนพื้นผิวของหิมะในตอนกลางคืน เพื่อเนรมิตบ่อน้ำสีฟ้าให้ทุกคนได้ชมกันจ้า
One day in Otaru :: โอตารุ….เมืองท่าแห่งความเฟื่องฟู
หากมาเที่ยวฮอกไกโด … เมืองโอตารุก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองที่ต้องห้ามพลาด เนื่องจากเดินทางง่ายอยู่ห่างจากซัปโปโรเพียง 30 นาทีโดยรถไฟ เราจึงสามารถมาเที่ยวแบบ One Day Trip ได้ เนื่องด้วยที่นี่เคยเป็นเมืองท่าเรือของภูมิภาคที่ใช้ในการติดต่อซื้อขายจากรัสเซีย เลยทำให้บริเวณรอบๆ มีตึกรามบ้านช่อง โกดังที่เก็บสินค้าที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งยังคงได้รับการดูแลให้คงสภาพเดิมอยู่หลายแห่ง ด้วยเหตุนี้นักท่องเที่ยวจึงนิยมเดินทางมาถ่ายรูปที่นี่ โดยเฉพาะคนไทยที่ยังคงมาตามรอยภาพยนตร์แฟนเดย์และตามรอยร้านขนมชื่อดังที่มีสาขาเปิดที่เมืองไทย
• Otaru Music Box Musem
เราขอเริ่มต้นเมืองนี้กับสถานที่สุดน่ารักที่จะทำให้ทุกวันเป็นเหมือนวันคริสมาสต์ที่ Otaru Music Box Musem Siri พิพิธภัณธ์กล่องดนตรีที่มีอายุมากที่สุดในญี่ปุ่น ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ค.ศ. 1910 หรือเมื่อ 100 กว่าปีมาแล้ว ตัวอาคารตึกสามชั้นสีเทาอ่อนที่เมื่ออยู่ใต้การปกคลุมของหิมะยิ่งดูสวยเป็นพิเศษ ด้านหน้าก่อนถึงทางเข้าจะมีนาฬิกาไอน้ำแบบโบราณหนึ่งในสองเรือนสุดท้ายของโลกที่จะมีเสียงดนตรีดังขึ้นทุกๆ 15 นาทีเป็นด่านแรกที่ดึงความสนใจให้เราตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อเข้าไปด้านในเราก็จะพบกับตัวอาคารหลักที่รวบรวมกล่องดนตรีไว้กว่า 3,000 ชิ้น ให้เราได้เดินชมกันแบบอลังการงานสร้างของจริง รวมถึงยังมีร้านขายของฝากให้ซื้อติดไม้ติดมือกลับมาฟังต่อที่บ้านกันด้วย
• Sakaimachi Street
ถนนที่จะทำให้เราเหมือนเดินย้อนยุคเข้าไปในช่วงปี ค.ศ. 1900 ในยุคที่ญี่ปุ่นเริ่มมีการติดต่อการค้ากับต่างชาติ จึงได้รับอิทธิพลการสร้างอาคารบ้านเรือนให้มีรูปแบบใกล้เคียงตะวันตก แต่ก็ยังมีเอกลักษณ์ของความเป็นญี่ปุ่นผสมอยู่ เป็นถนนที่ได้รับการอนุรักษ์ให้ยังคงสภาพเดิมจึงเหมาะแก่การมาถ่ายรูปแบบชิคๆ และพอหมดแรงก็แวะทานอาหารทะเลสดๆ ในราคามิตรภาพคุณภาพระดับประเทศ ก่อนจะปิดท้ายด้วยของหวานชื่อดังอย่างร้าน LeTAO ร้านขนมขวัญใจคนไทยที่อร่อยถูกปากจนต้องขยายสาขามาที่ประเทศไทยกันเลยทีเดียวแต่เมื่อมาถึงร้านต้นตำรับที่มีขนมกว่า 50 ชนิดให้เลือกทานทั้งทีจะไม่แวะชิมก็คงจะกระไรอยู่
แต่อากาศเย็นๆ แบบนี้ เราเลยเลือก “ซอร์ฟครีมสายรุ้ง” ไอศครีมเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงที่นำเอาซอฟครีมเจ็ดรสชาติเจ็ดสีสันมาเรียงต่อกันในโคนเดียว ซึ่งความอร่อยก็ไม่ได้เหมือนหวานจนต้องร้องว้าวแต่ก็ได้มาตรฐานระดับญี่ปุ่นแน่นอน แต่หากเป็นคะแนนกิมมิกที่เอาไว้ถ่ายรูปลงไอจี Facebook แบบเกร๋ไก๋ในราคาเพียง 600 เยน คงต้องให้ไปเลยที่ 10 10 10 จ้า
• Otaru Canal
ด้วยความที่เมืองโอตารุคืออดีตเมืองท่าที่สำคัญทำให้มีการขุดคลองขึ้นในปี 1923 และถูกใช้เป็นท่าในการขนส่งสินค้าในปี 1986 ทำให้บริเวณเลียบคลองมีโกดังสินค้าอยู่มากมาย แต่ปัจจุบันโกดังเหล่านั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นร้านค้าร้านอาหารที่เก๋ทั้งบรรยากาศและอาคารแบบค่อดๆ จนกลายเป็น หนึ่งในสถานที่ห้ามพลาดของเมืองฮอกไกโดเลยจ้าาาา ซึ่งตอนหน้าร้อนที่เรามาก็ว่าชิวแบบเต็มๆ แล้ว ยิ่งพอได้มาช่วงหน้าหนาวอีกรอบบอกได้คำเดียวว่าสวยสลบไปเลยจ้า บริเวณเลียบคลองนี้จึงเหมาะแก่การมานั่งชิวริมน้ำ เดินเล่นทอดน่องชมสถาปัตยกรรมแบบโบราณ ชมฟ้า ชมน้ำ ชมหิมะ ชมตัวเอง คือปกติมันก็สวยอยู่แล้วนะ แต่พอบวกกับความน่ารักของหิมะเข้าไปอีกยิ่งรู้สึกว่ามันน่าร๊ากน่ารักขึ้นไปอีกหลายเท่า
และถ้าทุกคนโชคดีอย่างเราที่มาตรงกับช่วงเทศกาล Otaru Snow Light ที่จัดขึ้นมาภายใต้ความคิดที่ “อยากให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลาย ได้ใช้ความคิดอย่างสร้างสรรค์ภายใต้แสงของเทียน และการได้คิดถึงตัวตนของตัวเองที่ถูกลืมไปเพราะการใช้ชีวิตอันเร่งรีบบนสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป” โดยเริ่มจัดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1999 แต่เมื่อเราได้มาเยือนที่นี่ภาพตรงหน้ามันยิ่งกว่าความสงบเพราะแสงของเทียนและไอเย็นของหิมะ ช่วยทำให้เราผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ สำหรับใครที่อยากเดินทางมาเทศกาลนี้ เค้ามีจัดทุกปีเลยนะ เพราะฉะนั้นเช็คตารางจัดงานของปีหน้าแล้วจองตั๋วรอเลยนาจา ฟินเฟร่อแน่นอน!!!!
One day in Hakodate :: ฮาโกดาเตะ…ที่สุดของอาหารทะเลและวิวมุมสูง
เกาะฮอกไกโดนั้นขึ้นชื่อในเรื่องอาหารทะเลอยู่แล้ว แต่เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นที่สุดต้องยกให้กับฮาโกดาเตะเพราะฮาโกดาเตะนั้นล้อมรอบด้วยทะเลถึงสามด้าน ที่นี่จึงมีอาหารทะเลสดใหม่ให้ทานตลอดทั้งปีในราคาที่ดีเลิศตั้งแต่ระดับไฮโซโก้เก๋ไปจนถึงระดับบ้านๆ ริมถนน แถมยังเป็นเมืองที่มีทิวทัศน์สวยงามให้ชมตลอดทั้งปี ดีขนาดนี้เราจะพลาดได้ไง ถูกมะ …
• Hakodate Morning Market
โดดเด้งยิ่งกว่าบักส้มโอหน้าบ้านในเรื่องของกินขนาดนี้มาถึงปุ๊บจะพลาดได้ไงกับ Hakodate Morning Market ตลาดสดที่สดจนเหมือนออกจากมหาสมุทรและตรงสู่ร้านต่างๆ ในย่านนี้ ที่นี่มีร้านอาหารรวมกันมากกว่า 300 ร้าน โดยส่วนมากจะเป็นแนวสตรีทฟู๊ดให้แกได้เลือกชี้นู้นสั่งนี่เดินถือกินร้านนี้แล้วไปสั่งต่อร้านโน้นกันแบบเพลินๆ หรือใครไม่อยากเดินไปกินไปจะหาร้านนั่งกินจริงจังเค้าก็มีให้เลือกหลายร้านเด้อ กินเสร็จแล้วค่อยออกไปเดินซื้อผลไม้ ไอติม ซื้อของฝาก หรือจะซื้อของกินกินอีกรอบเพื่อสะสมพลังงานไว้สู้ความหนาวก็ฟินแบบไม่สะเทือนกระเป๋าจ้าาา
• Hakodate Ropeway
นอกจากจะขึ้นชื่อในเรื่องอาหารแล้ว ที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้คะแนนระดับสามดาวจากคู่มือนำเที่ยวมิชลิน กรีนไกด์ประเทศญี่ปุ่นอยู่ด้วย ซึ่งมันก็คือ Hakodate Ropeway กระเช้าที่จะพาเราขึ้นสู่ยอดเขาฮาโกดาเตะเพื่อชมวิวเมืองที่โดนอบล้อมไว้ด้วยทะเลสีฟ้าและต้นไม้เขียวชอุ่นในหน้าร้อน ก่อนจะกลายเป็นยอดไม้สีขาวและทะเลสีครามในหน้าหนาว พอเห็นปุ๊บก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่จึงเป็นกระเช้าที่มีคนใช้บริการมากที่สุดในญี่ปุ่น เพราะไม่ว่าจะขึ้นมาในยามเช้าเพื่อชมวิวเมือง ขึ้นมาในยามเย็นเพื่อชมพระอาทิตย์ตกและแสงไฟในยามค่ำก็ล้วนแต่สร้างความประทับใจได้ในทุกฤดูกาล
• Asari Honten
อากาศเย็นๆ กับน้ำซุปร้อนๆ คือสวรรค์ของกระเพาะที่แท้ทรู นักเดินทางผู้หิวโหยอย่างเราจึงขอแนะนำ Asari Honten ร้านอาหารที่สร้างจากไม้มีสองชั้น โดยมีที่นั่งทั้งแบบ private และแบบธรรมดาที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1901 นี้เสิร์ฟอาหารอันแสนอร่อยจนมีเมนูที่ได้รับการแนะนำในหนังสือท่องเที่ยวของมิชลิน คือ เมนูสุกี้ยากี้เนื้อที่มีทั้งแบบเนื้อวัวเกรดเอและเกรดธรรมดาให้เลือกตามกำลังทรัพย์
ดังนั้นการจะมาทานร้านอาหารร้านนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยแต้มบุญ แต่ต้องอาศัยการจองคิวล่วงหน้าเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้ทานสุกียากี้เลิศรส เพราะบางวันคิวก็อาจจะแน่นจนเต็มและไม่สามารถวอล์คอินได้ แต่ถ้าอยากจะลองเสี่ยงโชคแนะนำให้ไปในช่วงเช้าก่อนเที่ยงก็อาจจะพอมีแต้มบุญหลงเหลือให้ได้ลองทานกันบ้าง และหากมีโอกาสได้เข้าไปทานสิ่งที่เราต้องทำก็มีเพียงเลือกเมนูที่ชอบ ถ่ายรูป และนำเนื้ออันนุ่มละมุนนั้นเข้าปาก เพราะขั้นตอนอื่นๆ จะมีพนักงานคอยจัดเตรียม ต้ม ลวกให้เราในอุณหภูมิ และเวลาที่เหมาะสม อร่อยแบบครวญครางดีมากจริงๆ
• Hakodate Tropical Botanical Garden (Hot-Tubbing Monkeys)
ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้ไม่ใช่เพียงแต่มนุษย์อย่างเราเท่านั้นหรอกที่โหยหาความอบอุ่น เพราะแม้แต่เจ้าลิงป่าก็ยังต้องการไออุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการแช่ออนเซ็นดังเช่นมนุษย์ เราหลายคนคงเคยเห็นผ่านตากันมาแล้วบ้างกับภาพเจ้าลิงขนปุยหน้าแดงแจ๋ที่มาแช่น้ำร้อนกลางหิมะพร้อมทำหน้าทำตาแสนสุขซะยิ่งกว่าเราๆ การมาเยือนที่ Hakodate tropical Botanico garden คือโอกาสที่เราจะได้เห็นของจริงและยังเป็นโอกาสที่เราจะได้ให้อาหารพวกมันกับมือเราเองอีกด้วย!!! แต่สัตว์ป่าก็คือสัตว์ป่ายังไงซะพวกแกก็ต้องระวังอย่ายั่วยุหรือแหย่พวกมันเวลาให้อาหารล่ะมิเช่นนั้นจะถูกทำร้ายเอาได้
• Goryōkaku Tower
หอคอยโงเรียวกาคุหอคอยที่ถูกสร้างเอาไว้สำหรับชมวิวนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 2006 โดยมีความสูงทั้งสิ้น 107 เมตร ตัวหอคอยด้านบนมีลักษณะเป็นรูปห้าเหลี่ยมที่ให้เราสามารถขึ้นไปเดินชมวิวป้อมดาวห้าแฉกหรือป้อมโงเรียวกาคุ ป้อมที่เคยใช้ป้องกันเมืองฮาโกดาเตะจากการคุกคามของจักรวรรดินิยมที่มีลักษณะเป็นดาวห้าแฉก ก่อนจะถูกดัดแปลงมาเป็นพื้นที่ปลูกซากุระกว่า 100 ต้น ตั้งแต่ช่วงปี 1910 ดังนั้นหากแกมาที่นี่ในฤดูซากุระแกก็จะสามารถชมซากุระและคูน้ำรวมถึงป้อมจากมุมสูงได้ แต่เรามาในช่วงฤดูหนาวที่ทุกอย่างถูกปลุกคลุมไปด้วยหิมะซึ่งสำหรับเรามันก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป
• Lucky Pierrot
ที่เมืองฮาโกดาเตะ (Hakodate) ยังมีอาหารที่ขึ้นชื่ออีกหนึ่งอย่างคือแฮมเบอร์เกอร์จากร้าน Lucky Pierrot เบอร์เกอร์ชิ้นโตที่สอดไส้เนื้อวัวอันชุ่มฉ่ำและผักสดใหม่ผสานกับซอสสูตรเฉพาะ ในบรรยากาศแบบ Circus Style ที่จับเอาเจ้าตัวตลกมาเป็นมาสคอตประจำของร้าน การเข้ามาทานอาหารในร้านนี้จึงทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในโรงละครสัตว์แบบฝรั่งแต่ดำเนินเรื่องโดยโมโมทาโร่ ที่แม้มันจะดูแตกต่างแต่ก็กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน
• Red Brick Warehouses
ที่สุดท้ายที่เราจะนำเสนอในครั้งนี้ก็คือ Red Brick Warehouses ตึกที่ทำจากอิฐสีแดงริมแม่น้ำของอ่าวฮาโกดาเตะนี้ แต่เดิมก็เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูในช่วงปลายสมัยเอโดะในฐานะที่ค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าของชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ ก่อนจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในสมัยนี้ที่ได้มีการปรับปรุงตัวตึกให้กลายมาเป็นแหล่ง Shopping ที่มีร้านรวงต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านค้า ร้านขายของฝากในสไตล์คลาสสิคย้อนยุค ที่นี่จึงมีทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติมาเดินเล่น Shopping ถ่ายรูปกันอยู่เนืองแน่นในทุกฤดู เพราะมันค่อนข้างจะกว้างใหญ่และมีมุมแปลกตาที่พอถ่ายออกมาแล้วหลายคนแทบจะเดาไม่ออกเลยว่านี่คือประเทศญี่ปุ่น
แม้การเดินทางครั้งนี้จะจบลง แต่มันก็เป็นการจบลงเพื่อเริ่มต้นใหม่ในฤดูถัดไปอย่างแน่นอน อย่ามัวให้ใครเริ่มต้นจนจบแล้วเราอยู่กับที่ เพราะเวลาที่ดีทีสุดของการออกเดินทางก็คือวันนี้แหล่ะ เพราะวันพรุ่งนี้หิมะก็อาจจะละลายเสียแล้ว แต่ถึงแกจะคลาดกับหิมะเกร็ดสุดท้าย แกก็เริ่มต้นใหม่กับดอกไม้ดอกแรกได้นะ ก็เรากำลังจะบอกกับแกว่าโลกนี้มีดอกไม้ที่รอให้แกไปชม มีน้ำที่รอให้แกไปดื่ม มีอาหารที่รอให้แกไปชิม อย่าปล่อยให้พวกมันรอเลยนะ ออกไปหาพวกมันกันดีกว่า ….