4-Days Japan Itinerary for Food Lovers : Osaka – Kyoto – Kobe

ญี่ปุ่น….อีกสักรอบละกัน ก็มันดีจริงๆ อ้ะแกร๊ ดีจนอยากจะร้องเป็นเพลง หลงรักเธอแล้ววววว ทำไงได้….. แต่ญี่ปุ่นรอบนี้เราจะเดินทางโดยใช้กระเพาะ!!!! กระเพาะรักเธอ??? กระเพาะอาหารนี่ล่ะ!!! ก็แหม เราจะไป โอซาก้า-เกียวโต-โกเบ ที่แค่ฟังชื่อน้ำลายก็แทบไหลเป็นทาง แล้วจะปล่อยให้กระเพาะมันเคว้งคว้างได้ไง!!! ทริปนี้เรื่องกินเรื่องใหญ่ พุงใหญ่เรื่องเล็ก เช็คอินกรุบกริบให้พอมีสาระ เพราะเราจะพาแกบินลัดฟ้าไปกับ GrabFood ถ้าอาหารไม่กู๊ดเราจะไม่กิน แต่ถ้ามันฟินส์เราถึงจะมาบอกต่อ เอาล่ะ เตรียมทุกอย่างที่กินได้ให้พร้อมก่อนอ่านรีวิว เพราะถ้าเกิดหิวจากขาปูก้ามยักษ์ ทาโกยากิลูกใหญ่ ชานมไข่มุกหอมมัน เนื้อลายหินอ่อน และเหล่าของกินที่ชวนหม่ำ จะเลียจอยังไงก็ไม่อร่อย เชฟเตือนละน้าาาา หยิบตะเกียบรอแล้วแชร์ไว้ก๊อบที่กินสุดอลัง จุดเช็คอินปังๆ ปริ้นลง A4 ไว้บอก ตม. ว่าปล่อยหนูไปเถอะค่ะ หนูหิว!!!! เริ่ม ….

สำหรับทริปนี้เรามีโอกาสร่วมเดินทางไปกับผู้โชคดีจากแคมเปญ GrabFood Chicken Festival ที่เปิดให้ทุกคนได้ร่วมสนุกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมากับกติกาง่ายๆ แค่กดสั่งไก่ Texas Chicken, Bonchon, หรือ A&W ผ่านแอปพลิเคชันแกร็บฟู้ด ใครสั่งไก่เยอะที่สุดก็ได้รางวัลสุดฟินบินไปกินพักเที่ยวที่ญี่ปุ่นแบบฟรีๆ 4 วัน ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ดีงามน้ำตาไหลขอบอกต่อ … เค้าจับจริงแจกจริงเด้อ โอ้โห!!! ใครพลาดรอบนี้โหลดแอปรอแล้วมาดูกันว่ารอบหน้า GrabFood จะพาไปกินที่ไหน เอาล่ะ!! เมื่อรู้ที่ไปที่มาของทริปกันแล้วก็ถึงเวลาไปตะลุยกินแบบจริงๆ จังๆ ตั้งแต่สตรีทฟู้ดยันมิชลินสตาร์แล้วจ้าทุกคนนนน

Osaka :

001 Dotonbori

เริ่มแรกด้วยย่านที่คุ้นชิน โดทงโบริ แหล่งชอปปิ้งทั้งสตรีทแบรนด์  ไฮเอนด์แบรนด์ ของฝาก ของเล่น เขามีให้เลือกทั้งหมด โดทงโบริ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโอซาก้า เป็นถนนเลียบคลองที่เกิดขึ้นมากว่า 300 ปีแล้วจ้า ซึ่งจากตรงนี้เราสามารถเดินเชื่อมต่อไปได้ทั้งนัมบะและชินไซบาชิ ย่านชอปปิ้งที่เดินละลายทรัพย์เป็นเส้นยาวจนกระเป๋าตังค์แทบฉีกกันเลยทีเดียว และที่สำคัญ นางยังมีของกินเด็ดๆ ที่นักท่องเที่ยวดาหน้าเข้ามาเช็คอินกันไม่เว้นแต่ละวัน จะมาวันไหนเมื่อไหร่คนก็เยอะคึกคักตลอด … มาดูกันว่าเราจะหยิบยกเมนูเด็ดอะไรในย่านนี้มาอวด

• Odori Dako Dotonbori

ทาโกะยากิถือเป็นหนึ่งในอาหารจานด่วนที่ขึ้นชื่อที่สุดของญี่ปุ่น ก็คืออาหารประเภทสตรีทฟู้ดเวอร์ชั่นญี่ปุ่นอะแหละ แล้วมาถึงโอซาก้าถ้าไม่กินทาโกะยากิก็เหมือนเธอมากันไม่ถึงนะ เพราะเขามีหลากหลายแบรนด์มากๆ แต่ละร้านก็มีสาขาอีกเยอะแยะทั่วโลก ส่วนร้านที่เราจะแนะนำรอบนี้คือ “Odori Dako” ร้านทาโกะยากิที่ไม่ได้ให้ปลาหมึกแค่เสี้ยวหนวด แต่ให้มาทั้งตัวเลยจ้า.. ซิกเนเจอร์ของเขาคือมีพุ่มหนวดปลาหมึกโผล่ออกมาให้เราเห็นแบบเนี้ย.. เต็มปากเต็มคำมากเว่อร์ ถามถึงรสชาติ เมืองท่าติดทะเลแบบนี้ แป้งร้อนๆ กับปลาหมึกเด้งๆ สดสุด หวานติดลิ้นกินกี่ชิ้นก็ฟิน นางมีสองราคาให้เลือกเด้อ แบบ 6 ชิ้น 600 เยน และ 10 ชิ้น 900 เยน เป็นจานด่วนราคาน่ารักและได้ของพรีเมี่ยมที่สุดสำหรับเราแล้ว

• Osaka Ohsho

อีกหนึ่งสตรีทฟู้ดประจำเมืองเกี๊ยวซ่าเจ้าดังที่มาเปิดสาขาในไทยด้วย ถ้ากินที่ไทยจะครีเช่ไป เราบินมากินที่นี่ดีกว่ายากดี ร้าน Osaka Ohsho ร้านเด่นด้วยแผงเกี๊ยวซ่าขนาดใหญ่เท่าตึก 1 ชั้นที่มองไปแล้วรู้เลยว่าขายอะไร ร้านนี้เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1969 รวมแล้วประมาณ 50 ปีพอดีเป๊ะ ตามชื่อร้านที่แปลว่า “ราชาของเกี๊ยวซ่าแห่งโอซาก้า” แค่ได้กัดเข้าไปก็ต้องหลับตาจินตนาการว่าเขาใส่อะไรเข้าไปในไส้นี้บ้าง เพราะมันแน่นเต็มปาก กลิ่นขิง กระเทียมหอมๆ หมูนุ่มๆ และความหวานของกะหล่ำปลี คละเคล้ากันอย่างกลมกล่อม ผสมกับแป้งแบบพิเศษของทางร้าน ข้างนอกอบจนร้อนกรอบเกรียมแต่ข้างในชุ่มฉ่ำ มันคือความเข้ากันที่น้ำจิ้มไม่จำเป็นอีกต่อไป เมนูซิกเนอเจอร์เกี๊ยวซ่า 6 ชิ้นใส่กล่องอยู่ที่ 260 เยน (รวมค่ากล่อง 20 เยน ) นอกจากเกี๊ยวซ่าแล้วที่ร้านก็ยังมีอีกหลายเมนูให้เลือก ทั้งไก่คาราเกะ ราเมน ซุปเกี๊ยวซ่า ข้าวผัด มีที่ให้นั่งที่ชั้น 2-3 จ้า

• Ichiran Ramen

ร้านนี้คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ ราเมงข้อสอบ เพราะกว่าจะสั่งได้คือเราต้องติ๊กเลือกสิ่งที่เราอยากได้ลงไปในกระดาษที่มีหัวข้อ พร้อมช้อยส์ให้เลือก คล้ายๆ ข้อสอบ เช่น ความนุ่มของเส้น ปริมาณกระเทียม ความเค็มของน้ำซุป ควบคุมการผลิตจานต่อจานได้ด้วยปลายปากกา แน่นอนเมนูประจำร้านของร้านคือ “ทงคัตสึราเมง” ที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง การันตีด้วยสาขามากมายในญี่ปุ่น และทุกสาขาต้องต่อคิวนะจ๊ะ น้ำซุปที่นี่เขาเครมว่าเป็นน้ำซุปไขมันต่ำ โดยการเคี่ยวแล้วกรองไขมันออก จนได้ซุปจากกระดูกหมูเข้มข้นที่แท้จริง ที่สำคัญในน้ำซุปยังมีคอลลาเจน(จากกระดูกหมู) กินแล้วหน้าเด้ง ผิวตึงไปอีกนะแก มารวมกับเส้นราเมงที่ผลิตวันต่อวันผ่านการตรวจเช็คมาตรฐานญี่ปุ่น และซอสรสเผ็ดออนท๊อปซิกเนเจอร์พระเอกของร้าน ทำให้เราต้องยกซดจนหยดสุดท้าย ราคาจะขึ้นอยู่กับที่เพิ่มอะไรไปบ้าง อย่างเรา ราเมง + ไข่ เป็น 910 เยน และสั่งหมูชาชูแยกมาอีก 180 เยน รวมเป็น 1,090 เยน กินจนพุงย้อยๆ เด้งขึ้นมาเป็นทรงเลยแก จานใหญ่อิ่มเว่อร์

• Kani Doraku

ร้านขาปูยักษ์ในตำนาน ตั้งอยู่ตรงหัวมุมริมคลองโดทงโบริ ใกล้ๆ ป้ายกูลิโกะ หันไปเจอปูตัวยักษ์ที่ติดบนตึกอยู่ตรงไหน ร้านอยู่ตรงนั้นเลย Kani Doraku ถือเป็นหนึ่งร้านในดวงใจของเหล่านักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ ผ่านทีไรคนยืนเซลฟี่เต็มหน้าร้านตลอด นั่นหมายความว่าถ้าใครอยากมากินที่นี่ควรโทรจองหรือจองผ่านเว็บไซต์ล่วงหน้าก่อนนะจ๊ะ คิดจะ walk-in มาเองอาจจะต้องรออย่างต่ำถึง 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว ส่วนใครไม่สะดวกรอก็ซื้อใส่กล่อง Take away เดินกินก็เพลินดี

มาถึงที่แล้วขอเข้าไปกินหน่อยเถอะ โชคดีได้มากับ GrabFood พี่ๆ เขาจัดการจองเลือกอาหารตรงใจเราให้เรียบร้อยแล้ว บอกเลยว่าไม่ใช่เช็ตเล็กๆ นะจ๊ะ เราได้เซ็ตเมนูปูจักรพรรดิที่เนืองแน่นไปด้วยขา King Crab สดๆ ฉ่ำๆ สร้างความวาไรตี้ด้วยเทคนิคการปรุงที่แตกต่างกันไป ทั้งกินสดๆ เป็นซาชิมิ เอาไปเผา นึ่ง และสุกี้หม้อไฟ คือกินเพลินหมดเซตไม่มีเลี่ยน ขาปูแน่นจุใจ แกะออกมายังเป็นเส้นๆ หนึบๆ เห็นถึงความสด แค่กัดเข้าไปก็รับรู้ได้ถึงน้ำทะเลหอมๆ ที่ยังแทรกอยู่ในเนื้อ ทำให้รู้ว่าปูร้านนี้มันสดเหมือนเพิ่งตักขึ้นมาจากทะเลจริงๆ นอกจากเซตนี้แล้วทางร้านยังมีอีกหลายเมนูเอาใจคนรักขาปูทุกรูปแบบไปเลย ราคามีตั้งแต่พรีเมี่ยมยิ่งใหญ่เป็นหมื่นเยน หรือแค่กินพอรู้รสชาติราคาหลักพัน ความจริงแค่เซตที่เรากินก็อิ่มมากแล้วสำหรับ 1 คน

• Kushikatsu Daruma

ก็ยังเป็นประเภทอาหารซิกเนเจอร์ของโอซาก้าเหมือนเดิม คิดๆ ไปเมืองนี้มีเมนูอาหารที่หลากหลายกว่าทุกที่จริงๆ อย่างร้านนี้ Kushikatsu Daruma ที่แปลตรงๆ ว่า  ร้านเสียบไม้ทอด ร้านนี้เปิดมานานกว่า 90 ปี หน้าตาคล้ายของทอดธรรมดา แต่รสชาติเรายังไม่เจอที่ไหนอร่อยเท่าที่นี่เลย วิธีกินค่อนข้างแปลกหน่อย คือแต่ละโต๊ะจะมีกล่องเหล็กข้างในเป็นน้ำจิ้มสีดำหวานๆ เค็มๆ ไม่มีช้อนตักน้ำจิ้มใดๆ เราต้องหยิบของทอดทั้งไม้ของเราจุ่มลงไปให้เต็มชิ้นจ้า จุ่มครั้งเดียวห้ามจุ่มซ้ำเพราะน้ำจิ้มนี้เขาไม่เปลี่ยน แค่ตะแกรงเอาเศษออกอย่างเดียวเท่านั้น.. ถือเป็นวัฒนธรรมการกินที่เราควรจะศึกษาก่อนเข้าร้านจริงๆ พูดถึงรสชาติขอชมน้ำจิ้มก่อนเลยคือเด็ดดวงพวงมาลัยมากแก มันเข้ากับแป้งของทางร้านสุดๆ ไม่เค็มเกินไปอย่างที่คิด คือจุ่มไปเต็มชิ้นก็กินได้สบายๆ ถ้าใครเลี่ยนก็ให้กินกะหล่ำตัดกับเครื่องดื่มได้แบบเรื่อยๆ แป๊ปๆ ก็หมดแล้ว ราคาก็แตกต่างกันไป เช่น หมู ไส้กรอก ลูกชิ้น ชีส 120 เยน, เนื้อสันในวัว เนื้อหมูติดมัน 180 เยน, กุ้ง หอยเชลล์ ลิ้นวัว 240 เยน เป็นต้น หรือกินเป็นชุดราคาตั้งแต่ 1,400 – 1,800 เยน มากันเยอะๆ ก็คุ้มนะ

• Twins Cheese Hot Dog

อีกหนึ่งสตรีทฟู๊ดที่กำลังเป็นที่นิยมในย่านนี้ ฮอทดอกไส้ชีสยืดยาวจนสุดแขนก็ยังไม่ขาด นอกจากร้านดังๆ แล้วก็มีร้านใหม่ผุดขึ้นมาอีกมากมายเลย อย่างร้านนี้ที่เรามาลองชื่อว่า Twins Cheese Hot Dog แท่งละ 550 เยน ราคาอาจจะแรงกว่าร้านอื่นๆ แต่ฟังก่อน!!! ใน 1 แท่งเขามีสองไส้ให้เราตามชื่อ Twins ที่แปลว่าฝาแฝดเลย.. ฝั่งนึงเป็นไส้ Salt Caramel อีกฝั่งเป็น Cinnamon Sugar เกร๋ๆ งี้ ความยาวตั้ง 23 ซม. ถ้าถามว่าคุ้มมั้ย.. ฉันตอบเลยว่ามากกกกกกกกก

• Luke’s lobster

ร้านขนมปังไส้กุ้งล็อบสเตอร์สัญชาติอเมริกาจากนิวยอร์กซิตี้ แต่มันดังพลุแตกระเบิดระเบ้อที่ญี่ปุ่นที่มีช่วงนึงคนต่อแถวกินยาวเป็นหางว่าว แต่ตอนนี้ไม่ต้องรอนานแล้วเพราะเริ่มมีหลายสาขาคิวเลยสั้นไปเยอะ ถ้าคุณภาพไม่ดีอยู่ไม่ได้แน่นอนในประเทศนี้ ล๊อบสเตอร์ที่เป็นวัตถุดิบหลักของร้านจะต้องส่งตรงมาจากอเมริกาเหนือและแคนนาดาเท่านั้น โดยแต่ละวันเขาก็จะมีเขียนบอกว่าล๊อบสเตอร์วันนี้มาจากท่าไหน เมนูจะมีทั้งแบบ 1 โรลไส้เดียวและไส้ละครึ่งหนึ่ง อย่างเราสั่งแบบ Lobster & Shrimp Roll ราคา 1,380 เยน เขาจะทำมาให้เราสดๆ พร้อมอบขนมปังให้มาแบบร้อนๆ เลย ไส้ทั้งสองข้างให้เยอะสูสีกัน ปริมาณถือว่าคุ้มราคา พรีเซ้นท์น่าสนใจ ไหนลองชิมสิเป็นยังไง.. ยกให้ฝั่งล๊อบสเตอร์กินขาดสิจ๊ะ ด้วยความเนื้อล๊อบสเตอร์อะเนอะ หวาน สด เด้งกรุบ ส่วนด้าน Shrimp Roll แม้จะเป็นกุ้งเล็ก แต่ก็ถือว่าสดอยู่ไม่ได้ว๊าววว เท่าอีกฝั่ง แต่ถ้ากินคู่กับขนมปังร้อนๆ กรอบนอกนุ่มในแล้วเราก็ถือว่าไม่เลวเลยสำหรับชิ้นนี้

ที่เราแนะนำมาทั้งหมดยังไม่ถึงครึ่งของกินในย่านโดทงโบรินะ ใครที่เคยมาแล้วจะเข้าใจเลยว่าทุกตารางเมตรของเขาเต็มไปด้วยของกิน ยิ่งของกินเล่นสตรีทฟู้ดนะมาสิบรอบยังกินไม่ครบ มันเยอะชนิดที่ว่าถ้าสะดุดขาตัวเองล้มก็ยังคว้าอะไรยัดใส่ปากได้ ส่วนคนที่ไม่เคยไปเราแนะนำให้ล้างท้อง ลดความอ้วนรอ แล้วไปเดินกันตั้งแต่หัวค่ำให้ฉ่ำๆ กินแบบไม่ต้องนับแคลได้เลย ทาโกเยอะ บะหมี่แยะ เกี๊ยวซ่าเพียบ ปูยักษ์ก็ต้องห้ามพลาด เอาเป็นว่าไปเดินกินเดินเที่ยวกันเองเนอะจะได้เห็นภาพชัดๆ ด้วยตัวเอง

002 America-Mura

หมู่บ้านอเมริกันที่ได้ชื่อนี้ไม่ได้หมายความว่ามีคนอเมริกาอยู่ที่นี่เยอะนะ แต่เป็นเพราะเมื่อปี 1970 แถบนี้เป็นคลังสินค้าเก่า แล้วถูกปรับเปลี่ยนเป็นที่ขายสินค้านำเข้าจากประเทศฝั่งตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นของวินเทจ เสื้อผ้า เครื่องประดับ แผ่นเสียง ของมือสองสภาพดี ฯลฯ เยอะจนเขายกให้เป็น America-Maru ( หมู่บ้านอเมริกัน ) ถือว่าเป็นแหล่งตามเทรนแฟชั่นตั้งแต่ยุค 70 จนถึงปัจจุบันเลยก็ว่าได้ แม้เวลาจะผ่านไปโลกถูกย่อเอาไว้ในกำมือ เลื่อนนิ้วก็อัพเดทเทรนโลก ส่งของข้ามประเทศกันได้ง่ายๆ แต่ที่นี่ก็ยังไม่เคยหลับไหลยังคงมีวัยรุ่นและนักท่องเที่ยวแห่แหนกันมาชอปปิ้งอยู่เรื่อยๆ นอกจากสินค้าแฟชั่นกลิ่นอายอเมริกาแล้ว ของกินยังเยอะแยะมากมายอีกด้วย ย่านนี้จะเต็มไปด้วยสตรีทฟู้ดตะมุตะมิแนวของหวานเยอะมากแกร๊

• Sin an ju

ร้านแรกขอแนะนำ Sin an ju ชานมไข่มุกสัญชาติไต้หวันที่ข้ามแดนมาโด่งดังถึงญี่ปุ่น ต้องต่อแถวยาวจนเมื่อยเท้า แต่เพื่อโลโก้รูปม้าน้ำน่ารัก เท็กเจอร์ดอกไม้ลายจีนๆ และทรงแก้วแสนอินเทรนด์ตูดมนตั้งไม่ล้ม ไข่มุกเลิฟเวอร์อย่างเราทนได้!! ด้วยไข่มุกที่ทำจากวัตถุดิบคุณภาพสูงที่คัดสรรมาแล้ว มีการควบคุมความเหนียวหนึบแม้ต้องส่งออกขายแบบสำเร็จรูปก็มีความเสถียรและอร่อยอยู่เสมอ เมนูซิกเนอเจอร์ที่เราสั่งมาคือ Sugar Bubble Milk ราคา 540 เยน ด้วยน้ำตาลทรายแดงที่ละลายลงมาเป็นเส้น สร้างลวดลายแก้วดูน่ามอง กลิ่นบราวน์ชูการ์ยังหอมนุ่มเคล้ากับนมและไข่มุก หวานเย็นจี๊ดขึ้นสมอง สร้างความกะปรี้กะเปร่าให้เราได้มากขึ้นเยอะ ไม่แปลกใจทำไมแถวย๊าวยาว

• Nonara Pearl TAPIOCA & TEA

แม้จะมีร้านชานมมากมายเรียงรายในย่านนี้ สายตาเจ้ากรรมก็ต้องมาสะดุดหยุดกับความชมพู๊ชมพูดูหวานแหววที่ร้าน “โนะนะระ เพิร์ล” แค่เห็นโลโก้เจ้าแมวหน้าหวานกอดเม็ดไข่มุกอย่างน่ารัก ก็หวานขึ้นตาแล้ว ยิ่งน้องแมวมาอยู่บนแก้วชานมไข่มุกเรายิ่งหลงเสน่ห์เข้าไปอีก ซึ่งเมนูร้านนี้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ Nonara Special, Fresh Milk, Fruits Ade และ Tea Ade ซึ่งแน่นอนคนอย่างเราต้องสั่งอะไรที่เป็นสเปเชี่ยลอยู่แล้ว จัด Brown Sugar Fresh Milk Tapioca ราคา 520 เยน เขาต้มบราวน์ชูก้าได้หอมหวาน พอดีมากๆ ไม่หวานแหลมจนแสบคอ กลิ้นไม่ฉุนกึกเหมือนร้านทั่วไป ถ้าใครเป็นสาวกเครื่องดื่มผสมบราวน์ชูการ์นี่ห้ามพลาดกันเลยทีเดียว ร้อยกว่าบาทที่เสียไปกับแก้วนี้ไม่เสียดายเลยสักนิด ไข่มุกหนึบหนับ เคี้ยวกำลังสนุกบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นไข่มุกทำสดไม่ค้างคืน ระดับความหวานที่เลือกได้ตามจริตคนสั่ง เหมือนแก้วนี้รวมความเฟอร์เฟคสำหรับเราเอาไว้เลย ไม่แปลกใจว่าทำไมคิวย๊าวยาววววอีกแล้วจ้าาาา

• Totti Candy Factory

ไปให้สุดแล้วหยุดที่เบาหวานกันจ้า กลับกรุงเทพฯ หมออาจสั่งยาเพิ่มให้แน่นอน ร้านของหวาน Totti Candy Factory ที่ขายลูกอมแบบต่างๆ สีสันฉูดฉาดจนแอบตั้งคำถามในใจว่ากินจริงได้อ่อ?? แต่ที่เราอยากมาลองกินดูสักครั้งก็คือสายไหมอันโต รูปทรงน่ารัก.. ใช่ค่ะมันคือสายไหมวัยเด็กธรรมดาของเรานั่นแหละ แต่ด้วยการเล่นสีที่ไม่เหมือนใคร และรูปทรงแบบสั่งได้ มันยั่วยวนให้เราต้องมาจริงๆ อันที่เห็นคือ Three Color of Cotton Candy ราคา 600 เยน เหมือนลูกข่างอันโต ใหญ่กว่าหัวเราอีก สามสีเรียงกันน่ารัก ว่าแล้วก็ต้องถ่ายรูปอัพไอจีเป็นที่ระลึกก่อนจ้วงกินอย่างรวดเร็วราวกับกลัวมันจะละลาย

• Long Softcream

ของหวานสตรีทๆ ในประเทศญี่ปุ่นนอกจากเครปเย็นก็ซอฟท์ครีมเนี่ยแหละที่เรานึกถึง เพราะเขามีทุกเมืองทุกหัวมุมถนนจริงๆ อาจเพราะวัตถุดิบของเขาที่มีนมวัวคุณภาพดีเลยทำได้อร่อย ยืนหนึ่งเรื่องซอฟต์ครีมขนาดนี้ต้องหาร้านแปลกๆ ไม่เหมือนใครสักหน่อย ย่านนี้เขามีซอฟท์ครีมที่ยาวทุกสุดในญี่ปุ่นอยู่ที่ร้าน Long Soft Cream ซอฟท์ครีมเขามีความยาวถึง 40 ซม. แหนะแก รสชาติมีตั้งแต่วนิลลา ชาเขียว ช็อกโกแล็ต สตรอว์เบอร์รี เปลี่ยนไปตามวัน จะเลือกแบบทูโทนหรือรสเดียวก็ได้ สำหรับซอฟครีมรสวนิลลานุ่มๆ แท่งยาวนี้เพียง 300 เยนเท่านั่นฮะ

• Sekaide Nibanmeni Oishi MelonPan ICE

ที่นี่นิยมตั้งชื่อร้านที่บอกเล่าประวัติของร้านกันจริงๆ เพราะชื่อร้านยืดยาวนี่แปลเป็นไทยได้ว่า “เมล่อนปังไอศครีมปังอบสดๆ ที่อร่อยเป็นอันดับ 2 ของโลก” แล้วใครคือที่หนึ่งละ? ทางร้านบอกว่าเขายกที่ 1 ให้อาจารย์ของเขาอะแก.. มีสตอรี่น่ารักๆ ไปอีก ร้านนี้มีหลายสาขามากในญี่ปุ่นถ้าใครจำชื่อร้านไม่ได้ก็จำป้ายร้านเอานะ จะเป็นรูปเมล่อนปังไอศครีมหยด ป้ายสีเขียวสดกระแทกตา เด่นมาก มาครั้งแรกก็ลองชิมรสออริจินัล ( 400เยน ) ลองเชิงกันก่อน ที่เขาเคลมว่าอร่อยเป็นที่สองของโลกมันจริงมั้ย? ดูที่รูปร่างขนมแล้วรู้สึกอยากจ่ายเงินเพิ่ม เพราะปังเขาชิ้นโตมาก ออกมาจากเตาร้อนๆ ก็ผ่าแล้วยัดไส้ไอศครีมก้อนโตเข้าไป เรื่องเนื้อเมล่อนไม่อยากจะบรรยายเพราะอยากให้บินมากินเองแล้วจ้าาาาา ข้างนอกกรอบกรุบคล้ายคุกกี้ ข้างในนุ่มลิ้นเหมือนปังอบร้อนๆ หอมกลิ่นนมเนยที่อบอวลขึ้นมาเพราะความสดใหม่ ตัดกับความเย็นของไอศครีมแล้วคือเพลินมาก

003 2-stars Japanese Restaurant “Ajikitcho Horieten”

อีกหนึ่งช็อตเด็ดของทริปนี่ที่โอซาก้าคือการมาตามหาและลิ้มรสอาหารตามรอยมิชลินสตาร์ ณ Ajikitcho Horieten ร้านอาหารญี่ปุ่นคุณภาพที่เสิร์ฟแบบ Tranditional แท้ๆ คุณภาพดีงามจนได้มิชลินสตาร์ถึง 2 ดวง แต่ละดวงไม่ใช่ได้กันง่ายๆ นะจ๊ะ “Kitcho” เป็นชื่อของผู้ก่อตั้งซึ่งตอนนี้ได้ตกทอดมาสู่รุ่นลูกแล้ว แต่สกิลเทพๆ จากรุ่นพ่อก็ยังคงอยู่ ด้วยการเสิร์ฟอาหารแบบ Kaisaki อาหารเย็นที่เสิร์ฟทีละจานเป็นลำดับ จัดวางในจานที่สวยงาม วางองค์ประกอบต่างๆ อย่างละเมียดละไม อีกหนึ่งความพิเศษคือเขาเลือกอาหารทะเลสดๆ จากชาวประมงเอง ใช้ผักจาก Naniwa โครงการที่เกิดจากการรวมตัวกันของชาวเกษตรกรในโอซาก้าที่ร่วมกันทำให้มีผลผลิตที่เป็นมาตรฐานส่งเสริมตลาด Local ที่แท้จริง อาหารเช็ตนี่แม้หน้าตาดูไม่จัดจ้าน แต่ทุกอย่างกลมกล่อม ตามสไตล์ญี่ปุ่นที่ชอบชูรสชาติจากวัตถุดิบหลักโดยไม่ต้องปรุงแต่งเยอะแยะ

และที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาลเห็นจะเป็นของหวานที่เสิร์ฟล้างปากปิดท้าย ซึ่งครั้งนี้เราได้ชิมเมล่อนสดๆ จากจังหวัด Shizuoka แหล่งฟาร์มชั้นเยี่ยมที่ปลูกอะไรก็อร่อยแบบไม่ต้องจิ้มอะไรเพิ่ม หวานฉ่ำชุ่มคอมาก เป็นบุญของเราที่ได้มาลิ้มลองจริงๆ แก กราบ GrabFood มากจ้า เพราะร้านนี้เค้าจองกันยากจริง

004 1-Star Japanese Restaurant “Kitamura”

ไม่หยุดที่ร้านเดียวหรอกกับร้านอาหารรางวัลเนี่ย ขอมาต่อกันที่ Kitamura ร้านสุกี้หม้อไฟสไตล์คันไซที่ได้รับมิชลินสตาร์มาแล้ว 1 ดวง ร้านนี้เปิดให้บริการในโอซาก้าตั้งแต่ปี 1881 ของขึ้นชื่อที่ทำให้ร้านอยู่มายาวนานขนาดนี้เห็นจะเป็น เนื้อวากิวที่ละลายในปาก พร้อมกลิ่นเนื้อที่ตีขึ้นหอมอบอวนไปทั้งโพรงจมูก โดยการันตีว่าเขาคัดเนื้อดีที่สุดในญี่ปุ่นมาขายเท่านั้น ในการเสิร์ฟเขาจะให้พนักงานมาประกอบอาหารกันให้ดูสดๆ เริ่มจากการจี่เนื้อลงไปบนกระทะร้อนเพื่อให้เนื้อนุ่ม ปรุงด้วยโชยุ และน้ำตาลเพิ่มความกลมกล่อม ย่างสลับกับผัก และผัดเส้นน้ำขลุกขลิก ทานขั้นกับเนื้อชั้นเยี่ยม จุ่มชิ้นเนื้อลงในไข่ดิบตามแบบฉบับญี่ปุ่นแล้วจะร้องว่า “ Heavenly!! ” เหมือนสวรรค์มาลอยอยู่ตรงหน้า ราคาสมน้ำสมเนื้อชุดละ 8,900 เยน แพงแต่คุ้มจริง!!! มื้อนี้เราให้สามผ่าน ฟินจนเอาไปฝันได้เลยเนี่ย

005 Osaka Castle

มาถึงที่เที่ยวมาสคอตประจำเมืองที่มากี่ครั้งก็ต้องแวะมาถ่ายรูป Osaka Castle มันมีเสน่ห์เหมือนเรียกเรากลับมาได้ทุกครั้ง อาจเพราะมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่สีเขียวเหมือนปอดกลางเมืองที่ล้อมรอบปราสาทไว้ให้เราได้เดินดูชาววีถีคนเมืองที่เขาจูงลูกมาปิกนิก จูงหมาพันธุ์น่ารักมาเดินเล่น ส่วนใครที่มาครั้งแรกเราอยากแนะนำให้ขึ้นปราสาทไปเป็นขวัญตาสักครั้งในชีวิต เพราะถือเป็นอีกปราสาทโบราณในญี่ปุ่นที่มีความสมบูณ์ทางประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ สร้างขึ้นเมื่อปี 1583 โดยท่านโทโยมิ ฮิเดะโย มีเจตนาว่าให้เป็นศูนย์กลางของญี่ปุ่น ณ ตอนนั้นจึงเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนั่นเอง แม้จะเคยถูกทำลายมาบ้าง ฟ้าผ่าเกิดความเสียหายบ้าง ก็ยังมีการบูรณะมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน เราสามารถเดินศึกษาความเป็นมาได้ทั้ง 8 ชั้น โดยชั้นบนสุดเป็นระเบียงให้เราได้ชมวิวเมืองโฮซาก้าแบบ 360 องศาไปเลยจ้า

ถ้าใครมาถึงปราสาทแล้วอยากหาของหวานเพิ่มพลังงานนิดๆ หน่อยๆ ลองเดินออกมานอกกำแพงปราสาทเราจะเจอ Dorayaki โดรายากิหน้าโดราเอมอนอยู่ หน้าตาน่ารักเหมือนในการ์ตูนต้นฉบับเลย ยิ่งเอามาวางรวมๆ กันยิ่งอยากบีบ อยากจะเหมาให้หมดแต่กินไม่ไหว มีให้เลือกทั้งไส้ชาเขียว และถั่วแดงเหมือนทั่วไป รสชาติอร่อยตรงที่ทำสดๆ ใหม่ๆ นี่แหละ อากาศเย็นๆ แล้วเจอแป้งร้อนๆ หอมๆ กับไส้หวานๆ นะ โอ้ยยยยยย ไปค่ะ!! เดินต่อได้ พลังงานมาเต็มขั้นแล้ว

006 Osaka Aquarium KAIYUKAN

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ KAIYUKAN ตึกใหญ่โตริมทะเลแห่งเมืองโอซาก้า ติดอันดับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ระดับโลก ที่นี่สามารถใช้เวลาเดินชมได้ถึง 3 ชม. เลยทีเดียว เพราะภายในมีสัตว์น้ำที่เราไม่เคยเห็นเยอะแยะมากมาย โดยธีมหลักของเขาไม่ได้สร้างเพื่อโชว์สัตว์น้ำใต้ทะเลเพียงอย่างเดียวนะ แต่สร้างจากสมมติฐานไกอาที่เชื่อว่า “สิ่งมีชีวิตทั้งหมดมีปฏิสัมพันธ์กับโลกที่มีการระเบิดของภูเขาไฟ และเป็นระบบของสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง” เพราะบ้านเมืองเขาอยู่ใกล้ภูเขาไฟแบบ Close-up อะเนอะก็น่าเชื่อถืออยู่ ส่วนพระเอกของที่นี่คนไทยเรียกว่า “น้องจุด” ฉลามวาฬลายจุดตัวโตมาก ดังจนได้เป็นมาสคอตของที่นี่เลยทีเดียว ใครๆ มาก็ต้องยืนรอถ่ายรูปกับน้อง และน้องก็น่ารักว่ายโฉบไปมาตามกระจกทุกบานให้ถ่ายง่ายๆ เลย เขามีโชว์ให้อาหารปลาในแท้งค์ใหญ่ด้วยนะ ทั้งน้องจุด ปลากระเบนใหญ่ ฉลามๆ ขนาดกลางจะว่ายกันให้ว่อนไปหมด ตื่นตาตื่นใจอยู่นานเหมือนกันจุดนี้

เดินจนเมื่อยแล้วมาแวะพักที่คาเฟ่ในนี้บ้างดีกว่า Mermaid Cafe เป็นร้านเหมือนโรงอาหาร ให้เลือกหาที่นั่งเองแล้วเดินไปซื้อแบบ Self-service ขายอาหารทานเล่น และขนมพอจุบจิบ พร้อมวิวทะเลงามๆ มีเรือท่องเที่ยว และเรือสินค้าวิ่งผ่านเป็นระยะ เมนูที่มาถึงนี่แล้วไม่อยากให้พลาดเลยคือ  Whale Shark Soft Serve Ice Cream ( 400 เยน) ซอฟเสิร์ฟทูโทนสีแปลกตาน้ำเงินขาว มองไปมา อ้าว !! เป็นสีของน้องจุดนี่หน่า ฝั่งสีน้ำเงินเป็นรสเลม่อนโซดาออกเปรี้ยวๆ กินคู่กับฝั่งขวาวนิลลามหานิยม ที่กินตัดกับอะไรก็อร่อย โรยด้วยเกร็ดน้ำตาลเพิ่มเท็กเจอร์การเคี้ยวให้ได้อรรถรสยิ่งขึ้น บอกได้สี่คำว่าสดชื่นฟินลืม

อีกเมนูที่น่ารักไม่แพ้กันคือ  Jinbee Pan (430เยน) ขนมปังเมล่อนรูปฉลามวาฬ เอ้อออ.. น้องจุดอีกแล้วอะแหละ มีสองรสให้เลือกคือรสมิลล์ครีม (ซื้อได้ที่ร้าน SEA SAW ชั้น2) และคัสตาร์ดครีม (ซื้อที่ร้าน Mermaid ชั้น4) ส่วนเรื่องรสชาติก็ไม่น้อยหน้าหน้าตาเลย รสคัสตาร์ดครีมมีความหวานละมุน เหมาะกับคนชอบกินแบบหวานนิดๆ พอชื่นใจ ตัวขนมปังมีความนุ่มนิ่มเหมือนพุงเราตอนนี้เลย ถือว่ากินเพลินๆ ได้อยู่ แก้ท้องหิวได้ระยะนึง

007 Kuromon Ichiba Market

Kuromon Ichiba Market ครัวใหญ่แห่งเมืองโอซาก้า เป็นตลาดซื้อขายของสดและปรุงสำเร็จที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น มีร้านค้าเรียงรายขนาบข้างด้วยความยาวของตลาด 600 เมตร ที่อัดแน่นร้านค้ากว่า 160 ร้าน มีทางเดินเล็กๆ ให้เราได้เดินดู ก็ยิ่งทำให้เราตื่นตาตื่นใจเลือกกันไม่ถูกเลยว่าจะหยุดซื้อร้านไหนดี ประเภทอาหารที่มาแล้วต้องได้ลิ้มลองคือ พวกอาหารทะเลสดๆ ทั้งซาชิมิ ปลาไหล กุ้งเผา ปลาหมึกย่างต่างๆ บอกเลยว่าเด็ดจนลืมแพลนเที่ยวแล้วอยากซุกตัวอยู่ตรงนี้กินมันทั้งวันนี่แหละ

เราลองสุ่มเลือกร้านดูว่าจะซื้อร้านไหนดีด้วยเซ้นท์ของตัวเองล้วนๆ อย่างอุนิ (ไข่หอยเม่น) สดๆ ที่วางแบ่งขายเป็นถ้วยๆเสิร์ฟพร้อมช้อนเล็กๆ ลองกินก็รู้เลยว่าสวยทั้งรูปจูบก็หวานสดเข้มข้นจนน้ำตาแทบไหล ปลาไหลย่างที่ราคาไม่แพงเท่าตามร้านอาหาร ย่างทาซอสกันสดๆ ให้เห็น หอมคลุ้งไปทั้งตลาดเรียกเสียงร้องจากท้องเราได้เป็นอย่างดี ใครยังไม่หนำใจจากขาปูก็มาหากินต่อที่นี่ได้ วางไว้เป็นถาดๆ ตามราคาให้เราเลือกแล้วให้เขาย่างกินได้เลย ปลาหมึกจิ๋วเสียบไม้อันนี้ก็อร่อยเห็นบ่อยๆ ไม่เคยซื้อกิน ทริปนี้ทริปกินฤกษ์ดีเปิดประสบการณ์บอกเลยว่า เด้ง กรึบ มีครั้งที่ 2 3 4 แน่นอน

พุงจะแตกแล้วก็ยังกินไม่ครบเลย ตั้งแต่กินมายังไม่ถึงครึ่งเลยมั้ง แต่ถ้าใครเบื่ออาหารญี่ปุ่นแท้ๆ ก็ลองมากินอาหารญี่ปุ่นแบบฟิวชั่นกันบ้างกับร้าน Onigiri Burger ร้านข้าวปั้น ห่อสาหร่ายหน้าต่างๆ ที่เสิร์ฟในรูปแบบของเบอร์เกอร์ น่าสนใจใช่มั้ยละ? ไส้ที่ต้องสั่งคือ KOBE BEEF BURGER (1,200 เยน) เพราะเป็นสเปเชียลของทางร้าน เนื้อหอมๆ นุ่มๆ กินกับข้าวห่อสาหร่ายร้อนๆ คือฟิน และเมนูเบสิกอื่นๆ ก็เริ่มต้นที่ 300 เยนเอง ไส้ทะลักล้นออกมาจนอ้าปากกว้างสุดก็ยังไม่ได้เสี้ยวของทั้งชิ้นเลย

โอเด้งร้อนๆ มั้ยจ๊ะ?? นี่เป็นอีกหนึ่งอาหารรองท้องที่เราชื่นชอบมาก เข้าร้านสะกวดซื้อทีไรเป็นต้องแวะตักทุกที แต่ก็ยังไม่เจอร้านไหนซุปโดนใจสักครั้งคงเป็นเพราะเขาใช้เครื่องปรุงสำเร็จรูปมั้ง จนมาเจอร้านนี้ Ishibashi Shokuhin โอเด้งแบบเรียลเจแปนเนส ที่เปิดมานานกว่า 42 ปีแล้ว ด้วยรสชาติของน้ำซุปหวานๆ หอมๆ ที่ซึมเข้าเครื่องต่างๆ มัสตาร์ดที่เราชอบปาดเพื่อเพิ่มรสชาตินี่แทบไม่จำเป็นเลยทีเดียว โดยเฉพาะเอ็นวัวตุ๋นที่เคี่ยวจนนุ่มเคี้ยวง่ายไม่มีเหนียว ตัดกับหัวไชเทาหวานๆ ที่กัดแล้วมีน้ำซุปแสนกลมกล่อมไหลออกมาโดนลิ้นทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบไปหมด ชิมไปชิมมาก็สั่งจนเกือบครบทั้งหม้อ ท้องกางกันไปเลยจ้า

กินคาวมากันจนปากแทบจะเป็นกลิ่นทะเลและวากิว เรามาล้างปากด้วยของหวานแสนเบสิกที่มีแทบทุกตลาดกัน นั่นก็คือผลไม้สดเสียบไม้ สตรอว์เบอร์รี่เคลือบน้ำตาล โมจิไส้สตรอว์เบอร์รี หรือถ้ามาสายเฮลตี้ก็มีโดนัทที่ทำจากน้ำเต้าหู้ จิบกับเต้าหู้สดขายเป็นขวดก็คิดว่าไม่อ้วนหรอก อิ่มมากแล้วจะเป็นน้ำผลไม้ปั่นเบาๆ แทนก็มีขายนะฮะ

Kyoto

001 Kinkakuji Temple

เกียวโตเมืองแห่งวัดเก่า อารายธรรม ประวัติศาสตร์ เมืองที่มีชีวิตแบบย้อนยุคด้วยบรรยากาศแสนสงบและความออริจินัล ที่แรกที่เราแวะคือ Kinkakuji คนไทยจะเรียกว่าวัดทองเพราะตัววัดเป็นอาคารสีทองเหลืองอร่ามสะกดตา ตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำ ทำให้เราได้ภาพปราสาททองสะท้อนน้ำมาอย่างที่เห็น สะกดทั้งเราและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ไม่อยากเดินไปไหน วัดทองนี้สวยจนได้จดทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก สมัยก่อนที่นี่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักของท่านโชกุนอาชิกากะ โยชิมิสุ และรับรองแขกบ้านแขกเมืองระดับสำคัญๆ หลังจากท่านเสียชีวิตก็ได้กลายมาเป็นวัดนิกายเซน อย่างเช่นทุกวันนี้นั่นเอง

ทุกครั้งที่เราได้มาเราจะมีจุดมุ่งหมายในดวงใจอยู่เสมอนั่นก็คือไอศครีมชาเขียว ซึ่งขายอยู่ตรงทางออกวัด ไม่ว่าอากาศจะหนาว จะร้อน ขนาดไหนก็ต้องกินให้ได้ เพราะหลังจากเดินวนถ่ายรูปเมื่อยๆ มันก็ต้องหาอะไรมาเติมพลังงานที่เสียไปกันบ้าง

002 Arashiyama

อาราชิยาม่า อีกย่านแสนป๊อปของเกียวโตที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายมาก เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและชาวญี่ปุ่นเอง สถานที่ที่เขานิยมชมชอบกันเห็นจะเป็นป่าไผ่เทนริวจิที่อยู่หลังวัดเทนริวจิ เป็นป่าไผ่ต้นโตที่สูงมากเงยหน้ามองบ้างต้นยังไม่เห็นยอด  อย่าได้เอามาเทียบกับป่าไผ่ที่ไทยเลยนะสวยเหมือนกันแต่ขนาดต่างกันเยอะ และถ้าใครมาแถวนี้แล้วอยากหาที่เที่ยวอีกสักที่ลองไป ซากาโน่ ที่อยู่ของสะพาน Togetsukyo เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของอาราชิยาม่าอีกที่ เพราะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำสายใหญ่ของเมือง ถ้าใครขี้เกียจเดินก็เช่าจักรยานปั่นกันได้ชิวไปอีกแบบ นอกจากสถานที่สวย บรรยากาศชิวแล้ว บอกเลยว่าของกินก็แน่นสุดอะไรสุดจริง

% ARABICA Kyoto Arashiyama ร้านกาแฟอาราบิก้าคั่วอ่อน รสชาติดี เหมาะกับคนชอบกินกาแฟรสละมุน จะเป็นกาแฟดำลื่นคอก็ไม่เข้มจนเกินไป หรือจะเป็นลาเต้กาแฟใส่นมหอมๆ ที่ได้รสชาติกลมกล่อมก็ดีไม่แพ้กัน ด้วยราคา 330 – 500 เยน กับโลเคชั่นที่โดดเด่นสุดในย่าน ตรงหน้าของภูเขาอาราชิยาม่า ได้จิบกาแฟไปด้วยนั่งชมวิวแม่น้ำ Hozu-gawac ลมเย็นๆ ชิวๆ ไปด้วย นั่งนานจนรากแทบงอกอะแกมันเพลิน มีความสุขมาก ถ้าใครติดใจกาแฟร้านเขา เขามีขายกาแฟคั่วสดด้วยนะ เราเอากลับมาบดดริปกินเองที่บ้านได้

บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเกียวโตนี้มีชื่อเสียงเรื่องอาหารที่ทำจากเต้าหู้อยู่ด้วย เพราะฉะนั้นการได้ลิ้มลองซอฟต์ครีมเต้าหู้ก็เป็นตัวเลือกที่ดี โดยร้าน Kyouzuan (京豆庵) เป็นร้านโด่งดังเรื่องการประกอบอาหารจากเต้าหู้อยู่แล้ว และสโลแกนติดหูที่ฟังแล้วต้องเอียงคอสงสัยจนอยากทดสอบก็คือ “ซอฟต์ครีมเต้าหู้คว่ำเท่าไหร่ก็ไม่ร่วง !” นี่เป็นพ่อของเดรี่ควีนหรือเปล่า? ไม่รอช้าเดินพุงยื่นไปสั่งเลยดีกว่า หันไปหันมาเห็นคนสั่งแบบมีสีดำด้วยเลยชี้เอาตามเขา ปรากฎว่าเมนูที่ได้คือ เมนูเต้าหู้ดำ ก่อนเสิร์ฟมีคว่ำให้เราดูก่อนด้วยจ้า ขิงมากก คำแรกที่ได้กัดเข้าไปคือกลิ่นเต้าหู้ที่ชัดเจน แต่ไม่เหม็นนะมันเป็นกลิ่นหอมกำลังดี อาจจะรู้สึกแปลกเพราะชินกับกลิ่นวนิลลามาตลอด พอกินไปเรื่อยๆ เอ้อ.. เริ่มชิน เริ่มอร่อย แป๊ปก็กินจนหมดชิ้นหมดโคนไปเลยจ้า

003 Fushimi Inari Shrine

เสาแดงสุดฮอตที่ใครมาเกียวโตแล้วไม่มาถ่ายรูปถือว่ามาไม่ถึง ศาลเจ้าเทพอินาริ ที่มีรูปปั้นจิ้งจอกอยู่มุมต่างๆ ของวัด จนเรียกอีกชื่อว่าศาลเจ้าจิ้งจอก และมีเสาแดง ( ประตูโทริอิ ) ที่สร้างขึ้นจากการบริจาคราคามีตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้าน ตามขนาด เรียงรายยาวเป็นร้อยเป็นพันต้นตามทางเดินของเขาอินาริ จนกลายเป็นชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ศาลเจ้าแดง ที่นี่ถือเป็นศาลเจ้าแบบชินโต โดยชาวบ้านเชื่อกันว่าภูเขาอินารินี้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธ์มีเทพอินาริเป็นตัวแทนของความสมบูรณ์ ให้มีการเพาะปลูกที่ได้ผลดีและมักจะมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะชอบเดินขึ้นเขาไปถึง แยกโยซึซึจิ เพื่อชมวิวเมืองงามๆ พร้อมฟอกปอดให้สดชื่น

นอกจากเสาโทริอิที่เราบอกไปแล้ว ข้างหน้าศาลเจ้ายังเป็นช้อปปิ้งสตรีทย่อมๆ ที่เต็มไปด้วยของกินด้วยอะแก.. แค่เดินยังไม่เข้าประตูก็ใช้จมูกนำทางไม่ต้องพึ่งจีพีเอสกันเลยทีเดียว เพราะกลิ่มหอมเตะจมูก ฟุ้งไปทั้งย่านขนาดนี้ ถ้าใครใจไม่แข็งพอ เตือนไว้เลยว่าน้ำตาลพุ่งแน่นอน ยิ่งถ้ามาตรงช่วงกำลังมีงานหรือเทศกาลนะของกินจะเยอะกว่านี้อีก เหมือนเดินอยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่นเลย เอาล่ะ!!! ลองมาดูตัวอย่างอาหารที่เราไปสุ่มจิ้มมาลองกันบ้าง ดูจบอาจเดินละเมอไปหาตู้เย็นเลยก็ได้นะ

เมนูแรก Meat Wrapped Rice Ball หรือเรียกแบบพื้นเมืองว่า Nikumaki Onigiri มันคือข้าวปั้นไส้ต่างๆ ที่ถูกเนื้อสไลด์บางๆ หลายๆ ชิ้นห่อหุ้ม แล้วนำไปย่างบนเตาร้อนๆ กลิ่นเนื้อย่างหอมๆ เนี่ยแหละที่ทำให้เราห้ามใจไว้ไม่ได้ ต้องเดินเข้าไปสั่งสักชิ้นโรยชีสสักหน่อย เห็นทรงกลมๆ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้รสชาติเข้มข้นมาก ข้าวแน่นปัก 600 เยน อิ่มได้เป็นมื้อเลยแก

เดินไปเดินมาเจอขาปูยักษ์เสียบไม้ Crab Stick ป้ายบอกปูยักษ์ มองดีๆ มันคือปูอัดชิ้นโตนี่หน่า ลองดูหน่อยแล้วกัน รสชาติเราถือว่ากลางๆ ไม่โดดเด่นอะไรมาก พรีเซ้นท์ก็ดูดีหน้าทานอยู่นะ ราคาอาจจะแรงนิดนึงไม้ละ 500 เยน

ฮาชิมากิ หรือ โอโคโนมิยากิแบบเสียบไม้ หน้าตาแปลกไม่เคยพบเคยเจอ ไม่คิดว่าจะมีพิซซ่าญี่ปุ่นแบบเสียบไม้อยู่ด้วย ซึ่งภายในแท่งนี้ประกอบไปด้วยผักกะหล่ำฝอย กุ้งแห้ง ทูน่า แป้งมัน คนให้เข้ากันแล้วอังให้ร้อนๆ พอเริ่มแข็งแล้วเขาก็เสียบไม้ห่อไข่ วิธีทำก็ประมาณนี้ ไม้ละ 300 เยน ถ้าเอาไส้ชีสด้วยก็ 400 เยน แท่งแค่นี้ก็อิ่มอยู่นะ กินกันแบบจุกๆ ไปเลย

Oban Yaki ขนมหวานข้างทางอันดับสองในดวงใจที่เราชอบ (อันดับหนึ่งเราให้โดรายากิ) ซึ่งหน้าตาก็ไม่ได้ต่างกับอันดับหนึ่งเท่าไหร่หรอก มันคือขนมที่ใช้แป้งรสชาติหวานหนาๆ สอดไส้ถั่วแเดง หรือ ครีมคัสตาร์ด แบบแน่นๆ เสิร์ฟร้อนให้รู้สึกอุ่นมือเวลาที่ได้เดินกินในอากาศหนาวๆ มันก็จะฟินหน่อย แต่กิมมิกที่น่ารักจนเราต้องเลี้ยวเข้าไปซื้อ คือข้างหน้าขนมเป็นรูปจิ้งจอกด้วยอะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะสองร้อยเยนนิดๆ นะ ซื้อ!!!

คาวหวานสลับกันไปทำเหมือนแยกกระเพาะได้สองฝั่ง เมนูที่ไม่อยากให้พลาดคือ เนื้อเสียบไม้สลับกับต้นหอม ฟีลอิซากายะ มันเป็นกับแกล้มชั้นดี และยังเป็นของทานเล่นที่ง่ายและอร่อยมากอีกอย่างนึงด้วย เดินเพลินๆ ก็มองผ่านนะ แวะซื้อชิมสักไม้แล้วเธอจะติดใจ

ปิดท้ายถนนเส้นนี้ด้วย Yaki Dango แป้งดังโงะเสียบไม้ย่างด้วยเตาถ่านแบบโบราณ วิธีย่างเขาไม่วางนอนบนเตากันนะเพราะแป้งมันเหนียว เขาจะเสียบๆ ไว้รอบเตาที่มีไฟอ่อนอยู่ตลอดเวลา สอยมาไม้ละ 300 เยน ติดใจมากเวลาได้กินแป้งหนึบๆ ถึงมันแทบไม่มีชาติอะไร แต่ถ้าได้ซอสหวานๆ มาช่วยก็ทำให้ไม้นี่ลงไปอยู่ในท้องได้ในเวลาไม่ถึงสามนาที

004 ganko sanjo honten – downtown kyoto

ร้านซูชิชื่อดังใจกลางโตเกียวที่เหล่านักท่องเที่ยวต้องยัดเข้าไปในแพลนเพื่อลิ้มลองสักครั้ง เวลาเราเข้าไปก็จะเจอแต่ชาวต่างชาตินี่แหละ ภายในมีการตกแต่งที่สวยงามแบบญี่ปุ่น โทนอบอุ่น สีไม้ๆ มีเค้าเคาน์เตอร์ซูชิให้เห็นว่าทำให้กินกันสดๆ นอกจากจะเด่นคุณภาพความสดของอาหารแล้วเรื่องราคาที่คุ้มค่าไม่เป็นสองรองใครด้วย เช่นชุดซูชิเซตสำหรับ 1 คน ราคาจะราวๆ 2500 เยน ราคาแล้วแต่ขนาด ด้วยเมนูที่มีทั้งภาษาอังกฤษและรูปภาพทำให้สะดวกกับพวกเราเป็นอย่างยิ่ง สำหรับเพื่อนคนไหนเป็นมุสลิม เขามีเมนูอาหารฮาลาลให้ด้วยเด้อ

ด้วยความหลากหลายของอาหารที่เขามีอยู่ ทำให้เราตาลายและดันอยากกินเทมปุระมากกว่า เพราะตั้งแต่มายังไม่ได้กินเลย.. เราจึงได้ชุดเท็มปุระกุ้งตัวโต กับปลาย่างเกลือที่เค็มกำลังดีไม่กลบรสชาติของปลา เสิร์ฟพร้อมไข่หวาน และซุปเต้าหู้ทะเลที่หน้าตาดูใสๆ แต่รสชาตินุ่มลึก สมแล้วที่เป็นร้านอาหารร้านดังแห่งคันไซ

Kobe

001 Kobe Port Tower

โกเบเมืองท่าขนส่งที่เลื่องชื่อมาช้านาน ด้วยที่ตั้งริมทะเลกว้างใหญ่ที่คนมักใช้ในการนำเข้านำออกสินค้าทำให้ที่ตรงนี้กลายเป็นจุดการค้าและอุตสาหากรรมที่สำคัญเมืองหนึ่งของญี่ปุ่น และเมื่อความเจริญมา ความหลากหลายทางวัฒนธรรมจากทั่วโลกก็มารวมอยู่ที่นี่ด้วย สังเกตได้ตั้งแต่ความแตกต่างทางสถาปัตยกรรม มีทั้งแบบยุโรป ญี่ปุ่นโบราณ ตึกแลนมาร์คดีไซน์สวยสมัยใหม่ แต่ถ้ามาแบบเวลาน้อยใช้สอยประหยัดที่แรกที่ต้องตรงดิ่งมาเลยคือ Kobe Port Tower สัญลักษณ์ของเมืองโกเบ อาคารชมวิวที่แดงสดสูง 108 เมตร ตั้งตระหง่านเคียงข้างกับสถาปัตยกรรมแบบเกลียวรูปทรงคล้ายกลองยาวญี่ปุ่น และยังเป็นอาคารแรกของโลกที่มีรูปทรงแบบท่อด้วยนะจ๊ะ

002 Nankinmachi

แม้เราจะเห็นร้านอาหารจีนเยอะแยะมากมายในประเทศนี้ แต่เราก็ยังไม่เคยเห็นย่านคนจีนเลยจนมาเจอที่นี่ ย่านนานกิงมาชิ ด้วยความตุ้งแช่สีแดงจัดจ้านทำให้เราคิดถึงตรุษจีนขึ้นมาแบบเสียมิได้ ย่านนี้ก่อตั้งมากว่าร้อยปีแล้วนะ ตั้งแต่ปี 1868 ถือเป็นไชน่าทาวน์แห่งภูมิภาคคันไซเลยก็ว่าได้ ที่ชื่อนานกิงเป็นเพราะสมัยที่จีนและญี่ปุ่นติดต่อค้าขายกัน นานกิง ยังเป็นเมืองหลวงของประเทศจีนอยู่ ก็เลยหยิบมาตั้งชื่อย่านนี้ซะเลย

ตลอดทั้งเส้นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นธีมจีน โคมจีนทั้งสิ้น ทั้งเครื่องใช้ ของฝาก เอาจริงๆ เราก็หาได้ที่เยาวราชแหละ แต่สิ่งที่หาไม่ได้แน่นอนคือ อาหาร!!! แม้จะประเภทเดียวกัน แต่รูปลักษณ์ที่มีความผสมระหว่างจีน-ญี่ปุ่น มันไม่เหมือนใครจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นบะจ่าง ซาลาเปาลายน่ารักๆ เปาบันไส้แน่นๆ เป็ดปักกิ่งแบบเดินกินได้ ขนมจีบลูกโตไร้แป้งที่ต้องกินสามคำกว่าจะหมดลูก ใครตั้งใจหิ้วท้องมาหาของกินย่านนี้รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน

เห็นคนต่อแถวเราก็มาต่อแถวตามที่ Roshoki ร้านซาลาเปาที่กำลังเป็นกระแสของคนญี่ปุ่น ด้วยหน้าร้านที่เหมือนร้านอาหารจีนเก่าแก่ เปิดตั้งแต่ปี 1915 ที่ริเริ่มทำบูตะมันจู หรือ ซาลาเปาไส้หมูเป็นเจ้าแรกๆ ดังขนาดว่าใน 1 วัน เขาสามารถผลิตเปาได้ถึง 13,000 ลูกต่อวัน ขายหมดทุกวันก่อนเวลาปิดอีกต่างหาก เด็ดแค่ไหนถามใจดู ทุกคนที่มากินต้องสั่งอย่างน้อยสามลูกนะจ๊ะ ถามว่าอร่อยมั้ย ตอบได้เลยว่ามากกกกก แม้ชิ้นจะไม่ใหญ่ แต่เนื้อข้างในคือแน่น แป้งบางพอกินแล้วทุกอย่างกำลังพอดี ไม่ทำให้หนืดคอ แต่กลับชุ่มคอไปด้วยไส้ที่ปรุงรสสูตรพิเศษ มีเครื่องเทศและหมูติดมันเล็กน้อย สามลูกนี่กินคนเดียวหมด ลูกละ 90 เยนเท่านั้นเอง

ใครเดินผ่านไปแล้วเจอมันบดชุบแป้งทอดอยากให้เดินเข้าไปซื้อมาชิมสักชิ้นเหมือนกันนะ 1 ชิ้นอยู่ที่ 194 เยน อยากรู้เหลือเกินว่าที่นี่เขาทอดยังไงให้แป้งไม่อมน้ำมัน แป้งบางกรอบกำลังดี ไม่แข็งทิ่มปากด้วย ใครรู้ช่วยบอกเราที อร่อยยยยยอ่ะ

จบทุกเส้นทางการกินด้วยของหวาน สำหรับเส้นนี้เราเลือก Fruit Candy สตรอว์เบอร์รีเคลือบน้ำตาลสีแดงสดใส รสชาติหวานๆ เปรี้ยวๆ ชื่นใจ หนึ่งไม้เธอได้สามลูกโตๆ จุกๆ ราคา 300-500 เยน มีหลายขนาดให้เลือกเด้อ

003 Steak Land Kobe

อุ๊ยๆๆๆๆ.. ร้านเนื้อมาอีกแล้ว ทริปนี้กินไปหมดฟาร์มแล้วมั้ง แต่โกเบเขาเป็นเมืองแห่งเนื้อจริงๆ ดีจนมีร้านมากมายใช้คำว่า Kobe beef มาการันตีคุณภาพกันทั่วโลก ซึ่งก็เรียกแขกเข้าร้านได้มากโขอยู่ เพราะฉะนั้นถ้ามาแล้วไม่กินก็คงจะเสียเที่ยวแย่ รอบนี้ขอเป็นร้าน Strak Land ร้านในตึกธรรมดาๆ นี่แหละคือที่สุดของเนื้อ เสิร์ฟได้ทั้งแบบเป็นชุด และ a la cart ซึ่งปกติที่ญี่ปุ่นมื้ออาหารกลางวันราคาจะถูกกว่ามื้อเย็น แต่คุณภาพพอๆ กันนะจ๊ะ ใครเซฟคอร์สหน่อยก็มาลองตอนกลางวันได้ ส่วนใครกินเนื้อวัวไม่ได้ เขาก็มีอาหารทะเลให้เลือกทาน พอเราสั่งอาหารปุ๊ปก็จะมีเชฟหน้าตาละมุนตี๋สไตล์มายืนทำให้เราที่โต๊ะเลย ผัดให้ดูตั้งแต่เนื้อยันผัก อยากได้แบบมีเดียมแรร์ หรือเวลดัน ก็บอกกันได้ เนื้อโกเบเขาจะหันเป็นชิ้นลูกเต๋า ผัดให้พอสุกข้างในยังเป็นสีแดงอยู่นิดหน่อย เคียงด้วยผัดผัก และกระเทียมทอด จานนี้คือดีมากเพราะเนื้อนุ่ม ทำให้เราลิ้มรสน้ำจากเนื้อแบบฟินๆ กินเนื้อแล้วเริ่มเมากลิ่นก็หันไปกัดกระเทียมทอดแกล้มผัก พอกินเนื้ออีกทีหายเลี่ยนเหมือนเพิ่งเริ่มกินอะแกเอาไป 10 10 10!!! เซตนี้เสิร์ฟพร้อมซุป ข้าว และชา สิริรวม 3,180 เยน กินได้ 2-3 คนเลยเด้อ

เอ้า!!!!! เช็ดน้ำลายกันก่อน รู้นะว่าอ่านจนหิวแล้วอะ.. ถ้าใครไม่อยากรอไปกินที่ญี่ปุ่น อยากกินตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่ได้กินจะลงไปดิ้นกับพื้น ก็อย่ารอช้าจ่ะ รีบหยิบมือถือขึ้นมา ไปที่ GrabFood แล้วเลือกร้านเลยว่าอยากกินร้านไหนบ้าง เลือกสั่งหลายๆ ร้านไปเลย เพราะช่วงนี้ดีลอาหารญี่ปุ่นแรงมาก สั่งได้ถึง 7 เมย. นี้เท่านั้นเด้อ สั่งรัวๆ เอาให้เหมือนรวมคันไซไว้ที่โต๊ะเดียว เผลอๆ อาจจะได้บินไปญี่ปุ่นกับ GrabFood เหมือนเราด้วยน้าา เพราะกิจกรรมดีๆ แบบนี้เขาไม่จัดทีเดียวหรอก ต้องมีอีกแน่นอน สั่งมารัวๆ ที่นี่เลย > https://grb.to/2NyGv01