เช้าวันแรกที่ลิสบอนเราใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที จากโฮสเทลไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดนั่นก็คือ สถานนี Avenida หลังจากซื้อบัตร one day pass เรียบร้อย เรานั่งใต้ดิน 4 ป้ายเพื่อไปยังสถานี Santa Apolónia ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ใกล้แลนมาร์คหลักที่เราจะไปครั้งนี้ที่สุดนั่นก็คือ National Pantheon
หลังจากเดินชมวิวแบบ 360 องศา เรากวาดสายตาไปเจอผู้คนกำลังเดินจับจ่ายซื้อของกันอย่างหนาแน่น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเราเที่ยวลิสบอนตรงกับวันที่มีตลาด Feira da Ladra ในย่านเมืองเก่าแบบพอดี๊พอดี พอดื่มด่ำกับวิวสวยสวยรับลมเย็นเย็นจนอื่มเราก็มุ่งหน้าตรงดิ่งไปเดินเล่นที่ตลาดนัดทันที
Feira da Ladra เป็นตลาดนัดที่รวบรวมของมือสองไม่ว่าจะเป็นเหรียญจักรพรรดิ โบราณวัตถุ หนังสือ แผ่นเสียง กล้องถ่ายรูป รวมถึงของประดับต่างต่าง แต่ถึงแม้ที่นี่จะได้ชื่อว่าเป็นตลาดนัดมือสองแต่นางก็ใช่ว่าจะไม่มีของมือหนึ่งขายนะ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ใหม่ใหม่แบบมือหนึ่ง รวมถึงร้านอาหารก็ยังสามาระหาได้ในตลาดแห่งนี้นะแกร๊ อารมณ์ตลาดจะคล้าย JJ Green บ้านเรา แต่เป็นเวอชั่น JJ Green ติดแอร์ เพราะเย็นสบายเดินชิวชิวได้เรื่อยเรื่อย
Church of São Vicente of Fora
พวกเราเดินเที่ยวตลาดเสร็จผู้บ่าวขาเลาะแบบเราก็เดินลัดเลาะชมเมืองตามทางไปเรื่อยเรื่อยจนมาถึงโบสถ์ Church of São Vicente of Fora ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่อีกแห่งของเมืองลิสบอน ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่โดยสถาปนิกชาวอิตาลี Felipe Terzi ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16
จากโบสถ์ Church of São Vicente of Fora ผู้บ่าวขาเลาะแบบเราเลือกนั่งรถแทรมสาย สาย 28E ซึ่งเป็นสายที่โด่งดังและเป็นเอกลักษณ์สำคัญของเมืองลิสบอน เพื่อมุ่งหน้าไปกันที่ Miradouro da Graça ที่นี่ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่สุดแสนโรแมนติก มองออกไปจะเห็นทิวทัศน์ของเมืองลิสบอนแบบพาโรนามาไปพร้อมพร้อมกับปราสาทและแม่น้ำ นอกจากวิวที่สวยงามแล้ว ด้านบนยังมีร้านคาเฟ่ที่บรรดาวัยรุ่นนิยมขึ้นมานั่งจิบชิวมองพระอาทิตย์ตกดิ
เราหอบความผิดหวังมายังจุดชมวิวที่สวยงามอีกหนึ่งจุดของเมืองลิสบอน Miradouro das Portas do Sol สิ่งที่บ่งบอกว่าเรามาถึงจุดชมวิวแห่งนี้แล้วก็คือรูปปปั้นนของเซนต์วินเซนต์ (นักบุญอุปถัมภ์ของเมือง) ที่ยืนถือเรือไว้ที่มือด้านซ้าย
หลังคาสีส้มแดงของอาคารบ้านเรือนที่ถูกเติมเต็มด้วยความอลังการของโบสถ์ São Vicente de Fora ที่มีฉากหลังเป็นสีฟ้าของแม่น้ำมันดูลงตัวและควรค่าแก่การใช้เวลา 20 นาทียืนนิ่งนิ่งโง่โง่ซึมซัมความสวยงามของจุดชมวิวแห่งนี้ที่สุด
ขอการันตรีความพีคของจุดชมวิว Miradouro das Portas do Sol แห่งนี้ ด้วยบรรดาตากล้องรุ่นเดอะที่ยืนเรียงหน้ากระดานบันทึกภาพกันอย่างตั้งใจ
เรานั่งแทรมชมวิวเมืองเรื่อยเรื่อยจนมาถึงใจกลางเหมืองลิสบอน ที่นี่คือศูนย์รวมของทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร รวมถึงร้านขายเสื้อผ้าแบรนด์เนมต่างต่าง และด้วยความที่เป็นใจกลางเมืองที่นี่จึงแออัดไปด้วยคนท้องถิ่นรวมถึงนักท่องแท่วจากทั่วทุกมุมโลกที่เดินทางมายังเมืองลิสบอนแห่งนี้ เราใช้เวลานิดหน่อยในการเดินสำรวจใจกลางเมืองแห่งนี้ จากนั้นค่อยค่อยเดินลัดเลาะตามถนนมุ่งหน้าไปยัง Arco da Rua Augusta
NATA LISBOA
ซึ่งระหว่างทางเราก็พับกบ เอ๊ย พบกับร้านขายทาร์ตไข่ชื่อดังอยู่เจ้าหนึ่ง NATA LISBOA ซึ่งภายหลังเราพบว่าร้านนี้เป็นร้านที่มีแฟรนไชส์ขายอยู่หลายแห่งทั่วทั้งโปรตุเกส ซึ่งแน่นอนสำหรับร้านแฟรนไชส์เยอะเบอร์นี้ขนมหวาน เครื่องดื่ม ของร้านนางต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ถือโอกาสพักจากการเดินเต็ดเตร่มาหลายชั่วยามที่ร้าน NATA LISBOA แห่งนี้ โดยการสั่งสั่งทาร์ตไข่มาทานกรุปกริปคนล่ะชิ้น ดื่มน้ำเย็นเย็น นั่งให้หายเหนื่อย เราถึงค่อยออกเดินกันต่อ
Arco da Rua Augusta
จากร้าน NATA LISBOA เดินไปถ่ายรูปไปเรื่อยเรื่อยไม่ถึง 15 นาทีเราก็มาถึงอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองลิสบอนอย่าง Arco da Rua Augusta ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับประตูชัยเลยแกร จุดนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์การฟื้นฟูเมืองลิสบอนหลังจากเกิดแผ่นดินไหวเมื่อปี พ.ศ. 1755 ที่นี่ถือเป็นอาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งอีกแห่งของลิสบอนเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่สถานที่แห่งนี้อยู่ติดริมแม่น้ำมันจึงเหมาะมากสำหรับการมาชมทิวทัศน์ของเมืองและท่าเรือ
จากลานด้านหน้าของ Arco da Rua Augusta พวกเรานั่งแทรมเบอร์ 15E มุ่งหน้าไปยังย่าน Belém ซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองลิสบอนไปทางตะวันตกราวราว 30 นาที ย่าน
ตลอดสองข้างทางที่รถแทรมเบอร์ 15E วิ่งผ่าน เราจะพบกับตึกรางบ้านช่อง ร้านค้า โบสถ์ การใช้ชีวิต รวมถึงสถาที่สำคัญต่างต่างที่ดูแปลกตาและดีต่อใจมาก
Belém Tower
หลังจากลงจากรถแทรมที่สถานี Algés เราก็เรื่อยเรื่อยเปื่อยเปื่อยจนในที่สุดก็เดินมาถึง Belém Tower หนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติที่ได้รับการการรันตีด้วย UNESCO ในปี พ.ศ. 2526
Padrão dos Descobrimentos
เก็บภาพเรียบร้อยเราก็เดินลัดเลาะตามแม่น้ำมาเรื่อยเรื่อยจนกระทั่งมองเห็นอนุสาวรีย์ Padrão dos Descobrimentos จากมุมไกลไกล ย่ิงเดินเข้าใกล้ก็ยิ่งเห็นความสูงใหญ่ ซึ่งใหญ่จริงจังเพราะสูงถึง 52 เมตรเลยแกร แต่ภายใต้ความอลังการของอนุสาวรีย์แห่งนี้นางยังซ่อนความวิจิตรด้วยงานแกะสลักสวยงามที่ละเอียดอีกด้วย
Padrão dos Descobrimentos เป็นอนุสาวรีย์ที่โดดเด่นขนาดใหญ่โดดเด่นตั้งตระหง่านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Tagus ในลิสบอน สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับความทุ่มเทของนักผจญภัยที่นักเดินเรือที่ช่วยกันออกสำรวจกันจนทำให้โปรตุเกสให้เป็นมหาอำนาจในศตวรรษที่ 14
จาก Padrão dos Descobrimentos เราสามารถมองเห็นสะพานแขวน Ponte 25 de Abril ซึ่งเป็นหนึ่งแลนมาร์คที่สำคัญและโดดเด่นที่สุดของลิสบอนอีกอันนึง โดยสะพานนี้ถูกสร้างในช่วงที่แค่น้ำ Tagus มีความแคบประมาณ 2.3 กิโลเมตร ถือว่าแคบน้อยที่สุด หน้าตาสะพานถ้าดูเผินเผินจะมีลักษณะคล้ายกับ Golden Gate ในซานฟรานซิสโกเลยแกร๊
เรามีโอกาสได้ทดลองนั่งบัสกลับมายังใจกลางเมือง ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีเอง หลังจากนั้นเราก็เดินขึ้นไปจุดชมวิวอีกจุดหนึ่งเพื่อที่จะไปรอดูพระอาทิตย์ตก ณ จุดนี้หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเมืองนี้จุดชมวิวเยอะจัง คืองี้แกร!! ตามที่บอกตั้งแต่แรกว่าลิสบอนเป็นเมืองที่อยู่บนภูเขาจุดไหนที่เค้าเห็นว่าวิวสวยเค้าก็โปรโมทให้เป็นแลนมาร์คที่ต้องห้ามพลาด แต่สำหรับเราวิวแต่ล่ะจุดก็ไม่ได้ต่างกันมาก สวยงามเหมือนกันจะต่างกันนิดหน่อยแค่มุมที่ขึ้นไปยืนต่างกัน เมาท์ไปหล่ะว่าทำไมจุดชมวิวเยอะเรากลับมาต่อที่จุดชมวิว Miradouro de São Pedro de Alcântara ที่เราจะเดินขึ้นไปเก็บภาพสำหรับปิดทริปวันนี้
หลังจากโยนกระเป๋าเก็บเข้าห้องพักเรียบร้อยพวกเราก็ออกมาเดินมื้อบ่ายทานกัน เดินไปเดินมาก็มาจบที่เบอเบอร์ที่เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งคนล่ะหนึ่งเซท กินจนอิ่มพุงกลางถึงค่อยเริ่มเดินออกสำรวจเมือง Proto
สำหรับการเที่ยวในเมือง Porto เราแนะนำให้เดินดีกว่า เพราะตัวเมืองเองไม่ได้ใหญ่มากเหมือนลิสบิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ดูแผนที่กันด้วยอย่าสักแต่เดินเพราะถ้าหลงคือเหนื่อย เพราะ Porto เป็นเมืองบนเนินเขาเช่นกัน เดินขึ้นเดินลงทำเอาเหนื่อยใช้ได้เลย
Porto เป็นอีกเมืองในยุโรปที่ตอกย้ำว่าคนที่ชอบถ่ายแนวสตรีทควรมา เพราะแค่ในย่านเมืองเก่าเรากดชัดเตอร์รัวรัวแบบนับครั้งไม่ถ้วนเลยแกร๊
เราลัดเลาะริมน้ำตามสไตล์ผู้บ่าวขาเลาะจนมาถึง Dom Luis I Bridge ซึ่งบริเวณนี้จะคึกคึกคักคักเป็นพิเศษ บ้านเรือนสีน่ารัก ร้านค้า คาเฟ่ ผู้คน รวมถึงคนเปิดหมวกเล่นดนตรี มันมีความเพลินเจริญหูเจริญตาที่ซู๊ดดดดด
Dom Luis I Bridge สะพานเป็นสะพานโค้งโลหะสองชั้นที่ทอดยาวพาดผ่านแม่น้ำ Douro เพื่อเชื่อมต่อระหว่างเมือง Porto และ Vila Nova de Gaia
หลังจากกินลมชมวิวฝั่ง Porto เรียบร้อยเราก็เดินข้ามสะพาน Dom Luis I Bridge เพื่อไปเที่ยวต่อยังฝั่ง Vila Nova de Gaia กันบ้าง ซึ่งบรรยากาศฝั่ง Vila Nova de Gaia ก็ชิวไม่ได้ต่างจาก Porto เลย ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม มีให้เลือกเยอะแยะมากมาย
นั่งชิวเมาท์มอยหอยสังข์กันจนถึง 2 ทุ่มฟ่าฟ่า เช็ดบินเดินไปซื้อตั๋ว Cable car ในราคา 6 ยูโร เพื่อนั่งชมวิวขึ้นไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตกดินบนสะพราน Dom Luis I Bridge
แสงสีทองของพระอาทิตย์ที่สาดส่องลงบนหลังคาสีแดงของบ้านเรือนริมสองข้างแม่น้ำ Douro มันช่างเป็นภาพที่สวยงาม ณ จุดนั้นบน Cable car เรากัดถ่ายภาพแบบรัวรัวเลยจร้า
เที่ยงวันสุดท้าย ใช่เราเขียนว่าเที่ยงแกรไม่ได้เขียนผิด จากความเหนื่อยสะสมบวกกับคนแบบเราและรุ่นพี่มาออกทริปด้วยกัน ความที่เป็นคนตื่นสายก็ทำพาเรามาถึงจุดนี้วันที่ทำสถิติการตื่นนอนที่สายที่สุดตลอดทั้งทริปนี้ หลังจากทานข้าวเรียบร้อยเราก็เดินตรงดิ่งไปที่จุดชมวิวสุดพีคของเมือง Porto นั่นก็คือ Mosteiro da Serra do Pilar
ถ้าวิวบนสะพาน Dom Luis I Bridge เมื่อวานคือดีงามระดับพรีเมี่ยม Mosteiro da Serra do Pilar ก็คงเป็นวิวที่ดีงามแบบขั้นกว่าาของคำว่าพรีเมี่ยม เพราะนอกจากแม่น้ำ Douro ที่ขนาบข้างด้วยหลังคาสีแดงของบ้านแล้ว เรายังสามารถมแงเห็นสะพาน Dom Luis I Bridge ได้อย่างเต็มตา ซึ่งพอมีรถไฟวิ่งผ่านมันช่างเป็นวิวที่ควรไปให้ด้วยตาตัวเองสักครั้ง
ดื่มด่ำชีวิตยามเที่ยงบนจุดชมวิวที่พีคที่สุดของเมือง Porto กันไปแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องมาศึกษาประวัติศาสตร์ด้วยการเดินเยี่ยมชมแลนมาร์คต่างต่างภายในเมืองนี้กันบ้าง
Porto Cathedral
มาเริ่มกันที่ Porto Cathedral วิหารปอร์โตเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง ที่นี่คือแลนด์มาร์คที่รวมประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งมีความสวยงามตามแบบสไตล์โรมัน
ออกจากคาเฟ่เราก็เดินกันต่อไปยัง Igreja do Carmo โบสถ์ที่มีผนังด้านข้างเป็นกระเบื้องสีฟ้า ซึ่งบนกระเบื้องเหล่านั้นถูก Silvestre Silvestri รังสรรภาพวาดอันสวยงามเอาไว้ ภาพถ่ายด้านหน้าของโบสถ์ Igreja do Carmo คู่กับรถแทรมสีน้ำตาลอ่อน จัดว่าเป็นอีกหนึ่งมุมถ่ายภาพที่ไม่ควรพลาด
จากโบสถ์ Igreja do Carmo เราก็เดินลัดเลาะตามถนนเส้นหลักของเมือง Porto มาเรื่อยเรื่อยเพื่อไปเก็บภาพอีกหนึ่งแลนด์มาร์คหลักที่มะวานก็มีโอกาสได้เหยียบ แต่ยังไม่ได้ถ่ายรูป
São Bento Train Station
สถานีรถไฟ São Bento Train Station ถ้าเป็นสถานีรถไฟธรรมดาทั่วไปเราคงไม่อยากเข้าไปถ่ายรูปหรอก แต่แกรรู้หมือไร่ São Bento Train Station คือสถานรถไฟที่สวยติดอันดับโลกเลยทีเดียวเชียวนะ ตามสไตล์เมือง Porto สถานีรถไฟถูกบอกเล่าเรื่องราวด้วยการวาดภาพบนกระเบื้องสีฟ้าที่ประดับตกแต่งอยู่ตรงผนังด้านในของตัวอาคาร สำหรับเราถือว่าสวยงามตามท้องเรื่อง