4 Days 3 Nigths in Protugal

Olá! ( โอ-ล๊า ) กล่าวทักทาสั้นสั้นด้วยภาษาโปรตุเกส

โปรตุเกสประเทศที่อยู่นอกสายตา เพราะหลายครั้งที่เราพูดถึงทริปยุโรป คำถามตามมาก็จะเป็น ไปฝรั่งเศส สวิสต์ หรืออิตาลี หรอแก?? น้อยคนมากที่จะหลุดปากพูดชื่อประเทศโปรตุเกสออกมา หรือถ้าหลุดก็จะมาเป็นประเทศลำดับท้ายท้าย แต่แกรู้มั๊ยว่าประเทศนอกสายตาที่ตั้งอยู่บนแถบตะวันตกสุดของทวีปยุโรปแห่งนี้ นางเคยประเทศมหาอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ที่แผ่ขยายไปทั่วโลกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 พีคกว่าความเป็นมหาอำนาจก็คือการเป็นต้นตำหรับเมนูของหวานสุดโปรดของเราอย่างเจ้า “ทาร์ตไข่” และเหนือความพีคทั้งปวงคือเมนูขนมหวานชื่อดังที่ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จักอย่างทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ก็ได้รับอิทธิพลมาจากโปรตุเกสด้วยนะเหวย
 
4 วัน 3 คืน กับสองเมืองหลักอย่าง Lisbon ( ลิสบอน ) และ Porto ( โปร์ตู ) จะมีความน่าสนใจเบอร์ไหนตาม จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น มาเลยจ๊ะ

“Lisbon Tram” ติดอันอับ 1 ใน 10 ของสายรถรางที่สวยที่สุดในโลก ซึ่งเจ้ารถแทรมสีเหลืองที่วิ่งผ่านตึกบนถนนที่ทั้งชันและแคบ กลางเมืองลิสบอนแห่งนี้แหล่ะ ที่เรียกแจกบ้านแขกเมืองให้มาท่องเที่ยว

ทาร์ตไข่ถึงแม้จะไม่ใช่เมนูประจำชาติโปรตุเกส แต่ก็ถือเป็นเมนูของหวานที่หาทานได้ง่ายมาก โดยเฉพาะเมืองลิสบอนที่เราการันตีเลยว่าเดินเดินอยู่มีขายอยู่ทั่วเมือง ที่ทาต์ไข่เยอะเบอร์นี้ไม่ต้องแปลกใจนะแกเพราะเมืองลิสบินแห่งนี้แหล่ะคือต้นกำเนิดเมนูสุดแซ่บเมนูนี้ คนที่นี่เค้านิยมทานกาแฟคู่กับทาร์ตไข่ ซึ่งการการหาข้อมูลมาประดับสมองอันน้อยนิดของเราพบว่าปกติคนโปรตุเกสทานกาแฟวันล่ะ 5-8 แก้วเล็ก/วัน

  • Fight

ปัจจุบันยังไม่มีสายการบินไหนที่บินตรงจาก กรุงเทพฯ ไปโปรตุเกส แนะนำควรบินตรงไปลงประเทศอื่นก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อไปเที่ยวที่โปรตุเกส ทริปนี้เดินทางด้วยสายการบิน การบินไทย ไฟล์ TG940 บินตรงจากกรุงเทพ เวลา 00:40 น. ไปถึงมิลานตามราวราว 07:35 น. และด้วยความที่เป็นการบินตรงบินยาวบินนานแบบนี้ การเลือกสายการบินจึงสำคัญมากเพราะบิน 12 ชั่วโมง เราคงไม่มานั่งหดขาหดไข่อยู่ในที่แคบแคบแน่นอน และเหตุผลที่เราเลือกบินกับการบินไทยก็เพราะว่าเครื่องลำใหญ่เว่อ แอร์เย็นฉ่ำ เบาะกว้าง นั่งไขว่ห้างกระดิกขาดูหนังฟังเพลงด้วยจอส่วนตัวแบบยาวไปยาวไปได้เล๊ย นอกเส้นทางจาก กรุงเทพฯ – มิลาน การบินไทยนางยังมีเส้นทางบินไปเมืองสำคัญสำคัญในยุโรปอีกเพียบเลย ถ้าสนใจไปดูข้อมูลต่อ คลิกที่นี่ ได้เลยจร้า

การบินไทยก็คือการบินไทย เพราะนอกจากจะบินดีแล้วเรื่องของกินนี่ไว้ใจนางได้สบายเลย ทั้งอาหารทั้งเครื่องดื่มมีให้รับประทานกันแบบจัดหนักจัดเต็มแน่นอน แถมพี่แอร์ก็ใจดีดี๊ยิ้มหวานพูดจากเพราะอีกต่างหาก ซึ่งหลังจากเราทานอาหารเรียบร้อยก็นอนกันยาวยาวจนกว่าจะบินถึงมิลาน

หลังจากตะลอนเที่ยวมิลาน โมนาโก ฝรั่งเศษตอนใต้ ยาวนานจนครบ 9 วัน ถึงเวลาแล้วที่เราจะบินข้ามไปเที่ยวโปรตุเกสกันสักที เราออกเดินทางจากเมือง Toulouse ในคืนวันที่ 9 ด้วยสายการบิน Ryanair ซึ่งเป็น Lowcost ของที่นั่น การบินข้ามสเปนไปยังเมืองลิสบอใช้เวลาบินประมาณสองชั่วโมง ซึ่งวันนี้เราก็จบลงตรงที่การโบกแท็กซี่ไปยังที่พัก แล้วก็รีบนอนพักผ่อนนอนเอาแรงสำหรับการเที่ยวในวันถัดไป สำหรับเมืองลิสบอนนั้นเราเลือกพักกันที่ Liv’in Lisbon Hostel ด้วยความที่กลัวนักท่องเที่ยวคนอื่นตกใจในเสียงกรนที่ดังราวกับสึนามิถล่มภูเก็ตของตัวเอง เราจึงเลือกนอนแบบห้องส่วนตัวแต่ยังคงคอนเซ็ปต์ความประหยัดด้วยการเลือกห้องนอนแยกที่ใช้ห้องน้ำรวม ประหยัดตัง อิอิ

Liv’in Lisbon Hostel ช่วงที่เราไปพักราคาต่อคืนอยู่ที่ 1,940 บาท ซึ่งราคานี้รวมอาหารเช้ากรุปกริป อย่างแพนเค้ก โยเกิร์ต กาแฟ น้ำส้ม ไปแล้วจร้า ถ้าอยากจะจองตามลิ้งวาร์คลิกที่นี่ ไปเลยจร้า

Day 1 : One day trip in Lisbon

วิธีการเที่ยว Lisbon เมืองหลวงของโปรตุเกสใน 1 วันง่ายสุด คือให้เดินลงสถานีรถไฟใต้ดินซื้อบัตร Pass แบบเหมาทั้งวัน ซึ่งราคาอยู่ที่ 6.65 ยูโร โดยบัตรนี้คือไอเท็มที่จะทำให้เราสามารถนั่งได้ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน รถบัส รวมทั้งรถแทรม การซื้อบัตรเหมาวันมันคุ้าค่ามากเพราะโดยปกติรถแทรมเที่ยวหนึ่งก็อยู่ที่ 2-3 ยูโรแล้วแกร๊

เช้าวันแรกที่ลิสบอนเราใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที จากโฮสเทลไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดนั่นก็คือ สถานนี Avenida หลังจากซื้อบัตร one day pass เรียบร้อย เรานั่งใต้ดิน 4 ป้ายเพื่อไปยังสถานี Santa Apolónia ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ใกล้แลนมาร์คหลักที่เราจะไปครั้งนี้ที่สุดนั่นก็คือ National Pantheon

พอขึ้นจากใต้ดินที่สถานี Santa Apolónia พวกแกรจะต้องเพลิดเพลินจำเริญใจไปกับตึกรางบ้านช่อง ร้านค้า คาเฟ่ ที่พร้อมใจกันมาในตีมสีพาสเทลสวยหวานวางเรียงตัวตลอดสองข้างในย่านเมืองเก่าแห่งนี้ บอกเลยคนชอบถ่ายรูปกดชัตเตอร์มันแน่ส่วนคนชอบโดนถ่ายก็รับประกันว่าได้ภาพสวยสวยกับฉากหลังคูลคูลกับไปอัพโซเชียลสามวันแปดวันก็ไม่หมด แต่ถ้าบอกว่าดีงามไร้ที่ติก็แลดูจะตอแหลไปนิด เพราะความพีคของที่นี่มาพร้อมกับความผีเช่นกัน ด้วยลิสบินเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขาทางเดินจึงเป็นพื้นต่างระดับเยอะมาก เวลาเดินเที่ยวก็จะรู้สึกเหนื่อยหน่อยเพราะมันเเหมือนกับว่าเรากำลังเดินขึ้นเขาตลอดเวลา

 

  • National Pantheon
เก็บภาพกันมาเรื่อยเรื่อยในที่สุดเราก็เดินมาถึง National Pantheon เป็นโบสถ์ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไตย์ฌู ( Tejo River ) ด้วยความใหญ่โตบวกกับหลังคาโดมสีขาวที่สวยงาม ที่นี่เลยกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ทำหน้าที่เป็นแพนธีออนแห่งชาติของประเทศโปรตุเกส ภายนอกว่ายิ่งใหญ่แล้วภายในขนลุกกว่าอีกแกร จ่าย 4 ยูโรแล้วเดินตามเราเข้าไปชมข้างใน National Pantheon กันเลย

ด้วยความยิ่งใหญ่ของโบสถ์แห่งนี้ ถ้าเดินชมความงามแบบตั้งใจไม่เร่งรีบเก็บภาพไปเรื่อยๆน่าจะใช้เวลาราวราว 30 นาที แต่นี่เรามีเวลาค่อนข้างจำกัดเลยทำได้แค่เก็บภาพภายแบบรีบรีบ จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปด้านบนของโบสถ์เพื่อชมวิวสวยงามของย่านเมืองเก่า Alfama และปากแม่น้ำไตย์ฌู ถ้าใครโชคดีหน่อยมาเที่ยวตรงกับวันวันเสาร์หรือวันอังคารจากด้านบนของโบสถ์จะสามารถมองเห็น Feira da Ladra ซึ่งเป็นตลาดนัดมือสองของย่านนี้

  • Feira da Ladra

หลังจากเดินชมวิวแบบ 360 องศา เรากวาดสายตาไปเจอผู้คนกำลังเดินจับจ่ายซื้อของกันอย่างหนาแน่น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเราเที่ยวลิสบอนตรงกับวันที่มีตลาด Feira da Ladra ในย่านเมืองเก่าแบบพอดี๊พอดี พอดื่มด่ำกับวิวสวยสวยรับลมเย็นเย็นจนอื่มเราก็มุ่งหน้าตรงดิ่งไปเดินเล่นที่ตลาดนัดทันที

Feira da Ladra เป็นตลาดนัดที่รวบรวมของมือสองไม่ว่าจะเป็นเหรียญจักรพรรดิ โบราณวัตถุ หนังสือ แผ่นเสียง กล้องถ่ายรูป รวมถึงของประดับต่างต่าง แต่ถึงแม้ที่นี่จะได้ชื่อว่าเป็นตลาดนัดมือสองแต่นางก็ใช่ว่าจะไม่มีของมือหนึ่งขายนะ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ใหม่ใหม่แบบมือหนึ่ง รวมถึงร้านอาหารก็ยังสามาระหาได้ในตลาดแห่งนี้นะแกร๊ อารมณ์ตลาดจะคล้าย JJ Green บ้านเรา แต่เป็นเวอชั่น JJ Green ติดแอร์ เพราะเย็นสบายเดินชิวชิวได้เรื่อยเรื่อย

  • Church of São Vicente of Fora

พวกเราเดินเที่ยวตลาดเสร็จผู้บ่าวขาเลาะแบบเราก็เดินลัดเลาะชมเมืองตามทางไปเรื่อยเรื่อยจนมาถึงโบสถ์ Church of São Vicente of Fora ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่อีกแห่งของเมืองลิสบอน ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่โดยสถาปนิกชาวอิตาลี Felipe Terzi ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16

ใครใคร่เข้าไปชมความเก่าแก่และสวยงามของโบสถ์แห่งนี้สามารถเดินดุ่มๆเข้าไปได้เลยเพราะฟรีไม่เสียตัง ฉะนั้นเราจะไม่รีรออะไรทั้งนั้นมีของฟรีที่ไหนที่นั่นต้องมีเรา เข้าไปเก็บภาพกันรัวรัวเลยจร้าาาา

  • Miradouro da Graça

จากโบสถ์ Church of São Vicente of Fora ผู้บ่าวขาเลาะแบบเราเลือกนั่งรถแทรมสาย สาย 28E ซึ่งเป็นสายที่โด่งดังและเป็นเอกลักษณ์สำคัญของเมืองลิสบอน เพื่อมุ่งหน้าไปกันที่ Miradouro da Graça ที่นี่ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่สุดแสนโรแมนติก มองออกไปจะเห็นทิวทัศน์ของเมืองลิสบอนแบบพาโรนามาไปพร้อมพร้อมกับปราสาทและแม่น้ำ นอกจากวิวที่สวยงามแล้ว ด้านบนยังมีร้านคาเฟ่ที่บรรดาวัยรุ่นนิยมขึ้นมานั่งจิบชิวมองพระอาทิตย์ตกดิ

พอชมวิวเมืองเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็กลับลงมาเดินในย่านที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร คือเอาจริงเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าย่านนี้มันมีชื่อเรียกว่าอะไร เอาเป็นว่าถ้าเดินลงจากจุดชมวิวมาก็จะเห็นเลย ระหว่างเดินหาร้านที่ถูกใจก็กดชัตเตอร์เก็บภาพไปเรื่อยเรื่อย

วนอยู่พักใหญ่ก็สะดุดตากับร้านอาหารร้านหนึ่งซึ่งคนจัดว่าแน่นกว่าร้านอื่นอื่นในย่านนี้ ซึ่งร้านที่ว่าก็คือ A Nossa Churrasqueira 2 เป็นร้านอาหารโปรตุเกสโดยแท้ทรู เมนูที่อาหารของทานร้านมีให้เลือกทานค่อนข้างหลากหลาย แต่ถ้าให้แนะนำก็จะเป็นพวกเมนูที่เค้านำมาทำเป็นเซท อาหาร 1 อย่าง เสิร์ฟพร้อมกับสลัด ขนมปัง และมะกอกดอง ขนมหวาน(เจลลี่) แถมเลือกเครื่องดื่มได้อีก 1 อย่าง ราคาต่อเซทจะอยู่ที่ 10.2 ยูโร เราจัดเมนู Chicken Grill Plate ซึ่งจากภาพแลดูเป็นเมนูที่เลอค่าและน่าอร่อย สั่งเสร็จเรียบร้อยก็เข้าสู่โหลดลุ้น ลุ้นหนักว่ารางวัลที่หนึ่งก็คงเป็นการลุ้นว่าหน้าตาอาหารที่ได้จะตรงกับปกที่สั่งหรือป่าว ฮ่าฮ่า

สรุปหน้าตามเป๊ะตามรูป แต่รสชาติยากแท้ที่จะบรรยาย คือแบบว่ามันจะอร่อยก็ไม่ใช่จะแย่ก็ไม่เชิง แต่ก็กินจนหมดนะ

กองทัพต้องเดินด้วยเท้า หลังจากกินกันจนอิ่มหนำสำราญเราก็เดินต่อไปยังปราสาท Castelo de S. Jorge ซึ่งปราสาทแห่งนี้ตั้งเด่นอยู่บนภูเขาที่สูงที่สุดของเมืองลิสบอนเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ตำแหน่งไหนเราก็สามารถมองเห็นปราสาทแห่งนี้ได้ตลอด แต่พอเดินมาถึงจุดขายบัตรก็มันอันถอดใจเพราะแถวยาวมากจนไม่สามารถประเมินค่าได้ว่ากี่กิโล คือจุดขายบัตรต่อแถววนไปวนมาอย่างกะเกมส์งูในโนเกีย 3315

โดยปกติเราจะสู้ตายอยู่แล้วไม่ว่าแถวจะยาวแค่ไหน แต่นั่นมันต้องมีเวลาเพียงพอด้วย แล้วเรามีเวลาแค่ 1 วัน ถ้าขึนดื้อดึงต่อแถววันนี้คงไม่ต้องไปไหนกันพอดี ยอมแพ้แล้วเดินลงจากจุดขายตั๋วหน้าปราสาทมานั่งรถแทรมสายเดิมที่เพิ่มเติมคือความผิดหวัง

  • Miradouro das Portas do Sol

เราหอบความผิดหวังมายังจุดชมวิวที่สวยงามอีกหนึ่งจุดของเมืองลิสบอน Miradouro das Portas do Sol สิ่งที่บ่งบอกว่าเรามาถึงจุดชมวิวแห่งนี้แล้วก็คือรูปปปั้นนของเซนต์วินเซนต์ (นักบุญอุปถัมภ์ของเมือง) ที่ยืนถือเรือไว้ที่มือด้านซ้าย

หลังคาสีส้มแดงของอาคารบ้านเรือนที่ถูกเติมเต็มด้วยความอลังการของโบสถ์ São Vicente de Fora ที่มีฉากหลังเป็นสีฟ้าของแม่น้ำมันดูลงตัวและควรค่าแก่การใช้เวลา 20 นาทียืนนิ่งนิ่งโง่โง่ซึมซัมความสวยงามของจุดชมวิวแห่งนี้ที่สุด

ขอการันตรีความพีคของจุดชมวิว Miradouro das Portas do Sol แห่งนี้ ด้วยบรรดาตากล้องรุ่นเดอะที่ยืนเรียงหน้ากระดานบันทึกภาพกันอย่างตั้งใจ

สาย 28E อีกครั้ง ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเอ๊ะอ่ะนั่งแต่เบอร์นี้ เพราะสายนี้วิ่งผ่านแลนด์มาร์คหลักของเมืองลิสบอนแทบทุกจุดเลยก็ว่าได้

เรานั่งแทรมชมวิวเมืองเรื่อยเรื่อยจนมาถึงใจกลางเหมืองลิสบอน ที่นี่คือศูนย์รวมของทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร รวมถึงร้านขายเสื้อผ้าแบรนด์เนมต่างต่าง และด้วยความที่เป็นใจกลางเมืองที่นี่จึงแออัดไปด้วยคนท้องถิ่นรวมถึงนักท่องแท่วจากทั่วทุกมุมโลกที่เดินทางมายังเมืองลิสบอนแห่งนี้ เราใช้เวลานิดหน่อยในการเดินสำรวจใจกลางเมืองแห่งนี้ จากนั้นค่อยค่อยเดินลัดเลาะตามถนนมุ่งหน้าไปยัง Arco da Rua Augusta

  • NATA LISBOA

ซึ่งระหว่างทางเราก็พับกบ เอ๊ย พบกับร้านขายทาร์ตไข่ชื่อดังอยู่เจ้าหนึ่ง NATA LISBOA ซึ่งภายหลังเราพบว่าร้านนี้เป็นร้านที่มีแฟรนไชส์ขายอยู่หลายแห่งทั่วทั้งโปรตุเกส ซึ่งแน่นอนสำหรับร้านแฟรนไชส์เยอะเบอร์นี้ขนมหวาน เครื่องดื่ม ของร้านนางต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ถือโอกาสพักจากการเดินเต็ดเตร่มาหลายชั่วยามที่ร้าน NATA LISBOA แห่งนี้ โดยการสั่งสั่งทาร์ตไข่มาทานกรุปกริปคนล่ะชิ้น ดื่มน้ำเย็นเย็น นั่งให้หายเหนื่อย เราถึงค่อยออกเดินกันต่อ

  • Arco da Rua Augusta

จากร้าน NATA LISBOA เดินไปถ่ายรูปไปเรื่อยเรื่อยไม่ถึง 15 นาทีเราก็มาถึงอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองลิสบอนอย่าง Arco da Rua Augusta ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับประตูชัยเลยแกร จุดนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์การฟื้นฟูเมืองลิสบอนหลังจากเกิดแผ่นดินไหวเมื่อปี พ.ศ. 1755 ที่นี่ถือเป็นอาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งอีกแห่งของลิสบอนเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่สถานที่แห่งนี้อยู่ติดริมแม่น้ำมันจึงเหมาะมากสำหรับการมาชมทิวทัศน์ของเมืองและท่าเรือ

จากลานด้านหน้าของ Arco da Rua Augusta พวกเรานั่งแทรมเบอร์ 15E มุ่งหน้าไปยังย่าน Belém ซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองลิสบอนไปทางตะวันตกราวราว 30 นาที ย่าน

ตลอดสองข้างทางที่รถแทรมเบอร์ 15E วิ่งผ่าน เราจะพบกับตึกรางบ้านช่อง ร้านค้า โบสถ์ การใช้ชีวิต รวมถึงสถาที่สำคัญต่างต่างที่ดูแปลกตาและดีต่อใจมาก

  • Belém Tower

หลังจากลงจากรถแทรมที่สถานี Algés เราก็เรื่อยเรื่อยเปื่อยเปื่อยจนในที่สุดก็เดินมาถึง Belém Tower หนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติที่ได้รับการการรันตีด้วย UNESCO ในปี พ.ศ. 2526

  • Padrão dos Descobrimentos

เก็บภาพเรียบร้อยเราก็เดินลัดเลาะตามแม่น้ำมาเรื่อยเรื่อยจนกระทั่งมองเห็นอนุสาวรีย์ Padrão dos Descobrimentos จากมุมไกลไกล ย่ิงเดินเข้าใกล้ก็ยิ่งเห็นความสูงใหญ่ ซึ่งใหญ่จริงจังเพราะสูงถึง 52 เมตรเลยแกร แต่ภายใต้ความอลังการของอนุสาวรีย์แห่งนี้นางยังซ่อนความวิจิตรด้วยงานแกะสลักสวยงามที่ละเอียดอีกด้วย

Padrão dos Descobrimentos เป็นอนุสาวรีย์ที่โดดเด่นขนาดใหญ่โดดเด่นตั้งตระหง่านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Tagus ในลิสบอน สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับความทุ่มเทของนักผจญภัยที่นักเดินเรือที่ช่วยกันออกสำรวจกันจนทำให้โปรตุเกสให้เป็นมหาอำนาจในศตวรรษที่ 14

จาก Padrão dos Descobrimentos เราสามารถมองเห็นสะพานแขวน Ponte 25 de Abril ซึ่งเป็นหนึ่งแลนมาร์คที่สำคัญและโดดเด่นที่สุดของลิสบอนอีกอันนึง โดยสะพานนี้ถูกสร้างในช่วงที่แค่น้ำ Tagus มีความแคบประมาณ 2.3 กิโลเมตร ถือว่าแคบน้อยที่สุด หน้าตาสะพานถ้าดูเผินเผินจะมีลักษณะคล้ายกับ Golden Gate ในซานฟรานซิสโกเลยแกร๊

อกเหนือจากวิวดีดีงามงามแล้วบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งนี้จะเป็นลานกว้างกว้างที่เรามักจะเห็นชาวลิสบอน รวมถึงนักท่องเที่ยวมาเดินกินลมชมวิว ออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน และก็พอดรักแบบหนุ่มเสื้อเหลืองกับสาวเสื้อยีนต์ตามรู

ข้อดีของการมาเที่ยวช่วงเริ่มมเข้าสู่ซัมเมอร์ของยุโรปคือกลางวันยาวนานมาก แบบช่วงปลายเมษาที่เราไปฟ้ามืดประมาณ 3 ทุ่มครึ่งเลยจร้า เพราะฉะนั้นเราจึงมีเวลาไปเดินเล่นถ่ายรูปในเมืองเยอะมาก

  • Miradouro de São Pedro de Alcântara

เรามีโอกาสได้ทดลองนั่งบัสกลับมายังใจกลางเมือง ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีเอง หลังจากนั้นเราก็เดินขึ้นไปจุดชมวิวอีกจุดหนึ่งเพื่อที่จะไปรอดูพระอาทิตย์ตก ณ จุดนี้หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเมืองนี้จุดชมวิวเยอะจัง คืองี้แกร!! ตามที่บอกตั้งแต่แรกว่าลิสบอนเป็นเมืองที่อยู่บนภูเขาจุดไหนที่เค้าเห็นว่าวิวสวยเค้าก็โปรโมทให้เป็นแลนมาร์คที่ต้องห้ามพลาด แต่สำหรับเราวิวแต่ล่ะจุดก็ไม่ได้ต่างกันมาก สวยงามเหมือนกันจะต่างกันนิดหน่อยแค่มุมที่ขึ้นไปยืนต่างกัน เมาท์ไปหล่ะว่าทำไมจุดชมวิวเยอะเรากลับมาต่อที่จุดชมวิว Miradouro de São Pedro de Alcântara ที่เราจะเดินขึ้นไปเก็บภาพสำหรับปิดทริปวันนี้

ทางเดินขึ้นจุดชมวิวจะเป็นบันไดหลายร้อยขั้นไล่ระดับความสูงตามลักษณะภูมิประเทศ ถ้าเดินชิวชิวเก็บภาพนู้นนี่นั่นไปเรื่อยเรื่อยจะไม่เหนื่อยมาก แต่ถ้าทั้งเดินทั้งวิ่งขึ้นเพื่อนจะให้ไปทันอาทิตย์ตกแบบเรามีเสียเหงื่อเป็นลิตรแน่นอน

เพลงมาค่ะ!! เสมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใด อังกอร์ ฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจเอาซะเลยฟ้ามืดแสงแดดนิดนึงก็ไม่สาดลงมาโดนหลังคาบ้านหลังไหนเลย สรุปวิวตรงหน้าก็เลยไม่พีคเท่าไหร่ ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องเดินขึ้นก็ได้จร้าเพราะมีรถลางรับส่งขึ้นลงจากใจกลางเมืองเล

นั่งรถลางกลับลงมาแบบไม่ค่อยจะสุขสมอารมณ์หมายเท่าไหร่ หลังจากตะลอนถ่ายรูปกันมาทั้งวันถึงเวลาแล้วที่เราต้องเข้า google หาข้อมูลร้านอาหารเอเชียในเมืองลิสบอน คือแบบทนเลี่ยนกินแป้งกินชีทมาเป็น 10 10 วันแล้วอ่ะ ( ซึ่งก่อนบินมาโปรตุเกสเราก็เจอแป้งชีทแบบจริงจังทั้งฝรั่งเศส อิตาลี โมนาโก ) วันนี้ขอหาอะไรที่มันดีต่อใจกระแทกปากซะหน่อย เดินไปเรื่อยๆจนถึงร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง มิรอชาจัดราเม็งขอรสชาติแบบเผ็ดที่สุดเท่าที่พริกลิสบอนจะเอื้อมาทานคนละชาม สรุปรสชาติออนุบาลหมีน้อยมากไม่ได้ใกล้เคียงความเผ็ดเล๊ยยย แต่ก็โอเคก็อร่อยใช้กินแก้เลี่ยนได้ดี ค่าเสียหายก็ตกอยู่ที่ชามล่ะ 9.15 ยูโร

ฟินฟินแล้วก็กลับห้อง อาบน้ำ ปะแป้ง นอน ZZZZzzzZ

Day 2 : Sintra – Cascais

เช้าวันที่ 2 ของโปรตุเกสทริป หลังจากอาบน้ำ ทานมื้อเช้าที่โอสเทลเรียบร้อย พวกเราก็นั่งรถไปลงที่สถานี Sintra ซึ่งใช้เวลาเดินทางราวราว 1 ชั่วโมง จากสถานีรถไฟเราสามารถเดินทางไปแลนมาร์คหลักของเมืองนี้ด้วยบัสเบอร์ 434 ( คิวบัสจะค่อนข้างยาวหน่อย ) ซึ่งบัสเบอร์นี้คือบัสนำเที่ยวที่วิ่งผ่านแลนมาร์คหลักโดยก่อนขึ้นพนักงานนางจะแจก map เส้นทางวิ่งของบัสให้ ซึ่งเราสามารถเลือกจุดได้ว่าจะเที่ยวตรงไหนบ้าง แต่ด้วยปัญหาเก่าปัญหาเดิมปัญหาประจำของเรา “เวลามีจำกัด” เราก็เลยต้องตัดใจเลือกจุดหลักหลักแค่ 2 จุด คือปราสาทมัวร์ Castelo dos Mouros และ Palace of Pena

บัสนัมเบอร์ 434 พาเราวิ่งตามถนนไต่ระดับความสูงของเขาเรื่อยเรื่อยจนมาถึงป้ายปราสาทมัวร์ เราเดินตรงดิ่งไปยังจุดขายตั๋วทันที ซึ่งราคาตั๋วเข้าชม Castelo dos Mouros จะอยู่ที่ 8 ยูโร แต่พิเศษถ้าซื้อพร้อมกับบัตรเข้าชม Palace of Pena 15 ยูโร รับสวนลดทันที 5% สิราราคารวมของสองไฮไลท์หลักเราโดนไปคนล่ะ 21.85 ยูโร ( 800 กว่าบาท )

  • Castelo dos Mouros

จากจุดขายตั๋วเราต้องเดินขึ้นผ่านความกรีนของต้นไม้ใบหญ้าไต่เนินเขาขึ้นไปเรื่อยเรื่อย แต่คือแบบเดินเพลินมากไม่เหนื่อยเหมือนกับเดินขึ้นเนินทั่วไปอาจจะเนื่องมาจากอากาศที่บริสุทธิ์และความความร่มรื่นมันก็เลยชิวๆจนในที่สุดก็มาถึง  Castelo dos Mouros ปราสาทมัวร์เป็นซากปราสาทที่ตั้งอยู่บนเนินเขาแฝงตัวอยู่ท่ามกลางป่าที่เขียวชอุ่ม เพียงแค่ซากที่เราไปสัมผัสเรายังรับรู้ได้ถึงความสวยงามคือถ้าแบบวาร์ปย้อนอดีตกลับไปดูตอนที่ปราสาทแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองได้เราว่ามีขนลุกแน่นอน

นอกจากซากปราสาทที่เรากำลังเหยียบอยู่ตอนนี้ การมองออกไปจากป้อมปราการทำให้เราเห็นทิวทัศน์ที่ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายถึงความสวยได้ มันสามารถมองเห็นเมืองทั้งเมือง รวมถึงเห็นปราสาทอื่นๆที่ไม่มีโอกาสไปได้อย่างทั่วถึง บอกเลยว่า 8 ยูโรที่เสียไปมันคุ้มค่ากับการได้มาเหยียบที่นี่จริงๆ ปลื้มปลิ่มและมีความน้ำตาไหล

จุดสุดยอด เอ๊ย!! จุดยอดสุดทำให้เราได้เห็นวิว 360 องศา แบบไม่มีอะไรมาบดังเลย บ้านเรือนหลังคาแดงกับความเขียนของป่ามันช่างลงตัวสุดๆ แต่เสียอย่างเดียวคือขึ้นไปช่วงอังกอร์จะกลายร่างพอดี เพลงเสมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใดลอยเข้ามาในหัวอีกรอบ

และจุดสูงสุดบนปราสาทมัวร์ยังสามารถมองเห็นความส้มเหลืองของ Palace of Pena ได้อย่างชัดเจน

กลับลงจากปราสาทมัวร์เราก็มาแวะเติมพลังกันที่อาคารไม้ที่ออกแบบได้สวยงานและกลมกลืนกับธรรมชาติมาก ซึ่งภายในอาคารก็จะมีห้องน้ำ ร้านค้าเล็กเล็กที่เปิดขายพวกอาหาร กาแฟ ส่วนด้านบนอาคารไม้เปิดโล่งเป็นที่นั่งพัก นั่งรับประทานอาหาร

เราสั่งแซนวิชคนล่ะสองชิ้นมาทานคู่กับกาแฟร้อน นั่งพักชิวชิวให้หายเหนื่อยแล้วจึงเดินกลับลงไปยังสถานีบัส
  • Palace of Pena
นั่งบัสเบอร์เก่าเบอร์เดิม 434 ที่เพิ่มเติมเอาไปแทงหวยแล้วโดนเจ้าแดรก ฮ่าฮ่า เรานั่งบัสไปต่อกันที่ Palace of Pena อันนี้เป็นไฮไลท์เด็ดและเป็นแลนมาร์คที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวเมือง Sintra แห่งนี้เลยก็ว่าได้ ตัวปราสาทให้อารมณ์เหมือนปราสาทในการ์ตูนวอลดิสนี่ สีสันสดใส อลังการสุด มันช่างเหมาะแก่การพาหญิงสาวใส่เดรสขาวรองเท้าส้นเข็มไปเดินสวยสวยให้เราถ่ายรูปที่ซู๊ดดดดด พระราชวัง Pena ตั้งอยู่บนยอดเขาหินซึ่งเป็นจุดที่สูงเป็นอันดับสองในเนินเขาของเมือง Sintra ตัวปราสาทคุมโทนมาในตีมเหลืองส้ม ถูกโอบล้อมไปด้วยความเขียวของผืนป่า

นอกจากความอลังการภายนอกแล้ว เราสามารถเดินเข้าไปชมความสวยงามของเครื่องใช้โบราณ รูปปั้น ภาพวาด รวมทั้งความวิจิตรของผนังภายในตัวปราสาท

จริงจริงตัวปราสาทสวยมาก ก.เกือบล้านตัว แต่ด้วยความอลังการมันเลยถ่ายภาพออกมาไม่สวยถูกใจสักเท่าไหร่ แต่เชื่อเราเหอะว่าที่นี่คือจุดที่จะต้องไม่พลาดถ้าเกิดมีโอกาสไปเหยียบประเทศโปรตุเกส

  • Cascais

Next station is Cascais : เรานั่งบัสสาย 417 ที่วิ่งตรงดิ่งจาก Sintra ไปยังเมือง Cascais ซึ่งใช้เวลาเดินทางราวราว 1 ชั่วโมง Cascais ( กัชไกช์ ) เป็นเหมืองที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งอึชตูริล เมื่อก่อนนางก็เป็นหมู่บ้านชาวประมงธรรมด๊าธรรมดา แต่อยู่ปีหนึ่งซึ่งนานมาแล้วราชวงศ์โปรตุเกสได้เดินทางไปพักร้อนที่เมืองนี้ หลังจากนั้นจากคนรับใช้ก็กลายเป็นนางซิล เมืองนี้กลายเป็นเมืองที่ฟีเว่อร์ที่ทั้งชาวโปรตุเกสและชาวต่างประเทศนิยามมานอนเปลือยกายอาบแดดพักร้อน

บรรยากาศภายในเมืองก็น่ารักตะมุตะมิ คนไม่หนาแน่นแออัดเหมือนลิสบอน ร้านขายของฝากกระจุ๋มกระจิ๋มมีเพียบ อาหารทะเลก็สดเว่อร์

เราเดินจากสถานีรถบัสทะลุผ่านใจกลางเมืองมาเรื่อยเรื่อยจนมาถึงชายหาด ซึ่งกิจกรรมบอยบอยของวัยรุ่นชายที่นี่ก็คือการเล่นวอลเลย์บอลชายหาด เดินเล่นเบาเบาเก็บภาพลัดเลาะริมทะเลเมืองกัชไกซ์ไปเรื่อยๆ หาเมนูเด็ดๆทาน แล้วค่อยกลับฐานทัพหลักของเรา ณ Lisbon

โบกมือลาทะเลกับเรือประมงเมืองกัชไกซ์ ไว้มีโอกาสเราจะต้องมานอนค้างที่นี่

ภาพรถแทรมสีเหลืองวิ่งผ่านซอกตึกถือเป็นภาพไฮไลท์ที่อยู่บนโปสการ์ดที่มีวางขายอยู่แทบจะทุกร้านในลิสบอน แต่ความชอบถ่ายภาพแบบเรานอกจากจะซื้อเขียนส่งถึงคนที่ประเทศไทยแล้ว ยังไงก็ต้องขอไปลั่นชัตเตอร์ด้วยกล้องของตัวเอง จากการสอบถามคนแถวนั้นทำให้เรารู้ว่าจุดดังกล่าวที่เห็นในโปสการ์ดคือ Elevador da Bica ไม่รอช้าเปิด map แล้วเดินตามจีพีเอสมาจนเจอ

Day 3 : Let’s Go To Porto

เช้านี้เรานั่งรถไฟยิงยาวจาก Lisbon ขึ้นไปยังเมือง Porto ( โปร์ตู ) เมืองเอกทางตอนบนของโปรตุเกส ซึ่งตั๋วรถไฟเพื่อนเพื่อนสามารถจองล่วงหน้าได้ที่ : คลิกที่นี่ ตื่นตื่นหลับหลับ หลับหลับตื่นตื่น 4 ชั่วโมงโดยประมาณรถไฟก็พาเราแล่นมาถึงสถานี São Bento Train Station โดยจากสถานทีเราสามารถลากกระเป๋าเดินคูลคูลไปยังที่พักได้เพราะเราจองไว้ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ

Residencial Triunfo คือที่พักที่ราคาน่ารัก ทำเลดี เจ้าของคือคุณป้าแก่แก่ที่ใจดีดี๊แต่ชีไม่พูดอังกฤษจร้า หน้าตาห้องพักก็ตามรูปเลยเลยจร้า สะอาดแต่แอบเก่าไปนิส

ราคาค่าเสียหายอยู่ที่ห้องละ 1464.5 บาท/คืน

หลังจากโยนกระเป๋าเก็บเข้าห้องพักเรียบร้อยพวกเราก็ออกมาเดินมื้อบ่ายทานกัน เดินไปเดินมาก็มาจบที่เบอเบอร์ที่เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งคนล่ะหนึ่งเซท กินจนอิ่มพุงกลางถึงค่อยเริ่มเดินออกสำรวจเมือง Proto

สำหรับการเที่ยวในเมือง Porto เราแนะนำให้เดินดีกว่า เพราะตัวเมืองเองไม่ได้ใหญ่มากเหมือนลิสบิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ดูแผนที่กันด้วยอย่าสักแต่เดินเพราะถ้าหลงคือเหนื่อย เพราะ Porto เป็นเมืองบนเนินเขาเช่นกัน เดินขึ้นเดินลงทำเอาเหนื่อยใช้ได้เลย

Porto เป็นอีกเมืองในยุโรปที่ตอกย้ำว่าคนที่ชอบถ่ายแนวสตรีทควรมา เพราะแค่ในย่านเมืองเก่าเรากดชัดเตอร์รัวรัวแบบนับครั้งไม่ถ้วนเลยแกร๊

เดินไปถ่ายไปเรื่อยเรื่อยเผลอแปบเดียวเราก็มาโผล่ย่านเมืองเก่าโซนริมน้ำ

  • Dom Luis I Bridge

เราลัดเลาะริมน้ำตามสไตล์ผู้บ่าวขาเลาะจนมาถึง Dom Luis I Bridge ซึ่งบริเวณนี้จะคึกคึกคักคักเป็นพิเศษ บ้านเรือนสีน่ารัก ร้านค้า คาเฟ่ ผู้คน รวมถึงคนเปิดหมวกเล่นดนตรี มันมีความเพลินเจริญหูเจริญตาที่ซู๊ดดดดด

Dom Luis I Bridge สะพานเป็นสะพานโค้งโลหะสองชั้นที่ทอดยาวพาดผ่านแม่น้ำ Douro เพื่อเชื่อมต่อระหว่างเมือง Porto และ Vila Nova de Gaia

หลังจากกินลมชมวิวฝั่ง Porto เรียบร้อยเราก็เดินข้ามสะพาน Dom Luis I Bridge เพื่อไปเที่ยวต่อยังฝั่ง Vila Nova de Gaia กันบ้าง ซึ่งบรรยากาศฝั่ง Vila Nova de Gaia ก็ชิวไม่ได้ต่างจาก Porto เลย ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม มีให้เลือกเยอะแยะมากมาย

  • GRUPO PASTELARIAS SOARES
ณ เวลา 6 โมงเย็น เป็นเวลาที่แดดแรงพอพอกับบ่ายสามที่กรุงเทพบ้านเรา ไม่ลังเลอะไรทั้งนั้นเลี้ยวข้าวคาเฟ่นั่งทานกรุปกริปหลบแดดไปก่อนล่ะกัน ร้านที่เราเลือกชื่อว่า GRUPO PASTELARIAS SOARES มีทั้งที่นั่งอินดอร์เอาท์ดอร์ให้เลือก ร้านตั้งอยู่ใกล้ใกล้กับสถานีขึ้น Cable car เพราะฉะนั้นตอนนี้ขอจัดทาร์ตไข่มาทานฟินฟินคู่กับกาแฟไปก่อน ( ทราร์ไข่ 6 ชิ้นราคา 4 ยูโร )
นั่งชิวเมาท์มอยหอยสังข์กันจนถึง 2 ทุ่มฟ่าฟ่า เช็ดบินเดินไปซื้อตั๋ว Cable car ในราคา 6 ยูโร เพื่อนั่งชมวิวขึ้นไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตกดินบนสะพราน Dom Luis I Bridge

แสงสีทองของพระอาทิตย์ที่สาดส่องลงบนหลังคาสีแดงของบ้านเรือนริมสองข้างแม่น้ำ Douro มันช่างเป็นภาพที่สวยงาม ณ จุดนั้นบน Cable car เรากัดถ่ายภาพแบบรัวรัวเลยจร้า

ภาพน่าอิจฉาของฝรั่งคู่รักที่มานั่งรอดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน

โบกมือลาวันนี้ด้วยภาพแสงอาทติย์สวยสวยที่จมหายไปในแม่น้ำ Douro

Day 4 : One day trip in Porto

  • Mosteiro da Serra do Pilar

เที่ยงวันสุดท้าย ใช่เราเขียนว่าเที่ยงแกรไม่ได้เขียนผิด จากความเหนื่อยสะสมบวกกับคนแบบเราและรุ่นพี่มาออกทริปด้วยกัน ความที่เป็นคนตื่นสายก็ทำพาเรามาถึงจุดนี้วันที่ทำสถิติการตื่นนอนที่สายที่สุดตลอดทั้งทริปนี้ หลังจากทานข้าวเรียบร้อยเราก็เดินตรงดิ่งไปที่จุดชมวิวสุดพีคของเมือง Porto นั่นก็คือ Mosteiro da Serra do Pilar

ถ้าวิวบนสะพาน Dom Luis I Bridge เมื่อวานคือดีงามระดับพรีเมี่ยม Mosteiro da Serra do Pilar ก็คงเป็นวิวที่ดีงามแบบขั้นกว่าาของคำว่าพรีเมี่ยม เพราะนอกจากแม่น้ำ Douro ที่ขนาบข้างด้วยหลังคาสีแดงของบ้านแล้ว เรายังสามารถมแงเห็นสะพาน Dom Luis I Bridge ได้อย่างเต็มตา ซึ่งพอมีรถไฟวิ่งผ่านมันช่างเป็นวิวที่ควรไปให้ด้วยตาตัวเองสักครั้ง

ดื่มด่ำชีวิตยามเที่ยงบนจุดชมวิวที่พีคที่สุดของเมือง Porto กันไปแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องมาศึกษาประวัติศาสตร์ด้วยการเดินเยี่ยมชมแลนมาร์คต่างต่างภายในเมืองนี้กันบ้าง

  • Porto Cathedral

มาเริ่มกันที่ Porto Cathedral วิหารปอร์โตเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง ที่นี่คือแลนด์มาร์คที่รวมประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งมีความสวยงามตามแบบสไตล์โรมัน

โบสถ์ถูกแบ่งออกเป็นสองโซนโดยโซนแรกจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมฟรี ซึ่งโซนนี้สำหรับเราไม่ได้ว้าวมากนัก เพราะหน้าตาจะคล้ายคล้ายโบส์คริสทั่วไปที่เราเคยเข้าไปชมก่อนหน้านี้ ส่วนอีกโซนต้องเสียค่าเข้าชมคนล่ะ 3 ยูโร อันนี้คุ้มค่าแนะนำให้จ่ายเงินเข้าไปโล๊ด ด้านในสวยงามตกแต่งด้วยกระเบื้องเซรามิก (azulejos) สีน้ำเงิน มีความวิจิตรละเมียดละไมมากมากแกร๊

  • Nut’ Porto

หลังจากเยี่ยมชมโบสถ์กันเสร็จเรียบร้อย พวกเราแวะเพิ่มความคูลดับความฮอตของแดดสี่โมงกันที่ร้าน Nut’ Porto จากการประเมินด้วยสายตานี่คือร้านกาแฟติดแอร์ที่แลดูจะสวยที่สุดในย่านนี้ โดยร้านมาในโทนขาวน้ำตาล เฟอนิเจอร์ทุกอย่างทำจากไม้ มูทแอนโทนของร้านก็จะออกมาอบอุ่นๆ พอบวกกับเพลงคลาสสิคที่ร้านเปิดเบาเบามันช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายเป็นที่ซู๊ด

สั่งเมนูซิกเนเจอร์ของร้านมาทานกับน้ำผลไม้ปั่น ดีงามพระรามสิบสองเลยจร้า อร่อยแบบวัวตายความล้ม ขอเลอดังดังหนึ่งทีให้กับเมนูฟินฟินแบบเน้
  • Igreja do Carmo

ออกจากคาเฟ่เราก็เดินกันต่อไปยัง Igreja do Carmo โบสถ์ที่มีผนังด้านข้างเป็นกระเบื้องสีฟ้า ซึ่งบนกระเบื้องเหล่านั้นถูก Silvestre Silvestri รังสรรภาพวาดอันสวยงามเอาไว้ ภาพถ่ายด้านหน้าของโบสถ์ Igreja do Carmo คู่กับรถแทรมสีน้ำตาลอ่อน จัดว่าเป็นอีกหนึ่งมุมถ่ายภาพที่ไม่ควรพลาด

โบสถ์แห่งนี้เกิดจาการรวมตัวกันของสองโบสถ์ย่อย ซึ่งตามความเชื่อทางขวาคือโบถส์ชาย ส่วนทางซ้ายโบถส์หญิง ส่วนภายในของทั้งสองโบสถ์ก็สวยงามอลังการแบบไม่มีใครยอมใครกันเลยจร้า

จากโบสถ์ Igreja do Carmo เราก็เดินลัดเลาะตามถนนเส้นหลักของเมือง Porto มาเรื่อยเรื่อยเพื่อไปเก็บภาพอีกหนึ่งแลนด์มาร์คหลักที่มะวานก็มีโอกาสได้เหยียบ แต่ยังไม่ได้ถ่ายรูป

  • São Bento Train Station

สถานีรถไฟ São Bento Train Station ถ้าเป็นสถานีรถไฟธรรมดาทั่วไปเราคงไม่อยากเข้าไปถ่ายรูปหรอก แต่แกรรู้หมือไร่ São Bento Train Station คือสถานรถไฟที่สวยติดอันดับโลกเลยทีเดียวเชียวนะ ตามสไตล์เมือง Porto สถานีรถไฟถูกบอกเล่าเรื่องราวด้วยการวาดภาพบนกระเบื้องสีฟ้าที่ประดับตกแต่งอยู่ตรงผนังด้านในของตัวอาคาร สำหรับเราถือว่าสวยงามตามท้องเรื่อง

จบภารกิจพิชิต 2 เมืองดังของโปรตุเกสอย่างประทับใจ ตลอดระยะเวลา 4 วัน ที่เต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจเราเต็มอิ่มกับเรื่องราวการเดินทางในครั้งนี้มาก แต่ไม่ว่าจะทริปไหนเราก็ไม่สามารถถ่ายถอดความประทับใจออกมาได้เต็มร้อย เราเชื่อเสมอว่าเรามอบให้ได้มากสุดแค่ 50% ส่วนอีก 50% เพื่อนเพื่อนคงต้องลองจองตั๋วบินไปสัมผัสกันเอง

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก