Solo trip in south korea

เราว่าเกาหลีเป็นหนึ่งในประเทศที่ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย โดยที่เราไม่ได้อวยจนมากเกินไป ทั้งในเมือง นอกเมือง หรือแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ซึ่งล้วนแล้วแต่สะอาด ดูสบายตาและน่าหิ้วกล้องติดมือไปเดินเล่นจริงๆ วันนี้ จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น ขออาสาพาไปตามหาโลเคชั่นฮิปๆ กันที่สองเมืองหลักอันได้แก่ โซล เมืองที่มีอายุมากกว่า 600 ปี กับ ปูซาน เมืองท่าการค้าที่พานักท่องเที่ยวมายังเกาหลี ปีละหลายแสนคน หลังจากฟังเสียงลือเสียงเล่าอ้าง มานักต่อนักขอไปชมให้ประจักษ์ด้วยสองตาตัวเอง กับการลุยเดี่ยวเกาหลี ตามมาดูกันว่าเกาหลี ฉบับ 5 วัน 4 คืน ของเราจะดีต่อใจแค่ไหน

Day 1 : Busan

⌈ 001 Gamcheon Culture Village ⌋

สำหรับ Solo Trip ครั้งนี้เราก็ขอเปิดตัวที่หมู่บ้านวัฒนธรรมกัมชอน ณ เมืองปูซาน จากแนวคิดของคนในหมู่บ้านที่เกิดแรงบันดาลใจช่วยกันวาดภาพเก๋ไก๋เก๋ไก๋บ้านของตนบนเนินเขากลายเป็นแลนด์มาร์คที่เย้ายวนใจ และยิ่งโด่งดังไปใหญ่เหมือนบอยด์แบรนด์ขวัญใจใครหลายหลายคนอย่าง 2PM ซึ่งพวกนางก็เคยมาโปรโมตสถานที่แห่งนี้ ด้วย Concept ดี้ดีว่า Dream Journey In Busan นั่นเอง! และสำหรับใครที่อยากมาที่นี่ก็ไม่ยาก เพียงแค่นั่งรถใต้ดินสาย Toseong Station Exit 6 เดินเลี้ยวขวาตรง 4 แยกไปรอรถบัสหน้าโรงพยาบาลแล้วจัดไปที่สาย 2 , 2–2 หรือ 1–1 เพื่อลงหน้าโรงเรียนอนุบาล Gamjeong Elementary School กลับหลังหันแล้วมั่นหน้าเข้าไปถ่ายรูปได้เลยจร้า ( ทางเข้าเขาจะอยู่หน้าโรงเรียนเด็กเด็กเลยแกร )

ที่นี่ไม่ได้มีแค่บ้านสีสวยสวย แต่ยังเพียบพร้อมไปด้วยร้านอาหาร ของหวาน สถานที่พัก และจุดน่ารักน่ารักให้เรารัวกล้องคล่องชัตเตอร์จนน้ำตาไหลไปกับรูปชิคชิคเลย อ้อ! แล้วใครที่อยากเก็บให้ครบจบทุกแลนด์มาร์คก็อย่าลืมไปซื้อแผนที่ Stamp Tour Maps ที่บริเวณศูนย์ให้ข้อมูลนะฮะ และเมื่อไปแสตมป์สถานที่ต้องห้ามพลาดครบทุกจุดเราก็จะได้โปสการ์ดน่ารักฝุดฝุดมาเป็นที่ระลึกด้วย

แค่ดูภาพของเราก็น่าจะเดาได้ว่าที่แห่งนี้เหมาะสำหรับคนบ้ากล้องที่จ้องจะลั่นชัตเตอร์จริงจริง เพราะไม่ว่าจะพาด จะพิง จะอิง จะโพสต์ก็ตอบโจทย์ไปทุกมุม นอกจากตึกรามบ้านเรือนจะงามน่าเยือนสุดสุดแล้ว ที่หมู่บ้านวัฒนธรรมกัมชอนแห่งนี้ยังมีสตรีทอาร์ตให้ถ่ายรูปยาวยาว และมีแบ็คกราวน์ดี้ดีไม่ว่าจะย่างไปที่ไหนก็ใช่เธอเลยจร้า!!

เดินชิลไปสักพักก็จะได้เวลาทักกับ Mascot ที่ไม่ว่าชาติไหนไหนก็ไปไม่รอดต้องมาจอดต่อคิวเพื่อหิ้วรูปน้องเจ้าชายน้อยตัวเอกจากนิยายและภาพยนตร์การ์ตูนชื่อดัง The Little Prince นั่นเอง ซึ่งขอบอกก่อนเลยว่าไม่ใช่มามาแล้วจะได้เต๊ะท่าถ่ายเลยนะแกร๊ นั่งชมวิวชิลรอไปประมาณ 15 นาทีจร้า

⌈ 002 Songdo Beach ⌋

เก็บ Signature แรกเรียบร้อย ก็ค่อยค่อยเคลื่อนพลไปทำตัวโก้ที่ ซองโด บีช (Busan Songdo Beach, 부산 송도해수욕장) ซึ่งแปลว่าเกาะต้นสนเนื่องจากบนเกาะมีป่าสนตั้งอยู่คลอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างจร้า ด้วยความที่ตัวหาดตั้งอยู่ห่างจากเมืองเพียง 3 กิโลเมตร เลยได้รับความนิยมเป็นพิเศษจากคนเมือง ในอดีตพายุเคยเข้าถล่มชายหาดซองโดบ่อยครั้ง ทางรัฐบาลจึงจัดตั้งทีมซ่อมบำรุงมุ่งทำไป 5 ปี รวมทั้งขยายพื้นที่ชายหาดให้กว้างออกไป และเพิ่มน้ำพุให้ดูเก๋ไก๋ไปอี๊กกก สำหรับชายหาดซองโดในปันจุบันกลายเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของเมืองปูซาน ทั้งคู่รักมาพักดูวิว หรือจัดอีเว้นท์ชิลชิลริมชายหาด แลใกล้ใกล้ยังมีตลาดอาหารทะเล Jagalchi Seafood Market ด้วยนะฮะ

เสร็จจจากเดินเล่นบนชายหาดสวยสวยก็ต้องตามด้วยไฮไลท์เด็ดของที่นี่ซึ่งมีอยู่ 2 จุด จุดแรกก็คือกระเช้าไฟฟ้า (Busan Air Cruise) ที่จะพาเราไปบินไปบนท้องฟ้าเป็นระยะทาง 1.6 กิโลเมตร และที่พิเศษสุดสุดคือจุดพื้นท้องของกระเช้าเขาใช้วัสดุโปร่งใสเพื่อให้เห็นวิวทิวทัศน์ด้านล่างด้วยจร้า

ไฮไลท์ต่อมา ไม่มาไม่ได้คือ Sky Walk ซึ่งว่ากันว่าเป็น Sky Walk ที่ยาวที่สุดในเกาหลีใต้ (สถิติได้รับการบันทึกเมื่อเดือนมิถุนายน 2015) แลนด์มาร์คแห่งนี้คือทางเดินสุดฮิปที่ทอดตัวล้อไปตามแนวหาดเป็นระยะทาง 104 เมตร สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 5 – 6 เมตร ความดีงามคืออากาศดี้ดีย์ที่พัดคลอใบหน้า ท้องฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาตัดกับอาคารบ้านเรือน ประทับใจผู้มาเยือนเยี่ยงเราเข้าอย่างจัง จะเก็บภาพปังปังโพสต์ไปยังโลกออนไลน์ก็ทำได้ง่ายง่ายเลย

เดินไปเดินมาก็จะสะดุดตากับพื้นทางเดินที่มีช่องกระจกใสใสให้เราดูผืนน้ำสีฟ้าเคลื่อนไหวไปมาด้านล่าง ลองเดินพลางถ่ายพลางก็จะเสียวนิดนิดแต่ก็ติดใจฮะ

⌈ 003 Oryukdo Skywalk ⌋

จริงจริงแล้ว Songdo Beach ยังมีแลนด์มาร์คใกล้ใกล้เช่น BIFF Square and Gukje Market สถานที่ที่คล้ายสยามสแควร์ให้เราเดินชมต่อแต่ทว่าเวลาเราไม่พอ เลยขอมาแค่ตรงทางเดินลอยฟ้า ออยุคโดจร้า สำหรับ Oryukdo Skywalk เป็นทางเดินลอยฟ้าซึ่งสร้างขึ้นบนหน้าผาที่ยื่นออกไปในทะเลยาว 35 เมตร แต่ที่พิเศษสเปเชี่ยลคือทางเดินกระจกเสียวเสียวนั่นเองแกร๊!!

กระจกที่โค้งรูปตัวยู หรือที่คนรุ่นคุณปู่เขารู้จักในนาม Seungdumal (승두말) ซึ่งแปลว่าแหลมอานม้าเนื่องจากรูปทรงที่ยื่นออกไปดูไกลไกลเหมือนอานม้าซึ่งทางเดินแห่งนี้ก็เป็นจุดที่แบ่งระหว่างทะเลตะวันออกกับทะเลตะวันตกของเกาหลีด้วยนะจร้า และถึงแม้ว่าทางเดินลอยฟ้าออยุคโดจะงดงามน่าจะเดินตามเข้าไปลั่นกล้องเข้า แต่ขาเราก็สั่นพั่บพั่บเพราะแอบหวั่นเมื่อมันสูงอ่ะแกร๊ (สาวแตกเลยฮ่าฮ่า)

สองเท้าเราอยู่บนแผ่นกระจกใส สายตาเหม่อมองส่องฟ้าไกล ลมพริ้วไหวทุกข์ไปใจผ่อนคลาย ณ จุดจุดนี้มีแต่ความชิลจริงจริงแกร ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน ไม่แยแสอะไร แค่ยืนโง่โง่ เอ็นจอยกับช่วงเวลาตรงหน้า ดูคุณตาคุณยายที่ยังคงจับมือกันไว้แน่น ดูคลื่นที่พุ่งแล่นเข้าปะทะโขดหิน อินกับความสุขเล็กเล็กที่เกิดขึ้นรอบกาย ปล่อยให้ความสบายแล่นผ่านขั้วหัวใจไปเล้ยยยย

⌈ 004 Haeundae Beach ⌋

หลังจากชนะโรคกลัวความสูงด้วยพลังความฟินอินกับวิวชิคชิค เราก็จิกกล้องท่องมาที่ชายหาดแฮอึนแดซึ่งเป็นชายหาดที่ดังที่สุดในประเทศเกาหลีจร้า หาดทรายแห่งนี้มีความยาวกว่า 1.5 กิโลเมตรและเป็นสถานที่สำหรับจัดกินกรรมทางวัฒนธรรมและงานเทศกาลต่างต่างตลอดทั้งปีอีกด้วยนะ จะว่าไปก็คงดังสมชื่ออยู่ เพราะดูมีฝรั่งมานอนอาบแดดเต็มไปหมดเลยจร้า

ชายหาดแฮอึนแดนี้ยังมีดีที่การคุมโทนสีได้อยู่หมัดกับร่มผ้าใบในสีฟ้าขาวเข้ากับน้ำทะเลตัดกับสีส้มแดงเก๋เก๋ของห่วงยาง และจุดที่เป็นหอคอยสีแดงแดงคือเจ้าหน้าที่ Life Guard คอยกันเราพลาดไหลลงทะเลไปจร้า เราว่า Life Guard ที่เข้มงวดแบบนี้มีไว้ที่บ้านเราบ้างก็น่าจะดีนะแกรว่าไหม?

ออกจากชายหาดก็มาเก็บภาพถนนริมหาดที่พี่เกาเขาทำเป็นที่นั่งหลบแดดไว้ สีเขียวของต้นไม้ในความฟ้าของน้ำทะเล ช่างเหมาะที่จะเปย์ตั๋วมานั่งชมให้สมวันหยุดจริงจริง เพราะมันทั้งสดชื่น ทั้งตื่นตาตื่นใจ แต่ถ่ายรูปไปถ่ายรูปมาเราก็วิ่งหาร่มเงาเช่นกัน เพราะแดดที่นี่นั้นร้อนพอพอกับไทยแลนด์แดน 4.0 เลยนะแกร๊

⌈ 005 Dongbaek Park ⌋

เดินหลบร้อนต่อนยอนริมหาดแฮอุนแดมาสักระยะเพื่อจะมาป๊ะกับ Dongbaek Park ที่นี่เป็นสวนสาธารณะขนาดกลาง มีจุดชมวิวที่สามารถเดินชิลไปชมวัดแบบเกาหลีได้ แต่จุดประสงค์ที่เรามาที่นี่ก็คือเพื่อมาเยือน Nurimaru APEC House (누리마루 APEC 하우스) หรือ หอประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคที่ออกแบบโดยใช้สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของเกาหลี ผสมผสานกับความทันสมัยได้อย่างดีจึงมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และเป็นจุดวิวสวยต้องห้ามพลาดอีกแห่งเลยนะ

สิบมือยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง และเราก็เจอไปจังจังเพราะว่าลืมดูเวลาปิดของนางเว้ยยยยย ซึ่งวันนั้นนางปิดห้าโมงเย็นจ้า แต่กว่าเราจะไปถึงก็ไม่ทันเสียแล้ว แต่ก็ไม่แคล้วได้ภาพสวยสวยด้วยวิวตึกเรียงรายขยายไปถึงสะพาน Gwangan Bridge มาฝากแกรแกรด้วยนะเออ!

เดินย้อนออกมาที่ทางเข้า ก็ขอเม้าถึงคอมมิวนิตี้คูลคูลที่อยู่ติดกันนั่นก็คือ TheBay101 (더베이101) ซึ่งเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของคนทำงาน นักท่องเที่ยว หรือคู่รักที่มาเกี้ยวพาราสีกัน ซึ่งที่นี่นั้นจะมีทั้งแกลอรี่ ห้องประชุมสัมมนา ร้านกาแฟ รวมถึงเรือยอร์ชให้แกรใช้บริการได้เลย แต่เนื่องจาก TheBay101 คงไม่ใช่ทางของเราก็เลยหันหลังเดินย้อนเข้าหาดแฮอุนแดอีกทีเพื่อไปที่ Haeundae Market จร้า

⌈ 006 Haeundae Market ⌋

เดินย้อนชายหาดมาไม่กี่นาทีก็จะเจอกับตลาดแห่งนี้ฮะ และด้วยความใกล้ไม่ไกลชายหาด ตลาดแห่งนี้เลยกลายเป็นแลนด์มาร์คต้องห้ามพลาดของนักท่องเที่ยวหลายหลายคน นอกจากความหลากหลายของสินค้า ราคาก็ยังถูกอีกนะนาย จะผัก ปลา สาหร่าย ของจะหญิง จะชาย จะเก้งหรือกวางก็มีให้เลือกช็อปตลอดทางเลยจร้า

และด้วยสายตาอันเฉียบคม เราพบว่าสังคมกำลังให้ความสนใจในร้านโนฮงมัลทูคัลกุ๊กซู ร้านติ่มซำเล็กเล็กที่สเป็คน่าจะเจ๋งเพราะมีแต่คนเพ่งมอง เราเลยลองเดินเข้าไปดูมั่งแล้วก็พบว่าคนนั่งเต็มร้านเลยแกร๊ ! ซึ่งความสุดคงต้องยกให้พี่คนขายเพราะเล่นเรียกลูกค้าด้วยท่าปั้นเกี๊ยวกันหน้าร้านเลยทีเดียว

ด้วยความหิวระดับท้องลั่นสั่นไป 8 ริกเตอร์ เราก็เผลอจิ้มแบบไม่ลืมหูลืมตา จนลืมดูว่าลูกมันใหญ่ขนาดไหน และเมนูอื่นอื่นที่เราสั่งไปก็มี Spicy Handmade Dumpling Kalguksu เป็นก๋วยเตี๋ยวสไตล์เกาหลีที่อัดแน่นกุ้ง หอย เห็ดเข็มทอง และต้องลองเส้นที่ร้านทำขึ้นเอง ความหนึบของเส้นพอมาอยู่ในน้ำซุปร้อนเด็ดเผ็ดพริกเกาหลีทำให้พี่อยากลุกขึ้นเต้นเพลงของ 2PM เลยจร้า ต่อมาคือ Kimchi Dumpling ด้วยใจจริงที่ชอบเกี๊ยวซ่ามากมาก พอสั่งเมนูนี้เข้าปากเราก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ อร่อยมากขนาดนั้นเลยหรอ? ป่าวป่าว กัดลิ้นตัวเองน่ะ (ฮ่าฮ่า หลอกๆ อร่อยจริงๆ ไม่อิงนิยาย)

แม้ว่าจะสั่งมาเยอะสุดสุด แต่เราก็หยุดกินไม่ได้ เพราะมันฟินอินระดับสวรรค์จริงจริง จนแทบต้องกลิ้งกลับห้องพักไปรักษากรดไหลย้อนกันทีเดียวว เป็นการปิดทริปเกาหลีวันที่หนึ่งซึ่งดีต่อใจมากมากนะคุณผู้ชม!!

Day 2 : Busan

⌈ 007 Heading Yonggungsa Temple ⌋ 

สายวันใหม่จิตใจแช่มชื่น (ถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นไม่ค่อยใช่แนวเราเท่าไรนะ ฮ่าฮ่า) เราก็ตื่นขึ้นมาพร้อมพาแกรแกรไป 3 แลนด์มาร์คก่อนจะฝากความหวังที่ฝั่งโซลกันต่อ อาบน้ำ อาบท่า ล้างหน้า แปรงฟัน เอาอาหารเช้าเข้ากระทบฟันแล้วเดินมั่นไป Check Out กราบโรงแรมขอฝากกระเป๋าแล้วค่อยมาเอาตอนเที่ยวเสร็จจร้าา สำหรับจุดเช็คอินฟินที่แรกนั้นก็คือ Haedong Yonggungsa Temple ซึ่งมาปูซานทั้งทีต้องมาทีนี่ให้ได้นะฮะ วัดแฮดอง ยงกุงซา สร้างขึ้นเมื่อ 600 กว่าปีที่แล้ว ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง ที่นี้ได้รับการบูรณะในส่วนหลักเมื่อปี 1970 จึงนับว่าเป็นวัดเก่าแก่ที่งามแท้ที่สุดในปูซาน ความเก๋ของวัดคือพี่เขาตั้งตระหง่านชัดอยู่ริมผาเลยฮะ

ไฮไลท์ของที่นี่คือคนท้องถิ่นเชื่อว่าต้องมาตอนปีใหม่เพื่อขอพรให้สมใจในตอนพระอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นบนผิวน้ำ หรืออีกหนึ่งช่วงเวลาคือเดือนเมษาตอนดอกซากุระบานจร้า จุดที่ต้องไปถ่ายรูปกันคือเจดีย์สามชั้นและสิงโตสี่ตัวซึ่งเป็นตัวแทนของความยินดี ความโกรธ ความเศร้าและความสุข หรือถ้ายังเดินแล้วยังสนุกอยู่ก็ไปเดินขึ้นบันไดดูอีก 108 ขั้นเพื่อฟินเสียงคลื่น เสียงน้ำและความงดงามของวัดกันยาวยาว

⌈ 008 Cheongsapo Fishing Villag ⌋

หลังจากเดินชมวัดกันพอเหงื่อออก เราก็อยากหาทางออกกับแลนด์มาร์คที่มีที่นั่งเลยพุ่งไปยังสถานี Jangsan และเรียกพี่ Taxi ให้ไปที่ ชองซาโพจร้า เพียงไม่นานนักจากวัดแฮดอง ยงกุงซา เราก็จะมาถึงอีกหนึ่งจุดต้องมา มีนามว่า Cheongsapo Fishing Village สถานที่แห่งนี้แม้ว่าจะไม่ป๊อบพร๊อบเยอะเหมือนกับที่ที่เราผ่านมา แต่ว่าด้วยความที่นางยังไม่ดังเลยมีมุมปังปังให้เราไปเทสหน้ากล้องซึ่งแนะนำให้ไปลองเก็บมุมประภาคารที่ตั้งตระหง่านสองสีแดงสีขาวกันได้เลย

นอกจากวิวเท่เท่ ยังมีคาเฟ่ ร้านค้า ร้านอาหารดี๊ดีให้เราอิ่มหมีพลีมันสุขสันต์หรรษา ซึ่งก่อนที่เรามาเกาหลีก็ได้ทำการบ้านเรื่องคาเฟ่มาแล้วเหวยยย เราก็เลยเดินเล่นชิวชิว ชมวิวทิวทัศน์จัดมุมสวยสวยด้วยภาพทะเลสีฟ้า ชายหาดสะอาดตา คือขออวยหน่อยว่า มาเกาหลีไม่ได้มีดีที่อ๊ปป้าหล่อหล่อแบบขอไปที เพราะทัศนียภาพที่นี่ทั้งเมือง ทั้งธรรมชาติก็เป็นอะไรที่ไม่ควรพลาดจริงจริงฮะ

ถึงแล้วเป้าหมายของเรา Roof top cafe’ คาเฟ่ที่บังเอิญเจอเข้าขณะหาข้อมูลเมื่อคืนวานกับผนังสีชมพูหวานหวานใต้เพดานฟ้ากว้าง เป็นที่ที่น่านั่งกางหนังสือเล่มโปรดโหลดเพลงที่ใช่แล้วโพสต์ท่าไปให้สุดจริงจริง

การตกแต่งของร้านเป็นปูนเปลือยสไตล์ ตัดกับงานไม้และพืชพันธุ์เล็กเล็กที่นำมาประดับเพิ่มความน่ารักให้กับคาเฟ่ได้เป็นอย่างดี และจุดเด่นที่สุดก็คงต้องสะดุดที่ Backdrop สีชมพูที่ดูเด่นมากมาก แกรสามารถฝากความหวังไปตั้งกล้องลองลั่นชัตเตอร์กันได้เลย ส่วนพี่พี่ที่ร้านก็น่ารักใจดี ใครไม่มีแฟนก็อาจอยากจะขอควงแขนได้เลยนะฮะ

ใครอยากเย้ยฟ้าท้าดินก็เชิญนั่ง Outdoor แต่ถ้าขอแบบกันแดดนิสนิส Indoor ก็ได้เพราะRoof top cafe’ มีมุมสวยสวยมากมายให้นายเลือกสรรค์ โดยเฉพาะ Balcony ซึ่งหันหน้าออกทะเลที่เก็บภาพมายังไงก็เก๋จริงจริงแกร๊!! เรารู้สึกดีมากมากที่ตัดสินใจมาที่นี่ เพราะถ้าถามเราอีกทีเราก็อยากให้แกรมากันให้ได้นะ

อ้อ!! ถ้าแกรมาในช่วงวันหยุด อาจต้องหยุดรอคิวนิดนึงนะฮะ ของเขาดังคนเลยมากันคับคั่งอยู่นะเออ

อัพของกินฟินที่กระเพาะเสร็จ เราก็เตร็ดเตร่มาเรื่อยเรื่อยยังไม่ทันเมื่อยก็พบกับอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ผู้คนที่นี่ให้ความสนใจซึ่งก็คือ The Blue Dragon Skywalk อีกหนึ่ง Skywalk เสียวเสียวที่ควรไปเที่ยวถ้าไปปูซานจร้า Skywalk แห่งนี้เป็นหนึ่งในสามทางเดินลอยฟ้าแห่งเมืองปูซานที่เราผ่านมาแล้วสองก็เลยเดินได้คล่องไม่เสียวท้องเท่าไร ส่วนที่มานั้นก็ว่ากันว่าเป็น Design ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมังกรฟ้าที่บินลงมาปกป้องหมู่บ้าน Cheongsapo ฮะ

The Blue Dragon Skywalk นั้นจะมีรูปทรงเป็นเสี้ยวพระจันทร์ที่หันหน้าออกสู่ท้องทะเล ส่วนวิวก็จะเก๋เก๋กับทำเลชายฝั่งของ Cheongsapo ซึ่งที่นี่เองก็ขึ้นชื่อเรื่องวิวพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตกเช่นเดียวกับ Skywalk อีกสองที่ที่เราไปมาเลยจร้า ทว่าที่เราชอบที่แห่งนี้มากที่สุดก็คือจุดที่เรายืนมองไปจะเห็นทิวทัศน์ไกลไกลของชายหาด ดูสะอาดตา สบายใจ ถ่ายรูปไปพลางสูดหายลึกลึกไปยังไงก็ฟิน

⌈ 009 Gwangalli Beach ⌋ 

จากย่าน Cheongsapo ใช้เวลาไม่นานมากนักก็จะมาโผล่ Gwangalli Beach เพื่อส่งท้ายเมืองปูซานสำราญใจแห่งนี้ Gwangalli Beach ทำให้เรากรี๊ดสุดขีดกับหาดทรายโคตรสวยด้วยทรายโคตรนุ่ม และมุมของสะพานแขวนที่แสนจะโรแมนติค บรรดาคู่กิ๊กกั๊กเลยมาแสดงความรักที่นี่มากมายเลยแกร นอกจากนั้นชายหาดที่นี่ยังสะอาดฝุดฝุดที่บ้านเราควรเอาจุดนี้เป็นเยี่ยงอย่างจริงจริง

ว่ากันว่าคนจะแน่นหนามากันเต็มไปหมดยามจรดเย็น ครอบครัวคนเกาหลีชอบมาใช้เวลากับแฟมิลี ณ ที่แห่งนี้ทั้งพายเรือ ว่ายน้ำ หรือจะตามกันมาดูกิจกรรม มาเดินเล่นขำขำหาคาเฟ่ชิคชิคนั่งชิลชิล แต่เวลาของเรามีน้อยนิดไม่งั้นชีวิตอาจไม่ทันรถไฟ อย่างไรก็ตามความดีงามของปูซานก็รับประทานใจเราไปอย่างจัง และก็ตั้งใจไว้ว่าต้องมาอีกครั้งแน่นอน (อย่างนี่มันต้องถอน!!) ส่วนวันนี้เราต้องขอตัวนั่ง  KTX จากปูซานกลับไปสานต่อความชิคของเกาหลีที่กรุงโซลนาจา แล้วค่อยเริ่มตลอนอีกครั้งกับเช้าวันใหม่ใจกลางเมือง

อันย๊องงงง!!!

Day 3 : Seoul

⌈ 010 Seochon Village ⌋

อรุณเบิกฟ้า อ๊ปป้าโบยบิน จากที่ฟินสุดสุดเมื่อวาน เช้านี้ที่โซลเราก็ขอประเทืองปัญญาสรรหาสิ่งดีดีที่หมู่บ้านซอโซน Seochon Village หมายถึงหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกซึ่งอิงตามที่ตั้งของนางที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระราชวังเคียงบังกุง พระราชวังที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงโซล โดยลักษณะของตัวหมู่บ้านจะเป็นอาคารชั้นเดียวสไตล์ฮันอ๊ก (Hanok) แบบดั้งเดิมของเกาหลีจร้า

เดินเล่นที่นี่จะมีฟีลเหมือนเดินอยู่ในเขาวงกตขนาดใหญ่ ที่เราจะได้เซอร์ไพรส์กับจิตรกรรมฝาผนังและภาพวาดน่ารักน่ารักให้แกรพักถ่ายรูปกัน นอกจากนั้นยังมีแกลอรี่ ที่พัก ร้านอาหารเกาหลี มีของระลึกขาย เสื้อผ้ามากมาย และยังมีพวกงาน Craft ให้เราไปเก็บภาพหรือจะซื้อกลับมาเป็นของฝากก็ดีมากนะแกร!! แต่ด้วยความที่เวลามันเร่งเราจึงเล็งเก็บภาพเฉพาะร้านที่ดีต่อใจมากฝาก

ประเดิมเจิมกันที่ Tongin Sweet ร้านทาร์ตไข่รสชาติดี๊ดีการันตีความอร่อย จากรูปเซเลปไม่น้อยที่ติดอยู่ในตัวร้านเล็กเล็กสีขาว แพรวพราว wow สายตาด้วยบรรดาขนมแป้งกรอบหน้านุ่มดูชุ่มลิ้นน่ากินเป็นที่สุด แบบแค่เดินผ่านก็อยากหยุดชิมล้ิมลองแล้ว นอกจากนั้นแม่ค้าก็สปีคอิ้งลิชฟุดฟิดฟอไฟได้คล่องแคล่ว กินขนมไปเม้าท์ไปก็เพลินเลยจร้า

เราขอโม้ถึงความอร่อยที่กินบ่อยบ่อยก็ไม่ค่อยเลี่ยนของทาร์ตไข่นี้ กลิ่นหอมของวนิลาลอยหน้าบนเนื้อสัมผัสนุ่มนุ่มของไข่ก่อนจะกัดลงไปโดนแป้งกรอบกรอบ แน่ใจได้เลยว่าทาร์ตไข่ที่นี่คือคำตอบของสายหวานโดยเฉพาะเมื่อทานคู่กับกาแฟหรือเครื่องดื่มแก้วโปรดนะฮะ (ถ้าเราจำไม่ผิดราคาของนางน่าจะอยู่ที่ 2,200 วอนนะ)

เดินถัดมาจากร้านไข่ไปนิดนึงก็จะมาถึง book store มีนามโก้โก้ว่า Dae-o Bookstore จร้า ร้านหนังสือแห่งนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมามากกว่า 60 ปีทั้งสภาพร้านและเจ้าของร้านซึ่งก็คือคุณยาย กวัน โอ นัมที่ทักทายลูกค้าด้วยยิ้มอยู่เสมอ นอกจากนั้นหนังสือในร้านยังเหมือนยาน Time Machine ที่จะพาเราเข้าถึงซึ่งอดีตที่ผ่านมาของเมืองซอโชนอย่างเห็นภาพ และติดติดกันกับร้านคุณยายก็จะเป็นร้านหนังสือของหลานคุณยายที่มีชื่อว่า Ttaengmoban 땡모빤 จร้า

สังเกตดีดีหน้าร้านจะพบป้ายว่าห้ามถ่าย เราเลยไปขอคุณยายว่าเราต้องการจะโปรโมตร้านหนังสือแห่งนี้ไปที่ไทยแลนด์ดินแดนดิจิตัล คุณยายก็ใจดีมีลิมิตให้ 10 รูปพอลูบลูบคลำคลำไม่ช้ำใจ เลยได้ภาพด้านล่างซึ่งเป็นมุมมหาชน ทั้งดาราทั้งตากล้องจ้องจะมาถ่ายหลายหลายหนเพื่อเอาไปให้คนดูกันนะ แต่ถ้าแกรแกรมาแล้วไม่กล้าขอถ่ายก็ไม่ต้องอายเพราะที่นี่ใช้มือถือเก็บภาพบรรยากาศได้จร้า (เขาห้ามแต่กล้องไง)

ที่นี่ไม่ใช่เพียงร้านหนังสือธรรมดา เพราะแกรสามารถมานั่งอ่านหนังสือพร้อมถือกาแฟอเมริกาโน่จิบไป ชิลไป เสพกลิ่นกระดาษไปได้ตามอัธยาศัย แต่อย่าสั่งเมนูอะไรที่ไม่ใช่อเมริกาโน่นะเพราะที่นี่มีอยู่เมนูเดียว ฮ่าฮ่า

อีกหนึ่งไฮท์ไลของหมู่บ้านแห่งนี้ที่สายกินแบบเราต้องปราบปลื้มนั่นก็คือ  Tong-In Market อยากให้เล่าถึงตลาดแห่งนี้ว่ามีอะไรขายบ้างประวัติความเปนมาเป็นไงบ้าง ใครสะดวกกินไปเดินไปชิมร้านนี้หน่อย ร้านนั้นหน่อย ก็จะฟินฟินเพราะมีให้เลือกเยอะ

อีกหนึ่งไฮไลท์ของหมู่บ้านแห่งนี้ที่สายกินจะฟินและอินสุดสุดคือต้องไปหยุดแวะที่ Tong-In Market (ทงอิน มาร์เก็ต) ตลาดเด็ดที่เคยเป็นชุมชนของคนญี่ปุ่นสมัยรุ่นล่าอาณานิคมจร้า ที่นี่มีร้านอาหารอร่อยอร่อยให้แวะบ่อยบ่อยถึง 75 ร้าน แต่ก่อนจะได้ทานเราต้องไปแลกเหรียญโบราณเพื่อนนำไปซื้ออาหารนั่นเอง ซึ่งเราจะถือถาดอาหารหนึ่งกล่องและท่องไปเลือกดูเมนูที่อยากกินกัน และเมื่ออาหารเต็มกล่องนั้นก็สามารถเดินย้อนไปหา Cafe เพื่อไปนั่งเก๋เก๋ทานกันได้เลย (ปล. ที่ Cafe นางจะมีไมโครเวฟไว้ให้อุ่นอาหาร มีบริการน้ำเปล่ากับซุปฟรีด้วยนะแกร)

หรือถ้าใครติดจริตผู้ดีไม่อยากเดินปรี่หาของกิน ก็ลองไปฟินกับร้าน 인왕식당 หรืออินฮวังชิกทังที่ดังมากมาก เพราะหน้าร้านมีรูปดาราเซเลปแปะประกาศเต็มไปโม้ดดด ที่จริงเราก็ไม่รู้หรอกว่านางดัง แต่เห็นผู้คนอุ่นหนาฝาคั่งเดินไปยังข้างในเราก็เลยตามไปดูมาฮะ

เมนูที่โดนก็มีหมูผัดสไตล์เกาหลี ซุปเนื้อวัว ข้าวเปล่า และพี่สาวเขาก็จัดเครื่องเคียงมาอีก 4 อย่างที่หลังจากได้ทานแล้ววางช้อนส้อมไม่ได้จริงจริงแกร๊ หมูผัดคือดีงาม กินแล้วต้องตามด้วยซุปเนื้อวัวเปื่อยเปื่อย ถ้ากินไปเรื่อยเรื่อยแล้วเลี่ยนก็ตัดด้วยผักดองกิมจิ เป็นเซ็ทเมนูไม่ต้องตริตรองแล้วมาลองกันได้เลยจริงจริง

⌈ 011 Bukchon Village ⌋

หลังจากอิ่มจนกลิ้งได้จากตลาดทงอิน เราก็ย้ายพุงปลิ้นปลิ้นเพียงประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะมาพบหมู่บ้าน     บุคชอนฮันอ๊ก อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่เราอยากให้แกรมามากมากที่เกาหลีใต้ เพราะแม้ว่าความเจริญเข้ามาที่ประเทศนี้มากแค่ไหน ก็ไม่อาจเปลี่ยนสไตล์ของหมู่บ้านที่รักษาอาคารบ้านเรือนเก๋าเก๋าเหมือนเกาหลียุคเก่าแก่ นอกจากนั้นอาคารบางหลังยังได้รับการปรับเปลี่ยนเป็นศูนย์วัฒนธรรม เกสต์เฮ้าส์ ร้านอาหารไว้บริการนักท่องเที่ยวแบบครบวงจรเลยจร้า

ความดีงามอีกอย่างก็คือ หมู่บ้านแห่งนี้ล้อมรอบด้วยสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เช่น พระราชวังเคียงบกกุง(Gyeongbokgung Palace), พระราชวังชางด๊อกกุง (Changdeokgung Palace) และ ศาลเจ้าจองเมียว (Jongmyo Shrine) ซึ่งเราสามารถเดินไปเที่ยวชมต่อกันได้เลยแกร๊

⌈ 012 Ikseondong ⌋

ช่วงเวลาแห่งการฟินอินกับวัฒนธรรมเกาหลียังไม่จบ เพราะเราจะพานั่งใต้ดิน Jongno 3(sam)-ga Exit 4 เพื่อออกมาพบขุมทรัพย์เลอค่าที่ต้องค้นหาในเมืองแห่งนี้ เพราะพี่เขาฮิปสุดสุดในโซล ขนาด Blogger เกาหลียังคุยโวว่าอย่างนั้นเลยแกร๊กับหมู่บ้าน อิกซอน ดง ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่มีลักษณะแบบโบราณ (ฮันอ๊ก) ที่ปัจจุบันมีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของ มีร้านรองเท้าให้ลอง และอีกหลายหลายสิ่งที่ดีจริงจริงจนต้องบอกต่อ ซึ่งแต่ละจุดแต่ละมุมต้องเป็นที่ชอบพอของคอกล้องแบบเราเราแน่นอน (เชื่อพี่สิพี่ไปมาแล้ว)

และอย่างที่บอกว่ามีร้านรวงเป็นยวงเยอะมากมาก เราก็ขอเอาที่เป๊ะเป๊ะปังปังมาฝากแกรแกรละกันเริ่มที่ 1920 Korea Restaurant and Bar (Gyeongyangsik 1920) ซึ่งเราอยากบอกว่ากรุณามาต่อแถวเร็วเร็วเลยแกร๊เพราะคิวนางยาวเยียด จนเราก็เครียดที่อดกินเหมือนกัน ส่วนเมนูนั้นเห็นว่าจะออกแนวเกาหลีทวิสต์ที่ได้แนวคิดมาจากร้านอาหารตะวันตกในญี่ปุ่นจ้า ปอลอ ร้านนี้เขามีชื่อเสียงมา 20 – 30 ปีแล้วนะ

ร้านต่อมาที่ลูกค้าก็เต็มเช่นกันคือร้าน Sik Mool คาเฟ่เท่เท่ที่ตกแต่งด้วยปูน Rustic และคุมโทนด้วยบรรยากาศสีขาวดำทำให้คลาสสิคมากมาก ซึ่งก็ไม่แปลกใจว่าทำไมร้านนี้ถึงแนวได้ใจเพราะเจ้าของเขาคือ Fashion photographer Louis Park จร้า โดย Concept ของพี่เขานั้นคือการพบปะกันอย่างงดงามของวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก และคงไม่ต้องบอกว่าพี่เขาทำได้ดีแค่ไหน เพราะที่นี่แล้วดีต่อใจมากเลยแกร๊ หลังคาแบบเกาหลี กระเบื้อง อาคารแบบฮันอ๊ก ลานสำหรับดูดบุหรี่ พี่เขาก็ผสมผสานกันออกมาได้ดีไม่มีที่ติเลย

สั่งกาแฟเย็นเย็นมานั่งดูคนเล่นเพราะเรามาคนเดียว นี่ถ้ามาเป็นคู่ก็จะถ่ายรูปลงโซเชียลประกาศให้โลกรู้ว่ากรูอยู่ในร้านฮิตติดใจคนเกาหลีจนยกให้ที่นี่เป็น Trendiest Nightspots เลยนะ (แหล่งท่องเที่ยวที่ฮิตยามค่ำคืนน่ะ)

ร้านสุดท้ายที่เราอยากให้คำชมและผู้คนนิยมมาก็คือ Madang Flower Cafe’ *(มาแดงฟลาวเวอร์คาเฟ่) ร้านที่ดูผิวเผินแล้วอาจมองดูเหมือนร้านดอกไม้ทั่วไป แต่พอเข้าไปข้างในจะพบว่าที่นี่เป็นคาเฟ่ที่ดี้ดีย์ การตกแต่งภายในคล้ายเรากำลังไปนั่งปิคนิคกับกิ๊กในฤดูใบ้ไม้ผลิท่ามกลางทุ่งดอกไม้ ซึ่งทางร้านยังมีไว้สำหรับขายหรือจัดสอนจัดช่อดอกไม้ด้วยนะ

พอมุดเข้าไปในร้านก็จะพบกับเมนูของกินที่มีให้เลือกฟินมากมายไม่ว่าจะเป็นชากาแฟ หรือจะเครื่องดื่มทั้งของลูกเด็กเล็กแดงจนคนสูงวัยก็เตรียมให้จร้า ส่วนโซนรับประทานก็ออกแนวหวานหวานแบบสงบร่มเย็นด้วยสีเขียวจากต้นไม้ ผ่อนคล้ายด้วยเฟอร์นิเจอร์แนว Earth-tone ซึ่งโดนใจวัยรุ่นเกาหลีที่มาเที่ยว มาดื่ม มากิน มาฟินกันเต็มร้านไปหมดเลย

ถ่ายรูปให้ดูยับขนาดนี้ เหลือแค่คนดีบินตามไปดู ไปชิม ไปล้ิมลองรสด้วยสัมผัสของตัวเองแล้วล่ะนะ

⌈ 013 Lotte World Tower ⌋

หลังจากอิ่มจนหนำใจไปกับความชิคชิคคูลคูล เราก็มาดูตึกที่สูงเป็นอันดับ 6 ของโลกและสูงที่สุดในเกาหลีที่ลอตเต้เวิล์ดทาวเวอร์กันนะแกร๊ สถาปัตยกรรมดี้ดีย์ที่มีแรงบันดาลใจในการสร้างจากวาดเซรามิกเกาหลีและพู่กันเขียน ซึ่งเราสามารถขึ้นไปดูวิวเนียนเนียนแบบ 360 องศาเลย

ด้วยเกียรติของข้า ข้าสัญญาว่า วิวด้านบนมันน่ายลสุดสุด หัวใจแกรจะเต้นไม่หยุดกับทัศนียภาพที่สวยอย่างน่าตะลึงของกรุงโซล ภาพอาคารบ้านเรือนใต้ก้อนเมฆที่กำลังเคลื่อนตัวช้าช้า ภาพมุมสูงของที่ไกลสุดลูกหูลูกตาเป็นประสบการณ์อันมีค่าที่อยากท้าให้มาลองจริงจริงแกร๊

การเดินทางก็ไม่อยากก็ฝากไว้ดังนี้นะฮะ
– รถไฟใต้ดินสาย 2 ลงที่สถานี Jamsil Station Exit 1 หรือ 2
– รถไฟใต้ดินสาย 8 ลงที่สถานี Jamsil Station Exit 10 หรือ 11

⌈ 014 Starfield Library ⌋

อิ่มวิวจากมุมบนบน ก็มาค้นหาความรู้ที่แลนด์มาร์คน่าดูแห่งหนึ่งนามว่า Starfield Library หรือ (พยอลมาดัง โทซอควัน , 별마당 도서관) ห้องสมุดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ย่านกังนัม ในห้างล้ำล้ำนามว่า Starfield COEX Mall (스타필드 코엑스몰) หนังสือกว่า 50,000 เล่มจัดเรียงอยู่เต็มชั้นให้นักท่องเที่ยวได้ดูกันเพิ่มร้อยหยักรักสมองประลองปัญญากันไปจร้า

ที่อะไร๊มีหนังสือให้อ่าน มีคาเฟ่ให้ทาน แถมยังตกแต่งอย่างงดงามตระการตาจนสามารถอวยได้ใครอยากมาก็มาเลยแกร๊ จะสายกิน สายฟิน หรือจะแบกงานก็แสนสบายเพราะมีทั้งไวไฟและปลั๊กจัดไว้ให้เยอะมากมาก เรานั่งอยู่ตรงนี้สักพัก เก็บภาพสักครู่ สนใจอะไรก็ไปเดินดู แล้วก็เก็บภาพหรูหรูมาฝากแกรแกรกัน และหลังจากที่พอใจในผลงานเราก็ซมซานกลับที่พัก อิ่มอก อิ่มใจในทริปดี๊ดีย์ไปอีกหนึ่งวัน

Day 4 : Seoul

เช้าวันที่ 4 กับทริปดีดีที่มาคนเดียว และต่อให้เป็นอโลนทริปในเซ้าท์โคเรียเราก็ลุยไม่เพลียและยังคงตื่นเต้นต่อไปกับกรุงโซลเมืองสุดโก้แห่งเกาหลีใต้จร้า เอาล่ะ หลังจากล้างหน้าล้างตาอาบน้ำเสร็จเราก็ระเห็จระเหินมาอยู่ที่ย่าน Mangwon-dong (มังวอนดง) และกำลังตรงไปที่ร้าน Cafe ที่ฮอตที่สุดในเมืองนี้จร้า

⌈ 015 Zapangi Cafe’ ⌋

แม้ว่าเกาหลีจะมีคาเฟ่เท่เท่มากมายแต่ที่พลาดไม่ได้ก็คือ Zapangi Cafe’ ร้านกาแฟเก๋เก๋ที่กำลังดังสุดสุดกับจุดเช็คอินมุ้งมิ้งมุ้งมิ้งสีชมพูซึ่งถ้าไปดูถึงจะรู้ว่านั่นคือประตูตู้หยอดเหรียญว่ะเห้ย!! ตอนแรกเราก็งงงงว่าจะตรงเข้าไปได้อย่างไรจนต้องใช้วิธีแอบดูชาวบ้าน แล้วทำตัวเป็นงานเดินเข้าไปโลด (ฮ่าฮ่า)

จุดเด่นของที่นี่ไม่บอกก็น่าจะรู้ว่าคือทางเข้าสีชมพูนั่นเอง ส่วนการตกแต่งแบบลอฟต์ลอฟต์ก็ตอบโจทย์การลั่นชัตเตอร์ของบรรดาเธอเธอมาก เพราะดูจากในร้านแล้วน่าจะเป็นแนวลากแฟนมาเซลฟี่ทำ Profile Picture ดีดีกันไป (ลูกค้าที่นี่จะเป็นสตรี 90% เราก็เลยนั่งเล่นย้าวยาววววว) และด้วยความเป็นปูนเปลือย ทำให้คนที่มาจะทำตัวเรื่อยเรื่อยสนองความชิล ยิ่งเฟอร์นิเจอร์ไม้ด้านใน ยิ่งให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แต่ก็ไม่ได้น่าเบื่อเมื่อตัดกับของประดับสีชมพูชมพูเลยดูเป็นสถานที่ที่เราไปนั่งพักแล้วคนจะทักว่าดูเด็กลงไปนิดนึงเลยแกร๊

อย่างที่เกริ้นไว้ว่าอะไรอะไรก็เป็นสีชมพู พอมาเจอเมนูนี่ถึงกับร้องโอ้โห เมื่อกาแฟในแก้วสีชมพูมาคู่กับวิปครีมก้อนโตสีม่วงพ่วงมาด้วยของตกแต่งคล้ายคล้ายไข่มุกสร้างความสุขให้แก่เราจริงจริง ยิ่งเค้กทีรามิสุที่บรรจุในกระป๋องนี่ก็ขึ้นกล้องมากจนเราไม่อยากจะกินพวกนางเลย….ง่ำ!? แต่มันก็อร่อยแฮะ ฮ่าฮ่า

⌈ 016 Leeum, Samsung Museum of Art ⌋

หลังจากตามพลังคาเฟอีน ก็ได้เวลาขยับอดินาลีน เสพความศิลป์ ฟินกลิ่นอาร์ตที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะลีอุมซัมซุงที่เรามุ่งหน้าเลือกมาตั้งแต่เมื่อคืน พิพิธภัณฑ์ศิลปะลีอุมซัมซุงจัดแสดงนิทรรศการศิลปะทั้งดั้งเดิมและทันสมัยที่เกิดจากศิลปินทั้งในและนอกประเทศ ตัวพิพิธภัณฑ์จะแยกออกเป็น 2 โซน

โซน 1 ศิลปะตัวอักษรจากพู่กัน ภาพวาด ศิลปะเซรามิกและงานหัตถกรรมโลหะ
โซน 2 ศิลปะสมัยใหม่และศิลปะร่วมสมัยต่างต่าง ส่วนใครที่คิดว่าฟังภาษาโคเรียไม่เข้าใจ เขาก็มีออดิโอไกด์ให้จร้า

เดินชิลมาตรงโซนเปิด ใจเราก็เตลิดกับผลงานลูกกลมกลมสเกลเท่เท่ที่ดูเก๋มากอันมีนามว่า Tall Tree & The Eye ซึ่งถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าเจ้าของจะเป็นคนอินเดียที่ใช้เวลาหลายปีกับไอเดียชิ้นนี้ และอีกผลงานคือบานกระจกสะท้อนฟ้านามว่า Sky Mirror ซึ่งเจ้าของก็คนเดียวกับลูกกลมกลมเช่นกันโดยทั้งของสิ่งนั้นสะท้อนความเชื่อของศาสนาฮินดูนะฮะ

ถ่ายรูปด้านหน้าจนหนำใจ เราก็ตรงดิ่งไปซื้อตั๋วเข้างานที่ประมาณ 10,000 วอนและเข้าไปเดินร่อนภายในพิพิธภัณฑ์เลยจร้า และอย่างที่เราบอกว่านางที 2 โซนก็ลองสังเกตเอาว่าเขาให้ถ่ายรูปได้หรือไหม ถ้าถ่ายได้และจุดไหนที่พอใจก็ใส่ไปอย่าหยุดยั้งจร้า

เดินเสพอาร์ตจนขาเป๋ ก็ขอเทมานั่งพักสักประเดี๋ยว แต่นั่งได้แป๊บเดียวก็เผลอตื่นตาตื่นใจกับการตกแต่งภายในร้านกาแฟ สมกับเป็นพิพิธภัณฑ์เพราะทุกสัดส่วนนั้นก็อาร์ตหมดเลยว่ะเห้ย!!

⌈ 017 Tiravanto Beverage @ Dessert lab ⌋ 

เสพศิลป์จนฟินใจ เราก็ยังคงเดินเที่ยวไปในย่านอิแทวอนของเมืองโซล ซึ่งเราขอการันตีว่าร้านคาเฟ่ที่โซลนั้นโก้จริงจริง (ติ๊ ดี ตี ดิ๊ด ตี ดิ๊ด ติ๊ด ตี่ ตี่ ดิว..) ยิ่งพอมาถึงร้าน Tiravento (티라벤토) ร้านที่อาจดูโหลโหลไม่มีอะไรโดดเด่น จนกระทั่งเราได้ไปเห็นเมนูเด็ดของทางร้านเว้ยยย…

ใครติดภาพบิงซูแบบเดิมเดิมที่เป็นน้ำแข็งเย็นเย็นนุ่มนุ่มชุ่มไปด้วยหน้าต่างต่างให้ลืมไปก่อน เพราะตอนนี้มีบิงซู Designใหม่เก๋ไก๋ไปด้วยเนื้อสัมผัสที่ยาวเป็นเส้นคล้ายเป็นฝอยทองเลยแกร๊ นางจะมาคู่กับไอศครีมและเครื่องเคียงเล็กน้อยซึ่งเราขอรับรองว่าอร่อยมากมาก สำหรับคนที่อยากมาก็ไม่ยากแค่เพียงไปที่ Itaewon Station Exit 4 เลยฮะ

⌈ 018 Seoullo 7017 ⌋

ฟินจากบิงซู เราก็มานั่งดูนั่งเล่นยามเย็นกันที่ Seoullo 7017 สวยลอยฟ้าใจกลางโซล
ซึ่งเป็นโปรเจ็คที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1970 ที่เปลี่ยนไฮย์เวย์ให้เป็นทางเดินเก๋เก๋สำหรับผู้คนจร้า ซึ่งจริงจริงแล้วเนี่ย โปรเจ็คนี้ยังมีแผนการจะขยายต่อไปในการพัฒนาพื้นที่ที่ด้อยความเจริญให้น่าเดินน่าเที่ยว และให้ชาวบ้านมีส่วนเกี่ยวข้องเช่นมาจับจองพื้นที่ขายของซึ่งเราคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าลองปรับปรุงเข้ากับกรุงไทยแลนด์ดินแดน 4.0 จัง

นอกจากวิวดีดีที่แห่งนี้ยังมีคาเฟ่เล็กเล็กให้นั่งเช็คเด็กเด็กเกาหลี (ฮ่า) ปากก็กัดแซนวิชแฮมชีสกับดูดชาพีช ตาก็ดูหนุ่มหนุ่มสาวสาวเกาหลี บ้างมาเดี่ยว บ้างคี่ บ้างก็คู่ ส่วนหูก็เอ็นจอยกับลิสต์เพลงโปรดแบบโคตรชิล ใจบางบางก็ลอยห่างห่างออกไปกับวิว เรานั่งอยู่อย่างนั้นยาวยาวจนเริ่มหิวกันอีกครั้งก็ตัดสินใจไปเติมพลังกันที่ย่านเมียงดงจร้า

⌈ 019 Myeong-dong ⌋

จาก Seoullo 7017 นั่งรถไฟมาประมาณ 2 สถานีหรือถ้าอารมณ์ดีดีอยากจะเดินมาก็ได้เพราะสองข้างทางมีสิ่งต่างต่างให้ดูเต็มไปหมดทั้งร้านคาเฟ่ ทั้งผู้คนหรือจะยลเมืองก็ประเทืองสายตาจริงจริงฮะ

ย่านเมียงดงนี่คงไม่ต้องพูดมากกับความหลากหลายของสินค้าที่หาได้โม๊ดไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์และก็เป็นเหมือนชุมทางคนไทยที่จะมุ่งหน้าไปโดยไม่ได้นัดหมายเพราะขนาดเรายังเจอเจ้ที่บินมาด้วยกันซึ่งนางนั้นแต่งหน้าแต่งตัวเต็มมาจับจ่ายใช้สอยที่นี่เช่นกันฮะ นอกจากนั้นตลอดทางก็ได้ยินภาษาไทยอยู่ใกล้ไม่ห่างตัวเลยฮะ ส่วนลักษณะสถานที่จะมีความคล้ายสยามบ้านเราที่แบ่งเข้าเป็นซอยซอยให้ทยอยเดินได้เพลินใจก่อนจะร้องไห้เพราะเงินได้สลายจากไปแล้ว T T

แต่สาระสำคัญของการมาที่นี่ยามเย็น คือการได้ใจเต้นกับอาหารมากมายที่มีขายเรียงรายตามท้องถนน ส่วนเมนูที่ต้องไปชนก็ได้แก่คเยรันปัง แปลจังจังคือขนมปังหน้าไข่ที่กัดไปสองคำก็เกลี้ยงมือ หรือต่อด้วยต๊อกบกกี อร่อยดีที่น้ำซอส และอีกอย่างที่ได้ลองก็คือ ออมุก แผ่นปลาเสียบไม้ รสชาติก็อร่อยได้ใจกินไปก็ดีต่อสมองด้วยจร้า

กินของคาวจนใกล้จะเอียน ก็ตัดเลี่ยนด้วยน้ำผลไม้สดแท้แท้อย่างเลม่อนกับทับทิมก็ทำให้เรายิ้มกลับที่พักกับวันน่ารักน่ารักที่จัดไปครบจบทั้งชิล ชิม ช็อปเลยนะฮะ ส่วนวันนี้ราตรีสวัสดิ์จร้า

Day 5 : Seoul

⌈ 020 Ewha Womans University ⌋ 

ตื่นสายสายมารับวันสุดท้ายของเกาหลี เช็คเอ๊าท์แล้วเอากระเป๋าไปเก็บที่ล็อคเกอร์ของสถานีรถไฟ แล้วก็มุ่งหน้าไป Ewha Womans University มหาวิทยาลัยสตรีที่สวยอันดับต้นต้นของเกาหลีที่เลยนะแกร๊ การเดินทางก็ง่าย เราก็ไปสถานีรถไฟใต้ดิน Ewha Womans University Station เลยจร้า พอโผล่ออกมาก็จะพบกับสถานศึกษาที่มี Design คล้ายกับว่าเป็นปราสาทในเทพนิยาย สถานที่แห่งนี้ได้รับการก่อสร้างให้เป็นมิตรกับทางสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติรวมถึงให้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมอย่างสูงสุด และสุดท้ายก็กลายมาเป็นจุดท่องเที่ยวต้องห้ามพลาดอย่างหนึ่งในกรุงโซลนั่นเอง

ไฮท์ไลท์ที่แห่งนี้ก็จะมีทางเดินตัดภูเข้าที่เปิดให้นักท่องเที่ยวอย่างเราเราเข้าไปเก็บภาพความประจำใจได้ฟรีฟรี ความดี๊ดีย์คือเธอจะถ่ายมุมสูงเจาะลงไป หรือจะถ่ายใกล้ใกล้แบบมินิมอลก็สบาย เอาง่ายง่านที่นี้คือหนึ่งแลนด์มาร์คต้องอยากมาของขอกล้องจริงจริงฮะ

⌈ 021 Dongdaemun Design Plaza ⌋

จาก Ewha Womans University นั่งรถไฟสาย Seongsu Station อีกประมาณ 10 นาทีก็จะมาถึงที่ Dongdaemun Design Plaza หนึ่งในแลนด์มาร์คของเกาหลีที่ซี่รีย์ You Who Came From The Stars มาถ่ายไงแกร๊ สถานที่แห่งนี้คือ Art Exhibition Hall หรือสถานที่ที่ไว้จัดแสดงงานศิลปะ อีเวนท์ การประชุม หรือนิทรรศการต่างต่าง ที่เพิ่งเปิดไปเมื่อปี 2014 ภายด้วยความต้องการเชื่อมระหว่างวัฒนธรรมเกาหลีและศิลปะ มาป๊ะกับความทันสมัยและแฟชั่น และต้องการให้ที่นี่นั้นกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจแห่งใหม่ของชาวเกาหลีจร้า ส่วนด้านในรู้สึกว่าจะมี 5 โซนซึ่งก็เป็นทั้งพิพิธภัณฑ์ อาร์ตแกลลอรี คาเฟ่ดีดี และมีสวนสาธารณะอีกด้วย

ขนาดนักร้องนักแสดงยังมาทำ MV แล้วเราฮิปสเตอร์ขนาดนี้จะไม่มาได้อย่างไร เขาก็บอกอยู่ว่าที่นี่มันเส้นทางของสายอาร์ต ถ้าแกรพลาดก็คงต้องเสียใจไปชั่วชีวิตแน่แน่ เพราะด้วย Design ของตัวอาคารที่ได้รับการออกแบบจากอาจารย์สถาปนิกระดับโลกอย่าง “Zaha Hadid” ภายใต้ Concept Dream Design Play ด้วยการใช้ความโค้งมน โดยไม่ต้องมีเสา และเอาไฟติดตั้งให้ปังปังไปกับองค์ประกอบโดยรวมของสถานที่ฮะ

⌈ 022 Onion cafe’ ⌋

บันเทิงกับงานอาร์ตระดับโลกเสร็จ เราก็ขอชูทีเด็ดระดับเราบ้างกับร้านคาเฟ่ Onion cafe’ ร้านที่โคตรเท่สำหรับสายฮิปตัวจริงเท่านั้น ตัวร้านสร้างภายในตึกเก่าตั้งแต่ปี 1970 โดยไม่ได้ถูกจูนหรือเปลี่ยนแปลงมากไป จึงคงสไตล์ดิบดิบแต่ชิคชะมัดเลยแกร๊ สำหรับการเดินทางมาที่นี่ก็นั่ง MRT มาโผล่ที่ MRT สถานี Seongsu Sation (line 2) Exit 2 ได้เลยจร้า

ที่นี่ก็มีเมนูหลากหลายให้นายเลือกดู ส่วนครัวก็จะอยู่บนชั้นสองซึ่งที่ร้านนี้ก็ผลิตเบเกอร์รี่กันเอง และถ้าแกรเป็นสายชอบลองชิมคงต้องอิ่มตัวแตกกับเมนูขนมปังอันมากมายของที่นี่แน่แน่ เพราะแม้แต่เรายังฟิน พูดแล้วอยากกินอยู่เลย

เลือกเมนูแล้ว ก็คงไม่แคล้วต้องหาที่นั่งทาน ซึ่งโซนที่นั่งก็มีบานทั้ง indoor และ outdoor แต่ที่ขอแนะนำคือที่นั่งบนดาดฟ้าถ้าอากาศดีดีจะแฮปปี้มาก แต่เราไม่ได้มาในฤดูหนาวก็คงถึงคราวต้องไปหลบเพื่อพบแอร์ใน indoor แทนนะ

เมนูประจำของเราคืออเมริกาโน่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือขนมปังชาโคลที่พอทานคู่กันแล้วมันโอ้โหอร่อยมาก กาแฟขมขมกลิ่นฟรุตตี้ ที่ตัดกับความนุ่มชุ่มลิ้นลงตัวอย่างพอดีของขนมปัง ถ้าแกรมาอยากให้ลองสั่งแล้วมาเล่าให้ฟังมั่งว่าชอบไหมนะ

⌈ 023 Common Ground ⌋

หลังจากได้รับพลังงานสารกาแฟ เราก็ไปย่านคอนแดเพื่อเยี่ยมชม Common Ground Market ตลาดตู้คอนเทนเนอร์เท่เท่ที่รอเราไปเปย์ตังกัน ภายใต้ Concept Creative Connection ที่นี่จึงรวมผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์และมีดีไซน์เข้าไว้ด้วยกันให้วัยรุ่นมาเลือกสรรค์มาเลือกดูภายในตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมด 70 ตู้เลยนะ

Common Ground Market เปิดตัวเบ็ดเสร็จตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2015 ด้วย 5 โซนหลักหลักได้แก่ Street Market, Market Hall, Terrace Market, Market Ground และ Food Truck Market ที่เป็นโซนด้านนอกซึ่งเขาบอกว่าใช้จัด Event บ่อยบ่อยจนที่นี่ค่อยค่อยกลายเป็นแหล่ง Shopping ยอดนิยมแห่งหนึ่งในกรุงโซลไปเลยจร้า ส่วนวิธีการมาก็ง่ายง่าย นั่ง MRT Line 2 ลงสถานี Konkuk University Exit 6 จร้า

ก็จบลงกับ Solo trip in South Korea เที่ยวเกาหลีใต้ไปปูซานแล้วผ่านมาโซลกับ 5 วัน 4 คืนที่ตื้นตันใจสุดสุด เป็นที่ที่เหมาะสำหรับสายฮิป สายชิม สายชิว สายวิว หรือสายอาร์ตก็ต้องห้ามพลาดเด็ดขาด และเรายังสามารถมามันกับเกาหลีใต้ได้ในทุกฤดูเพราะจะเห็นผู้คน เห็นแฟชั่นและของกินในมุมมองที่หลากหลาย ถ่ายรูปได้สบายใจแน่นอน แต่สิ่งที่สำคัญมากมากจากทริปนี้คือการที่เราเห็นคนเกาหลีใต้ร่วมไม้ร่วมมือกันให้ความสำคัญกับการพัฒนาบ้านเมืองอย่างเป็นรูปธรรม และทำให้เมืองของเขาโคะตะระคูลน่าไปดูน่าไปเที่ยวตะล้อดตะล้อด

เชื่อเราเถอะว่าการออกเดินทางมันดี๊ดี มันอาจต้องมีเสียตังนิดหน่อย สอยเวลาเราไปบ้าง แต่สิ่งที่พบเจอระหว่างทางอาจเป็นคำตอบของคำถามที่แกรหามาทั้งชีวิตก็ได้นะ

จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น เหรอ ตามพวกเราไปสิเธอแล้วจะรู้เอ๊งง!!

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก