Things To See, Eat And Do in Singapore

ถ้าลองย้อนกลับไปในวัยเด็กใสๆตอนนั่งเรียนวิชาภูมิศาสตร์ แล้วกางแผนที่ดูเพื่อนบ้านใกล้เคียง ประเทศแรกที่เรามักจะจำได้ ขึ้นใจก่อนใครเพื่อนก็คงไม่พ้นสิงคโปร์ ไหนจะรูปร่างของประเทศที่เป็นเกาะใหญ่สูสีเบียดเสียดกับภูเก็ตบ้านเราแล้ว ที่นี่ยังเป็น สีสันของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ฝรั่งตาน้ำข้าวฝั่งตะวันตกก็ต้องอยากมาสัมผัสสีสันสักครั้ง นอกจากจะเดินทางไม่ไกลแล้ว ที่เที่ยวก็เด็ดจนเล่าให้เพื่อนฟังสามวันสองคืนก็ไม่หมด

ทริปนี้เราจะขอรวมไฮไลท์ที่เที่ยวน่าสนใจ และพาทุกคนไปจัดเต็มกับทุกสาย ทั้งสายธรรมชาติรักความเขียว สายแลนด์ มาร์คที่รักการอัพรูปลง Social สายกินไม่ยั้งหรือจะสายช้อปไม่หยุด คราวนี้ ก็คงถึงเวลาที่ต้องสแกนหาตั๋วโปรถูกๆ หาวันลาให้ลงตัว แล้วไปทักทายเซย์หนีฮ่าวพร้อมกันที่สิงคโปร์แล้วแหละ

หลังจากจองตั๋วได้แล้วสิ่งที่ควรนึกถึงเป็นอันดับต่อไปคือ การทำประกันเดินทางระหว่างประเทศนั่นเอง ตอนแรกเราเองก็เคยมองว่ามันไม่จำเป็นเท่าไหร่หรอก แต่พอเจอไฟล์ทดีเลย์บ่อยๆ กระเป๋าพังระหว่างทริปบ้างอะไรบ้าง เราเลยรู้สึกว่าการซื้อประกันมันขาดไม่ได้กับทุกการเดินทางจริงๆนะ อย่างประกันเดินทางระหว่างประเทศ ของ KBank ก็ให้ความคุ้มครอง คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปมาก ไฟล์ทดีเลย์ก็ไม่โดนเท กระเป๋าพังก็เคลมได้ ถ้าไม่สบาย หรือเกิดอุบัติเหตุที่ต่างแดน เค้าก็คุ้มครองเหมือนกันในจุดนี้ เป็นประกันภัยที่สบายกระเป๋า จ่ายหลักร้อยคุ้มครองหลักล้าน แล้วยังไม่ต้องตรวจสุขภาพด้วย

จุดเด่นความดีงามที่เราชอบของประกันภัยการเดินทางของ KBank นอกจากเบี้ยจะถูกและคุ้มครองได้ครอบคลุมแล้ว ขั้นตอนการซื้อประกันก็ง่ายมาก เรียกว่าอยู่ที่ไหนก็ซื้อได้ สะดวกทุกที่ทุกเวลาประหนึ่งเป็นการเดินเข้าเซเว่นอีเลฟเว่น เพียงแค่โหลดแอพ K PLUS ไว้ในมือถือ จากนั้นก็เลือกไอคอนต่างๆตามลำดับในรูป

เมื่อทุกอย่างพร้อมก็ถึงเวลาตามเราไปท่องแลนด์มาร์คให้สาแก่ใจ …

  • Fort Canning Park

เริ่มต้นที่แรกเอาใจสายธรรมชาติ เบรคสายตาไปกับอุโมงค์สีเขียวใจกลางเมืองกันก่อน ที่นี่เป็นสวนสาธารณะที่อยู่บนเนินเขา เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่แข่งกันโตให้ความร่มรื่นเป็นที่สุด เราลง MRT ที่สถานี Dhoby Gaut ออกทางออกที่เขียนว่า Park mall จากนั้นก็เดินข้ามแยกจะมีอุโมงค์เล็กๆพาเราไปยังที่นี่แห่งนี้ เมื่อถึงปลายอุโมงค์ให้ลองแหงนหน้ามองฟ้า รับลมเย็นๆ เราก็จะเห็นไม้เลื้อยสีเขียวปกคลุมรอบปากปล่องสวยงามราวกับทางเดินไปหาเจ้าชายในวอลท์ดิสนีย์ ถือว่าเป็นการจัดวางที่ลงตัวของสิ่งก่อสร้างและธรรมชาติได้ดีมากจริงๆ เอฟวายไอตรงนี้ว่าควรติดเลนส์มุมกว้างมาด้วย จะได้เก็บปล่องวงกลมครบวงไม่เบี้ยวไม่เอียงนะแก

  • Marina Barrage

ถ้านึกถึงเขื่อนของไทย ส่วนใหญ่เราก็มักไปนั่งชิลยามเย็นกันที่สันเขื่อนเท่านั้น ผิดกับเขื่อนของสิงคโปร์ ที่นี่เป็นเขื่อนกั้นน้ำที่มีการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ครบครันแบบสุดสุด มีทั้งสวนลอยฟ้าที่เป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่อยู่บนชั้นลอยไว้ให้นั่งเอนกายเล็งหนุ่มเล็งสาว หรือใครชอบแนวลุยลุยหน่อยก็มีศูนย์กิจกรรมทางน้ำให้ทำ อย่างการพายเรือคายัคโชว์ซิกแพค วันแพคกันได้เต็มๆ  เรารู้สึกเหมือนว่าเค้าสร้างที่นี่ให้เป็นแหล่งพักผ่อนของคนสิงคโปร์ในยามเย็นมาก คือตอนเย็นบรรยากาศดีคูณสิบมาก พระอาทิตย์ตกก็สวยจนหยิบกล้องมาตั้ง time lapse แทบไม่ทัน

จากจุดนี้ถ้าใครเริ่มเบื่อหนุ่มสาวเกี้ยวพาราสีแล้วละก็ แนะนำให้เดินต่อข้ามฝั่งไปที่ Marina East ด้วยสะพาน Marina Bridge จุดนี้ก็ถ่ายรูปสวยไม่แพ้กัน เพราะข้ามสะพานปุ๊บก็จะมองเห็น Landmark สำคัญของสิงคโปร์ได้เกือบหมดในเฟรมเดียว

  • Garden by the Bay

ถ้าใครมาถามว่าไปสิงคโปร์ต้องไม่พลาดกับที่ไหนบ้าง เราตอบได้ทันทีว่าหนึ่งในนั้นต้องเป็น Garden by the Bay อย่างแน่นอน ส่วนตัวเราไปแล้วประทับใจที่นี่นะ มันสวยเหมือนหลุดเข้าไปอีกมิติหนึ่งเลย ยิ่งถ้าได้มานอนดูโชว์ไฟจาก ซุปเปอร์ทรีส์ ด้วยแล้ว ให้เราอธิบายความฟินเป็นตัวหนังสือคงไม่พอในสามหน้ากระดาษแน่ๆ ฮ่าฮ่า ส่วนจุดเด่นอีกอย่างที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างเราได้ดี ก็คงจะเป็นเจ้าต้นไม้ขนาดใหญ่สูงลิบ รายล้อมไปด้วยไม้เลื้อยนี่แหละจ้า นอกจากนี้ที่นี่ยังมี Flower Dome เรือนกระจกที่จัดแสดงพืชในแถบเมดิเตอร์เรเนียน และ Cloud Forest ที่รวมพืชเขตร้อนหายากไว้เช่นกัน ใครเน้นคุ้มเราแนะนำให้ซื้อบัตรแพคเกจเดียวที่ครอบคลุมไปเลย รับรองว่าเดินเที่ยวได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ ถ้าไม่เมื่อยไปซะก่อนนะ

  • Marina Bay Sand

แลนด์มาร์คยังไม่หมดแต่เพียงเท่านั้น ขยับมาต่อกันที่ Marina Bay Sands รีสอร์ทขนาดใหญ่บนอ่าวมารีนาของสิงคโปร์ อาคารนี้ถือเป็นอาคารที่ตบตีราคาแล้วมีมูลค่าแพงที่สุดในโลกเลย มองไปด้านบนจะเหมือนมีเรือสำราญขนาดใหญ่มาจอดพักอยู่นั่นเอง นอกจากจะมีโรงแรมหรูหราแล้ว ก็ยังมีศูนย์ประชุมแสดงนิทรรศการ, โรงภาพยนตร์, สถานบันเทิง, และร้านค้าต่างๆไว้รอต้อนรับคนมีกะตังอีกด้วย ส่วนเราเป็นพวกอนาคตจะรวย ก็ขอเดินเก็บภาพบรรยากาศสวยๆจากมุมด้านล่างไว้เป็นที่ระลึกก่อนแล้วกัน สัญญาว่าครั้งหน้าจะต้องขึ้นไปจิบไวน์หรูบนนั้นให้ได้เลยเชียวละ

    

  • Helix Bridge

ด้วยความที่รูปร่างของสะพานแปลกตาเป็นอย่างมาก ได้แนวคิดมาจากรูปแบบของ DNA ที่เป็นเกลียวหมุนพันกัน ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะแว๊บไปถ่ายรูปด้วยซะหน่อย Helix Bridge หรือสะพานเกลียวอยู่ที่อ่าวมารีน่า ไม่ไกลจาก Marina Bay Sands เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างฝั่ง Marina Center ที่มีชิงช้าสวรรค์ Singapore Flyer กับฝั่ง Marina Southที่มีตึกเรือ Marina Bay Sands และ Garden by the Bay นั่นเอง ที่นี่ก็สวยยามค่ำคืนอีกเช่นกัน เพราะตลอดทางเดินก็จะเปิดไฟสวยงาม ถ้าใครพลาดถ่ายไฟช่วงปีใหม่ในไทยไป ก็ตบบ่าเบาๆไม่ต้องเสียใจไปนะ มาถ่ายทีนี้ก็สวยแปลกตาไม่แพ้กัน

  • The Merlion Park

แม้สิงคโปร์จะมี landmark ใหม่เกิดขึ้นเยอะมาก แต่ไม่มีที่ไหนทำลายความขลังของเจ้าสิงโตทะเลพ่นน้ำได้เลย แทบทุกคนถ้ามาสิงคโปร์ ไม่ว่าจะครั้งแรก ครั้งสอง หรือสามสี่ห้า ก็ต้องขอแวะถ่ายรูปเกร๋ๆเซลฟี่กับเจ้าสิงโตไว้อัพอวดเพื่อนลง Facebook กันทั้งนั้น ซึ่งเจ้าสิงโตทะเลสีขาวนี้มีที่มาด้วยนะเผื่อใครยังไม่รู้ เมื่อก่อนประเทศสิงคโปร์เคยเป็นที่รู้จักในชื่อว่า “Temasek” แปลว่าเมืองแห่งทะเล ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นชื่อ “Singapura” หรือเมืองแห่งสิงโต จากการที่ผู้ค้นพบเกาะได้เจอสัตว์รูปร่างคล้ายสิงโตกำลังยืนชมวิวอยู่ริมหน้าผาและมองลงมายังทะเล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมืองนี้ก็มีมาสคอตเป็น Merloin มาตลอด เอฟวายไว สิงคโปร์มี Merlion ทั้งหมดห้าตัวนะจ๊ะ แต่ที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวมีเพียงสามตัวเท่านั้น ใครรู้ว่าอีกสองตัวอยู่ที่ไหน อย่าลืมมากระซิบบอกกันบ้างละ

  • Universal Studios Singapore®

สวนสนุกระดับโลกที่มาในธีมภาพยนตร์ฮอลลีวูดได้ถูกรวบรวมไว้ที่สิงคโปร์แล้ว ที่นี่ถือเป็น Universal ที่ใกล้ที่สุด ห่างจากไทยเพียงประมาณสองชั่วโมงเท่านั้น ภายในสวนสนุกแห่งนี้ก็จะมีเครื่องเล่นมากมายถึงเจ็ดโซน และความตื่นเต้นเร้าใจรอเราอยู่ เรามองว่ามันเป็นสถานที่เหมาะสำหรับครอบครัว ลูกเด็กเล็กแดงก็มาเที่ยวได้ แอบเห็นบางบ้านพ่อแม่ตื่นเต้นกว่าลูกก็มี ฮ่าฮ่า ใครอยากลองอยู่ในฉากหนังประหนึ่งเป็นตัวพระตัวนางที่ผู้กำกับกำลังสั่งคัท ที่นี่ก็ได้รวมฉากในภาพยนตร์ไว้ให้เราเข้าไปถ่ายรูปแบบใกล้ชิดได้ด้วย แนะนำอีกหน่อยสำหรับคนที่ไปครั้งแรก ควรรีบไปตั้งแต่ตอนเปิดให้เข้าเลยก็ดีเพราะช่วงเทศกาลแบบนี้คนเยอะมาก

  • China Town

สายแลนด์มาร์คจบไปแล้วมาเปลี่ยนสายเป็นด้านวัฒนธรรมบ้างดีกว่า อย่างที่รู้กันดีว่าเดี๋ยวนี้ไม่ว่าไปที่ไหน พี่จีนแกก็ได้กระจายอาณานิคมไปหมดแล้ว ที่นี่ก็เช่นกัน ตึกรามบ้านช่องต่างถูกออกแบบย้อนยุคกลับไปในช่วงของเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้กาลังเฟื่องฟู สีสันสวยงามถ่ายรูปสวยมาก ย่านนี้เราจะเจอคนไทยได้บ่อย เดินแป๊บเดียวก็ได้ยินคนพูดภาษาไทยกันอีกแล้ว ไม่ต้องกลัวจะหลงเลย แต่เอาจริงพ่อค้าแม่ค้าเองก็พูดอังกฤษได้ดี หรือบางร้านนี่พูดไทยได้ชัดแจ๋วเลยก็มี จะซื้อของก็ต่อราคาได้ตามแต่ความสามารถในการต่อรองของแต่ละคน ฮ่าฮ่า ถ้าลองเลี้ยวหลบเข้ามาในซอยเล็กๆตามซอก เราก็จะเจอบริเวณที่เป็นตลาดนัด มีขายของฝากของที่ระลึกเพียบ อย่างพวงกุญแจ Merlion ที่เราบอก ที่นี่ราคาก็เบากว่าไปซื้อแถว Merlion มาก เพราะงั้นของฝากติดไม้ติดมือไปให้เพื่อน ให้ญาติ ก็จัดมันซะแถวนี้เลยดีกว่า

นอกจากนี้ที่นี่จะเป็นแหล่งช้อปปิ้งแล้ว ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจใกล้เคียงเดินเลี้ยวไปนิดเดียวก็ถึง ไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณท์ Chinese Heritage Centre, วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic temple), วัดแขก Sri Mariamman หรือย่าน night life ชีวิตกลางคืนชิคชิคคูลคูล อย่าง Ann Siang Hill ก็ไม่ไกลเช่นกัน

  • Red Dot Design Museum

ตึกสีแดงตั้งเด่นเป็นสง่าบนถนน Maxwell Road ไม่ไกลจากไชน่าทาวน์ เราเห็นครั้งแรกก็สะดุดตาสะกิดใจ ภายในตึกเป็นพิพิธภัณท์ที่จัดแสดงผลงานการออกแบบที่ได้รับรางวัล Red Dot Design Award จากเยอรมนี ทุกอย่างจะดูแบบเน้นดีไซน์เรียบแต่โก้เก๋มีดูน่าสนใจเป็นอย่างมาก ใครเป็นสายมิวเซียมก็ขลุกตัวอยู่ที่นี่ได้ทั้งวันแน่นอน การเดินทางมาก็ไม่ยาก ลง MRT ที่สถานี Tanjong Pagar แล้วออกทางออก E ถ้าสายตาไม่สั้นก็จะเห็นอาคารสีแดงตั้งอยู่ไม่ไกลจากทางออกเท่าไหร่แล้ว คราวนี้เดินอีกนิดขยับน่องหน่อยก็ถึงแล้วจ้า

  • Sri Mariamman Temple

พอเดินผ่านย่านไชน่าทาวน์ที่แสนจะจอแจวอแวแล้ว เราขอพาทุกคนไปหลบมุมหาความสงบในชีวิตกันบ้างที่วัดศรีมาริอัมมันต์ วัดแขกเก่าแก่ที่สุดของสิงคโปร์ สร้างขึ้นเพื่อถวายเจ้าแม่มาริอัมมันต์ ผู้ที่ใครก็ต่างเลื่องลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ในการรักษาอาการเจ็บป่วยมานักต่อนัก ธรรมเนียมการเข้าวัดแขกที่นี่ จะต้องล้างมือล้างเท้าให้สะอาด หลังจากนั้นก็เคาะระฆังก่อนเข้าวัดเพื่อเป็นการบอกพระเจ้าให้ช่วยประทานพรที่เราขอให้เป็นจริง ในวันที่เราไป เจอคนฮินดูมาทำพิธีกรรมเยอะมาก ทั้งเด็กแรกเกิด คู่บ่าวสาว ต่างก็มาที่วัดนี้เพื่อทำพิธีตามแบบฉบับของชาวฮินดู เราไม่แน่ใจชื่อพิธีเรียกว่าอะไรบ้าง แต่สัมผัสได้ถึงมนต์ขลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้

  • Tooth Relic Buddha Temple

มาเป็นแพคเกจต่อเนื่องหลังจากเข้าวัดแขกแล้ว ก็ทะลุมาวัดจีนในสไตล์ชาวพุทธดูบ้าง วัดนี้ชาวไทยจะรู้จักกันดีในชื่อของ วัดพระเขี้ยวแก้ว ยิ่งถ้าใครเคยมากับทัวร์ ต้องมีโปรแกรมพาไหว้พระขอพรที่นี่ชัวร์ บรรยากาศค่อนข้างเหมือนวัดจีนทั่วไปแต่สงบกว่า มีพิพิธภัณฑ์เรื่องราวศาสตร์ ธรรมะ จิตวิญญาณที่ผสมผสานระหว่างนิกายหินยานและมหายานเอาไว้ด้วย แถมชั้นบนสุดได้เก็บพระบรมสารีริกธาตุ พระเขี้ยวแก้ว(พระทนต์) ของพระพุทธเจ้าเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มากราบไหว้ขอพร

  • Little India

โอ๋…นายจ๋า แวะมาลิตเติ้ลอินเดียหน่อยมั๊ยจ๊ะ อีกย่านฮิตสุดคูลที่เราโคตรชอบ ตั้งแต่เสียงกริ่งจักรยาน ยันเสียงอาบังทั้งหลายที่ตะโกนคุยกัน มันทำให้ย่านนี้มีชีวิตชีวากระปรี้กระเปร่าเหมือนได้ดื่มน้ำเย็นเวลาอากาศร้อนเลยล่ะ นอกจากความวุ่นวายของชีวิตประจำวันและร้านค้าสองข้างทางแล้ว ลิตเติ้ล อินเดีย ยังเป็นแหล่งร้านอาหารอินเดียรสจัดจ้าน และแหล่งช้อปปิ้งของถูกที่ห้างมุสตาฟาด้วย สำหรับใครไม่เคยไปอินเดีย ไม่เคยได้สัมผัสกลิ่นเครื่องเทศหอมฟุ้งกระจาย มาที่นี่รับรองได้กลิ่นเต็มๆแบบไม่มีกั๊กแน่นอน ฮ่าฮ่า ส่วนโซนร้านค้าที่แสนคึกคัก ก็มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายกันได้แทบทุกอย่างตั้งแต่ เสื้อผ้าสาหรี่ ดอกไม้สด สนามแข่งม้า ไปจนถึงวัวควายจนได้ชื่อ Buffalo Road แต่ในปัจจุบันวัวควายอาจไม่มีขายแล้วก็เปลี่ยนไปขายของที่ระลึกจากใจอาบังแทน

 

  • Clarke Quay

จากท่าเทียบเรือในอดีตได้ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นศูนย์การค้าและแหล่งบันเทิงยอดฮิตยามค่ำคืนของสิงคโปร์ในปัจจุบัน ถ้ามาตอนกลางวันที่นี่ก็จะเป็นแค่ทางเดินริมน้ำไว้ให้เดินถ่ายรูป ชมสถาปัตยกรรมของตึกสวยเท่านั้น แต่พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปเท่านั้นแหละ ย่านนี้ก็จะเต็มไปด้วย แสง สี เสียงเพลงที่เปิดเรียกลูกค้ากันทุกร้าน เหมาะมากกับสายชิล สายเหงาที่จะมานั่งเลียบห้อยขาอยู่ริมน้ำ แล้วพกเครื่องดื่มจากรำข้าวเย็นๆมาสักกระป๋อง จิบไปดูเรือแล่นผ่านไป บางทีอาจจะหายเหงาเพราะมีคนมานั่งข้างๆเป็นเพื่อนก็ได้ ใครจะไปรู้ละ

  • Song Fa Bak Kut Teh

เอาใจสายเที่ยวมามากพอ ขอหาอะไรเข้าปากเอาใจสายกินไม่ยั้งบ้างดีกว่า ร้านแรกที่เราจะประเดิมกันเป็นร้านบักกุ๊ดเต๋ขึ้นชื่อของสิงคโปร์ คำว่า บัก-กุต-เต๋ แปลแล้วจะได้ว่า หมู-กระดูก-ชา หรือ น้ำซุปกระดูกหมูที่ปรุงรสด้วยเครื่องเทศเผ็ดร้อนนานาชนิด นอกจากบักกุ๊ตเต๋ที่เด็ดอร่อยจนซดน้ำหยดสุดท้ายแล้ว เครื่องเคียง ไม่ว่าจะเป็นหมูสามชั้นตุ๋น ขาหมู ไส้หมูตุ๋น ผักดอง และผัดผักต่างก็อร่อยจนอยากเดินไปยกนิ้วให้พ่อครัว ไม่รอช้าสั่งข้าวสวยร้อนๆมาให้ไว แล้วจัดให้เรียบอย่าให้เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว

  • Johor Road Boon Kee Pork Porridge

ร้านนี้ดีเด่น เน้นที่โจ๊กกับปาท่องโก๋อย่างที่เห็น บรรยากาศจะออกแนว Local นิดๆ เพราะไม่ใช่ร้านดังของนักท่องเที่ยว แต่ด้วยการทารีเสิร์ชของเราแล้ว ร้านนี้แหละที่เหมาะจะแนะนำให้มาลองเป็นที่สู้ดด ตัวโจ๊กไม่เหลว มีความเป็นเม็ดเคี้ยวได้นิดหน่อย ไม่ได้เหมือนโจ๊กเด็กน้ำใสแบบตลาดบ้านเรา โดยรวมแล้วรสชาติอร่อยเลยแหละ ยิ่งโรยท็อปปิ้งด้วยปาท่องโก๋บนหน้ายิ่งอร่อยจนแอบแย่งเพื่อนกินเวลามันเผลอ ฮ่าฮ่า เออเราสามารถสั่งได้นะ ว่าจะเอาหมูสับ หมูเด้ง เครื่องในอะไรบ้าง ค่าเสียหายต่อชามเพียงสามเหรียญเท่านั้น ถือว่าถูกและดี หาแบบนี้ในสิงคโปร์ไม่ง่ายเลย

  • Tian Tian Hainanese Chicken Rice

มาถึงถิ่นสิงคโปร์ทั้งที ถ้าไม่ได้ลองข้าวมันไก่ก็จะเหมือนมาไม่ถึงนะ เพราะฉะนั้นเราขอแนะนำร้านข้าวมันไก่ไหหลำ เทียน เทียน เป็นอีกหนึ่งในร้านที่มีรายชื่ออยู่ใน Bib Gourmand’s list ของ Singapore Michelin Guide ไม่ใช่แค่คนสิงคโปร์หรือนักท่องเที่ยวที่มาต่อแถวเข้าคิวกันเท่านั้น ขนาดพวกนักชิมระดับตำนานยังบินลัดฟ้ามากินกันไกลถึงที่นี่เลย ด้วยความที่คนเยอะมาก บางอย่างเราก็ต้องบริการตัวเอง สั่งเองยืนรอเองไม่มีพนักงานเสิร์ฟ ไม่มีมาถามว่า รับน้ำอะไรดีคะ ถ้าหิวน้ำก็เดินไปซื้อจากร้านข้างๆเอาแล้วกัน อยากให้ทุกคนเพ่งเล็งไปที่จานข้าวมันไก่ของเรา ไก่เนื้อแน่น ๆ สะอาดมีความนุ่มหนึบหนับไม่ทุบให้แบนแต๋เสิร์ฟพร้อมกับข้าวหอมร่วนแต่ไม่มันจนเกินไป มีรสชาติกลมกล่อมเป็นที่สุด ลงตัวกับเมนูไก่มาก ยิ่งพอได้น้ำจิ้มพริกน้ำส้มรสเปรี้ยวแล้วถือว่าคุ้มค่ากับการรอคอย คะแนนเต็ม สิบสิบสิบ ไปเลย

  • Ya Kun Kaya Toast

ถ้าออนล็อกหยุ่นเป็นร้านอาหารเช้าขึ้นชื่อติดดาวของไทยแล้ว ร้าน Ya Kun Kaya Toast ก็เป็นร้านอาหารเช้าที่มีชื่อเสียงของสิงคโปร์เช่นกัน มีการขยายสาขาความอร่อยนี้ไปไกลถึงหลายประเทศรวมถึงในไทยด้วย เราเองก็ไม่เคยไปลองสาขาในไทยหรอก แต่มาสิงคโปร์แล้วขอลองต้นฉบับแบบออริจินัลเลยดีกว่า เมนูของร้านมีให้เลือกไม่เยอะ เหมาะกับคนขี้เกียจคิดแบบเรามาก เซ็ตที่เราสั่งคือ Kaya Toast พร้อมไข่ลวกสองฟอง กับกาแฟดาหนึ่งถ้วย ในส่วนของขนมปังถือว่ากรอบบางดีมาก มีกลิ่นไหม้เล็กน้อยเหมือนเพิ่งออกมาจากเตาปิ้งร้อนๆ เทคนิคการกินให้อร่อยแบบชาวสิงคโปร์ เค้าจะแนะนำเราว่าให้ตีไข่ในจานแล้วเอาขนมปังจุ่มลงไป จากนั้นก็เอาเข้าปากดื่มกาแฟตาม เราเป็นพวกชอบลองอยู่แล้ว ก็ลองทำตามดู มันก็อร่อยแบบแปลกดีเหมือนกัน

  • Plain Vanilla Bakery

ตามธรรมเนียมของเพจเราแล้ว ทุกคนจะต้องรู้ว่าหลังกินคาวต้องหาร้านของหวานตบท้ายเข้าท้องอยู่เสมอ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แค่อยากหาเรื่องชวนเพื่อนเข้าคาเฟ่ซะมากกว่า อย่าง Plain Vanilla Bakery เป็นอีกร้านที่นับว่าเป็น The must สำหรับสาย Cafehopper ทั้งหลาย น่ารักโดนใจเราตั้งแต่มุมหน้ายันมุมในร้าน จัดแจงเลือกทำเลที่นั่งแล้วก็สั่งคัพเค้กขึ้นชื่อมาลองชิมดู ในร้านมีคัพเค้กให้เลือกเยอะมาก ชอบหน้าตาแบบไหนก็จิ้มหน้ากระจกได้เลย เค้าการันตีว่าอร่อยทุกชิ้น เสียดายที่เราชิมไม่ได้ครบทุกอย่างเพราะวงเงินในกระเป๋าค่อนข้างจำกัด เอาเป็นว่ามารอบหน้าจะชวนเพื่อนมาหลายคนกว่านี้ จะได้ชิมหลายแบบ และไม่ต้องแคร์วงเงินในกระเป๋า

เห็นแล้วใช่ไหมว่า ถ้าเราเป็นนักท่องเที่ยวที่จัดหนักจัดเต็มกับทุกการเดินทางขนาดนี้ ประกันเดินทางระหว่างประเทศ สำหรับการเดินทางนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากจริงๆ สมมติว่าขากลับเกิดกลับมาแต่ตัว แต่กระเป๋ายังติดอยู่ที่สิงคโปร์ เราก็ไม่ต้องทำเรื่องให้วุ่นวายตามหากระเป๋าไปทั้งสนามบิน เพราะประกันภัยเค้าจะช่วย support อย่างดีในจุดนี้ หรือดันเกิดอุบัติเหตุที่สิงคโปร์จนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล ประกันเดินทางระหว่างประเทศ ก็จะดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหลายให้เรา ชนิดที่ว่าเหมือนญาติสนิทมิตรสหายเลย ทำประกันเดินทางไว้ก่อนดีกว่า งานนี้มีแต่ได้กับได้นะ

แม้สิงคโปร์จะเป็นเกาะเล็กๆแต่ก็เต็มไปด้วยสีสันแห่งความตื่นตาตื่นใจของทวีปเอเชีย แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าจิ๋วแต่แจ๋วอย่างแท้ทรู เอาเป็นว่าใครกำลังจะมีแพลนเดินทางไปสิงคโปร์ในเวลาอันใกล้ หรือจะเตรียมแพลนล่วงหน้าไว้ก่อน ก็ขอให้ไปตามเก็บจุดเช็คอินที่เราพรีเซ้นท์เหล่านี้เถิด รับรองว่า จะจุใจทั้งเที่ยว ทั้งช้อป ทั้งกิน แบบต้องร้องขอชีวิตกันเลย และถ้ามีโอกาสเราคงจะได้กลับไปตะลุยสิงคโปร์อีกครั้ง ส่วนจะเป็นที่ไหนนั้นโปรดติดตามได้ในตอนต่อไปจ้า